ASTVผู้จัดการรายวัน- ก.พลังงานเร่ง ปตท.นำร่องคลอดบัตรเครดิตพลังงานสิ้นปีนี้ก่อนทยอยลอยตัวราคาพลังานสะท้อนกลไกตลาดโลกอุ้มผู้มีรายได้ต่ำ อั้นวงเงินเบื้องต้นคาดไม่เกิน 2 พันบาท 1 คนต่อ 1 ใบให้กับรถมอไซค์รับจ้าง แท็กซี่ สามล้อ รถตู้สาธารณะ ด้าน ธพ.ชงวางท่อน้ำมันเหนือ อีสาน 1.5 หมื่นล้านบาท ลดค่าขนส่ง
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ภายในสิ้นปีนี้คาดว่าบมจ.ปตท.จะสามารถสรุปแนวทางการดำเนินงานออกบัตรเครดิตพลังงานให้กับผู้มีรายได้น้อยนำร่องได้ก่อนเนื่องจาก ปตท.มีการจำหน่ายพลังงานครอบคลุมเกือบทุกชนิด โดยการดำเนินงานจะมุ่งกลุ่มเป้าหมายรถแท็กซี่ รถสามล้อ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตู้สาธารณะ ฯลฯ ซึ่งแนวคิดคือจะระบุชื่อผู้ถือบัตรชัดเจน 1คนต่อ 1 ใบ และกำหนดวงเงินเบื้องต้นคาดว่าจะประมาณคนละไม่เกิน 2,000 บาทต่อเดือน
“ก่อนที่เราจะไปสู่การค่อยๆ ลดการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อให้สะท้อนกลไกราคาตลาดโลกนั้นก็มีบัตรเครดิตพลังงานออกมา เพื่อลดผลกระทบผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้มีหลักประกันสามารถซื้อพลังงานประเภทต่างๆเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพได้ ซึ่งผู้ประกอบการที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องก็จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้ นั่นคือวิธีคิดของรัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อพิจารณานโยบาย เงื่อนไข รายละเอียด และติดตามโครงการนี้ให้เป็นรูปธรรม” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าการออกบัตรเครดิตพลังงานจะไม่เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเสียวินัยทางการเงิน ในทางกลับกันมองว่าเป็นการให้โอกาสของรัฐบาล ฝึกวินัยที่จะรู้จักการสร้างเครดิตให้ตนเอง เพราะเงื่อนไขบัตรเครดิตพลังงานจะกำหนดชัดเจนว่าต้องชำระคืนภายในกี่เดือน หากผิดนัด ก็จะตัดสิทธิบัตรทันที ทำให้เสียโอกาสในการรับการอุดหนุนราคาจากทุกนโยบายของรัฐบาลใน
นอกจากนี้ บัตรยังไม่สามารถสมทบเงินเหลือได้ในเดือนถัดไป สามารถเติมพลังงานได้ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น เช่น ผู้ประกอบการแท็กซี่ ก็สามารถเติมได้เฉพาะเอ็นจีวี เป็นต้น
นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่าทางกรมธุรกิจพลังงานได้รายงานผลการศึกษาโครงการท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะมีเงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ให้กับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงานรับทราบเมื่อครั้งตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมธุรกิจพลังงาน เพราะเห็นว่าเป็นโครงการที่จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งน้ำมันไปยังภูมิภาคนี้ได้มากจากเดิมที่ต้องใช้การขนส่งทางรถบรรทุกและรถไฟเท่านั้น
“หลังจากนี้จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เพื่อร่วมกันศึกษารูปแบบการลงทุนให้ชัดเจนเนื่องจากวงเงินค่อนข้างสูงโดยเห็นว่าเอกชนลงทุนน่าจะเหมาะสมสุด”นายสมนึกกล่าว
ทั้งนี้ โครงการท่อขนส่งน้ำมัน แบ่งออกเป็น 2 สาย คือจากสระบุรี-ลำปาง และสระบุรี-ขอนแก่น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อท่อขนส่งน้ำมันที่ส่งมาจากระยอง โดยมีจุดศูนย์กลางที่สระบุรี โดยจะสร้างคลังน้ำมันปลายท่อให้ห่างจากชุมชนอย่างน้อย 20 กม. ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และควรจะใกล้กับรางรถไฟด้วย ไว้รองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขนส่งทางน้ำมันไม่ได้ก็สามารถขนส่งทางรถไฟแทน.
