ASTVผู้จัดการรายวัน-ไทยชิงความได้เปรียบเหนืออาเซียนอื่น รุกเจรจา FTA ไทย-อินเดียเฟส 2 ลุยเปิดเสรีสินค้าเพิ่มขึ้นอีก 5 พันรายการ เน้นเจาะจง 900 รายการให้มีกฎส่งออกเป็นรายสินค้า หวังเปิดทางสะดวกสินค้าไทยบุกอินเดีย พร้อมหาทางร่วมมือด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ก่อสร้าง ท่องเที่ยว และพัฒนา SMEs ขีดเส้นเจรจาจบกลางปี 55 เล็งถกปากีสถานปูทางเจรจา FTA ในอนาคต
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้นำผู้แทนไทยเดินทางเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้าไทย-อินเดีย (Thailand-India Trade Negotiating Committee) ครั้งที่ 21 และการประชุมคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยในการเจรจาเปิดเสรีการค้าสินค้ารอบนี้ มีสินค้าที่เข้าสู่กระบวนการเปิดเสรีอีกเกือบ 5,000 รายการ ครอบคลุมสินค้าที่มีการค้าขายระหว่างไทย-อินเดียทั้งหมด โดยไทยกำลังผลักดันให้อินเดียเพิ่มเติมในส่วนของสินค้าที่มีการจัดทำกฎเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules) อีกอย่างน้อยจำนวน 900 รายการ เช่น สิ่งทอ เกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยส่งออกไปยังอินเดียได้ง่ายขึ้น และมีข้อได้เปรียบประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอาเซียนที่ได้มีการทำ FTA กับอินเดีย
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน อินเดียได้ทำ FTA กับประเทศต่างๆ และมีผลบังคับใช้แล้ว เช่น อินเดีย-สิงคโปร์ อินเดีย-เกาหลี อินเดีย-มาเลเซีย อาเซียน-อินเดีย (เฉพาะสินค้า) อินเดีย-ญี่ปุ่น และที่อยู่ระหว่างเจรจา ได้แก่ อินเดีย-ออสเตรเลีย และอินเดีย-สหภาพยุโรป เป็นต้น โดยในส่วนของไทยได้มีการเปิดเสรีนำร่องโดยการลดภาษีสินค้าในกลุ่ม 82 รายการมาตั้งแต่ปี 2549 และได้ชะลอการเจรจา จนมาเริ่มเจรจาอีกครั้งเมื่อช่วงปลายปี 2553
สำหรับการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ได้มีการหารือครอบคลุมสาขาที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การก่อสร้าง การท่องเที่ยว การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEsเป็นต้น
“หากไทยต้องการที่จะเสริมสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนกับอินเดีย และต้องการให้เป้าหมายการค้าเพิ่มเป็น 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 ตามที่ผู้นำได้หารือกันเอาไว้ ก็ต้องรีบเดินหน้าเจรจา FTA สองฝ่ายกับอินเดียให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อไทยจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีสินค้าของอินเดียที่ดีขึ้น และครอบคลุมสินค้าที่มากขึ้นกว่าในกรอบ FTA
อาเซียน-อินเดีย และรักษาส่วนแบ่งตลาดของไทยในตลาดอินเดียจากคู่แข่งอื่นในอาเซียนที่ได้ทำข้อตกลง FTA กับอินเดียไปแล้ว โดยตั้งเป้าที่จะสรุปผลการเจรจาอย่างช้าที่สุดกลางปี 2555”นางศรีรัตน์กล่าว
นางศรีรัตน์กล่าวว่า ไทยยังมีแผนที่จะเจรจาเปิดเสรีกับปากีสถาน ที่เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ของไทยในเอเชียใต้ โดยเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ที่ตั้งเชื่อมต่อกับทั้งภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียกลาง ที่ผ่านมา ไทยยังไม่มีการเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าในลักษณะทวิภาคี หรือภูมิภาคกับปากีสถาน แต่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย–ปากีสถาน (Thailand-Pakistan Joint Trade Committee)โดยคาดว่าจะมีการประชุมครั้งแรกในช่วงปลายปี 2554 นี้
“จะเป็นส่วนเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ เพื่อนำทางไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป อีกทั้งยังจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจเป็นไปได้ว่าจะนำไปสู่การเจรจา FTAระหว่างกันในอนาคตด้วย” นางศรีรัตน์กล่าว
ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทยในเอเชียใต้ โดยเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 17 และเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 11 ของไทยในตลาดโลก อินเดียมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค และยังเป็นประตูการค้าของไทยสู่ประเทศอื่นๆ ทั้งเนปาล ภูฏาน ศรีลังกา และบังกลาเทศ ที่ยังคงพึ่งพาการค้ากับอินเดียอยู่มาก ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 4,161.67 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่า 2,621.64 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.10% และไทยนำเข้าจากอินเดียมูลค่า 1,540.04 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 40.7%
นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้นำผู้แทนไทยเดินทางเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้าไทย-อินเดีย (Thailand-India Trade Negotiating Committee) ครั้งที่ 21 และการประชุมคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย โดยในการเจรจาเปิดเสรีการค้าสินค้ารอบนี้ มีสินค้าที่เข้าสู่กระบวนการเปิดเสรีอีกเกือบ 5,000 รายการ ครอบคลุมสินค้าที่มีการค้าขายระหว่างไทย-อินเดียทั้งหมด โดยไทยกำลังผลักดันให้อินเดียเพิ่มเติมในส่วนของสินค้าที่มีการจัดทำกฎเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules) อีกอย่างน้อยจำนวน 900 รายการ เช่น สิ่งทอ เกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยส่งออกไปยังอินเดียได้ง่ายขึ้น และมีข้อได้เปรียบประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอาเซียนที่ได้มีการทำ FTA กับอินเดีย
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน อินเดียได้ทำ FTA กับประเทศต่างๆ และมีผลบังคับใช้แล้ว เช่น อินเดีย-สิงคโปร์ อินเดีย-เกาหลี อินเดีย-มาเลเซีย อาเซียน-อินเดีย (เฉพาะสินค้า) อินเดีย-ญี่ปุ่น และที่อยู่ระหว่างเจรจา ได้แก่ อินเดีย-ออสเตรเลีย และอินเดีย-สหภาพยุโรป เป็นต้น โดยในส่วนของไทยได้มีการเปิดเสรีนำร่องโดยการลดภาษีสินค้าในกลุ่ม 82 รายการมาตั้งแต่ปี 2549 และได้ชะลอการเจรจา จนมาเริ่มเจรจาอีกครั้งเมื่อช่วงปลายปี 2553
สำหรับการจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ได้มีการหารือครอบคลุมสาขาที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การก่อสร้าง การท่องเที่ยว การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEsเป็นต้น
“หากไทยต้องการที่จะเสริมสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนกับอินเดีย และต้องการให้เป้าหมายการค้าเพิ่มเป็น 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 ตามที่ผู้นำได้หารือกันเอาไว้ ก็ต้องรีบเดินหน้าเจรจา FTA สองฝ่ายกับอินเดียให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด เพื่อไทยจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีสินค้าของอินเดียที่ดีขึ้น และครอบคลุมสินค้าที่มากขึ้นกว่าในกรอบ FTA
อาเซียน-อินเดีย และรักษาส่วนแบ่งตลาดของไทยในตลาดอินเดียจากคู่แข่งอื่นในอาเซียนที่ได้ทำข้อตกลง FTA กับอินเดียไปแล้ว โดยตั้งเป้าที่จะสรุปผลการเจรจาอย่างช้าที่สุดกลางปี 2555”นางศรีรัตน์กล่าว
นางศรีรัตน์กล่าวว่า ไทยยังมีแผนที่จะเจรจาเปิดเสรีกับปากีสถาน ที่เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ของไทยในเอเชียใต้ โดยเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ที่ตั้งเชื่อมต่อกับทั้งภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียกลาง ที่ผ่านมา ไทยยังไม่มีการเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้าในลักษณะทวิภาคี หรือภูมิภาคกับปากีสถาน แต่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย–ปากีสถาน (Thailand-Pakistan Joint Trade Committee)โดยคาดว่าจะมีการประชุมครั้งแรกในช่วงปลายปี 2554 นี้
“จะเป็นส่วนเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ เพื่อนำทางไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นต่อไป อีกทั้งยังจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมทั้งอาจเป็นไปได้ว่าจะนำไปสู่การเจรจา FTAระหว่างกันในอนาคตด้วย” นางศรีรัตน์กล่าว
ปัจจุบันอินเดียเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทยในเอเชียใต้ โดยเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 17 และเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 11 ของไทยในตลาดโลก อินเดียมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค และยังเป็นประตูการค้าของไทยสู่ประเทศอื่นๆ ทั้งเนปาล ภูฏาน ศรีลังกา และบังกลาเทศ ที่ยังคงพึ่งพาการค้ากับอินเดียอยู่มาก ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 4,161.67 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.07% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ไทยส่งออกไปอินเดียมูลค่า 2,621.64 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 23.10% และไทยนำเข้าจากอินเดียมูลค่า 1,540.04 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 40.7%