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ภายในสิ้นปีนี้คาดว่าบมจ.ปตท.จะสามารถสรุปแนวทางการดำเนินงานออกบัตรเครดิตพลังงานให้กับผู้มีรายได้น้อยนำร่องได้ก่อนเนื่องจาก ปตท.มีการจำหน่ายพลังงานครอบคลุมเกือบทุกชนิด โดยการดำเนินงานจะมุ่งกลุ่มเป้าหมายรถแท็กซี่ รถสามล้อ รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถตู้สาธารณะ ฯลฯ ซึ่งแนวคิดคือจะระบุชื่อผู้ถือบัตรชัดเจน 1คนต่อ 1 ใบ และกำหนดวงเงินเบื้องต้นคาดว่าจะประมาณคนละไม่เกิน 2,000 บาทต่อเดือน
“ก่อนที่เราจะไปสู่การค่อยๆ ลดการอุดหนุนราคาพลังงานเพื่อให้สะท้อนกลไกราคาตลาดโลกนั้นก็มีบัตรเครดิตพลังงานออกมา เพื่อลดผลกระทบผู้มีรายได้น้อย เพื่อให้มีหลักประกันสามารถซื้อพลังงานประเภทต่างๆเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพได้ ซึ่งผู้ประกอบการที่มีปัญหาขาดสภาพคล่องก็จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้ นั่นคือวิธีคิดของรัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อพิจารณานโยบาย เงื่อนไข รายละเอียด และติดตามโครงการนี้ให้เป็นรูปธรรม” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ เชื่อว่าการออกบัตรเครดิตพลังงานจะไม่เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเสียวินัยทางการเงิน ในทางกลับกันมองว่าเป็นการให้โอกาสของรัฐบาล ฝึกวินัยที่จะรู้จักการสร้างเครดิตให้ตนเอง เพราะเงื่อนไขบัตรเครดิตพลังงานจะกำหนดชัดเจนว่าต้องชำระคืนภายในกี่เดือน หากผิดนัด ก็จะตัดสิทธิบัตรทันที ทำให้เสียโอกาสในการรับการอุดหนุนราคาจากทุกนโยบายของรัฐบาลใน
นอกจากนี้ บัตรยังไม่สามารถสมทบเงินเหลือได้ในเดือนถัดไป สามารถเติมพลังงานได้ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น เช่น ผู้ประกอบการแท็กซี่ ก็สามารถเติมได้เฉพาะเอ็นจีวี เป็นต้น
นายสมนึก บำรุงสาลี รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่าทางกรมธุรกิจพลังงานได้รายงานผลการศึกษาโครงการท่อขนส่งน้ำมันภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะมีเงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ให้กับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงานรับทราบเมื่อครั้งตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมธุรกิจพลังงาน เพราะเห็นว่าเป็นโครงการที่จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งน้ำมันไปยังภูมิภาคนี้ได้มากจากเดิมที่ต้องใช้การขนส่งทางรถบรรทุกและรถไฟเท่านั้น
“หลังจากนี้จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) เพื่อร่วมกันศึกษารูปแบบการลงทุนให้ชัดเจนเนื่องจากวงเงินค่อนข้างสูงโดยเห็นว่าเอกชนลงทุนน่าจะเหมาะสมสุด”นายสมนึกกล่าว
ทั้งนี้ โครงการท่อขนส่งน้ำมัน แบ่งออกเป็น 2 สาย คือจากสระบุรี-ลำปาง และสระบุรี-ขอนแก่น คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อท่อขนส่งน้ำมันที่ส่งมาจากระยอง โดยมีจุดศูนย์กลางที่สระบุรี โดยจะสร้างคลังน้ำมันปลายท่อให้ห่างจากชุมชนอย่างน้อย 20 กม. ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และควรจะใกล้กับรางรถไฟด้วย ไว้รองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขนส่งทางน้ำมันไม่ได้ก็สามารถขนส่งทางรถไฟแทน.
