xs
xsm
sm
md
lg

ที่แท้ ‘บิ๊กการเมือง’ บงการ ค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติที่ใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

ปัญหาการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐปล่อยปละละเลยมากว่า 2 ปี ไม่เข้มงวดจับกุม ทั้งที่ฝ่ายความมั่นคงคือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ออกมาระบุอย่างชัดเจนว่า ธุรกิจการค้าน้ำมันเถื่อนทับซ้อนของการก่อความไม่สงบ เนื่องจากเงินกำไรบางส่วนถูกนำไปให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน

รัฐบาลที่ผ่านๆ มาไม่เคยมีนโยบายปราบปรามขบวนการลักลอบการค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มนักการเมือง กลุ่มผู้สนับสนุนนักการเมือง และกลุ่มพ่อค้านักธุรกิจในพื้นที่ จนขณะนี้ปัญหาขยายวงจาก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาสถึง จ.เพชรบุรี มีปริมาณน้ำมันเถื่อนที่ลอบนำเข้าจากมาเลเซียและสิงคโปร์ผ่านชายแดนที่ นราธิวาส-สงขลา-สตูล วันละไม่ต่ำกว่า 3 ล้านลิตร/วัน ทำให้รัฐต้องสูญเสียเงินภาษีอย่างต่ำวันละ 21 ล้านบาท

แม้ในที่ประชุมสภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สปต.) เมื่อไม่นานมานี้ก็เคยมีการแสดงความเห็นกันไว้ว่า หากหน่วยงานรัฐยังปล่อยให้ขบวนการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติเติบโตต่อไป จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างหนัก เนื่องเพราะได้ก่อให้เกิดปัญหาสำคัญๆ ดังนี้

1.สนับสนุนการก่อความไม่สงบในชายแดนใต้ 2.สูญเงินรายได้จากภาษีน้ำมัน 3.ทำลายนิติรัฐ เพราะประชาชนเห็นว่ากฎหมายไม่มีความหมาย 4.ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจน้ำมันที่สุจริต และ 5.เป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม ฯลฯ

ดังนั้น สปต.จึงเรียกร้องให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เร่งดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันและปราบปรามการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนในชายแดนใต้โดยเร็ว พร้อมจี้ให้ตรวจสอบเอาผิดกับข้าราชการในพื้นที่ 4 หน่วยงานคือ 1.ศุลกากร 2.ตำรวจ 3.สรรพสามิต และ 4.ฝ่ายปกครอง

ทั้งนี้ เนื่องจากปล่อยให้มีการนำรถยนต์ดัดแปลงบรรทุกน้ำมันเถื่อนข้ามแดนผ่านจุดตรวจศุลกากร ปล่อยรถบรรทุกน้ำมันจากชายแดนไทยผ่านไปยังจังหวัดต่างๆ ได้จนถึง จ.เพชรบุรี และปล่อยให้นำน้ำมันเถื่อนถูกผ่องถ่ายไปขายปลีกอยู่ในทุกชุมชน ทั้งแบบปั๊มหลอดแก้ว บรรจุแกลลอนและขวดวางขายกันเกลื่อนเมือง ซึ่งนอกจากจะปล่อยปละละเลยแล้ว ยังเชื่อกันว่าเจ้าหน้าที่บางส่วนอาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการเถื่อนนี้ด้วย

ที่ผ่านมานายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.ก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของ ศอ.บต.ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว และจะเรียกทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงต่อ สปต.ถึงสาเหตุการปล่อยให้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติเติบโตจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ ทำไม่ไม่มีการป้องกันและจับกุม รวมทั้งการเรียกรับผลประโยชน์ตามที่มีการตั้งข้อสงสัยจากประชาชน

โดยข้อเท็จจริง ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในชายแดนใต้ประกอบด้วยคน 5 ฝ่ายคือ 1) นักการเมืองระดับชาติบางคนที่บงการอยู่เบื้องหลัง 2) กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นตั้งแต่ตรัง สตูล พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส 3) กลุ่มพ่อค้านักธุรกิจที่ลงขันหลัก 4) กลุ่มข้าราชการที่ให้การสนับสนุน และ 5) เป็นกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ตามอำเภอชายแดน

เหตุผลที่จูงใจให้คนจำนวนมากหันไปร่วมขบวนการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน ก็เนื่องจากราคาน้ำมันที่แตกต่างกันมากระหว่างไทย-มาเลเซีย โดยน้ำมันเบนซินในมาเลเซียขายอยู่ที่ลิตรละเพียง 18 บาท ส่วนดีเซลลิตรละ 17 บาท ส่วนในไทยเราแม้จะลดราคาน้ำมันลงไปแล้ว แต่ช่องว่างของราคาก็ยังห่างกันมาก เช่น เบนซินในไทยยังสูงกว่าที่มาเลเซียถึงลิตรละ 17 บาท ส่วนดีเซลลิตรละ 10 บาท และหากซื้อมาจากสิงคโปร์แล้วลักลอบนำเข้าทางทะเลราคาจะถูกกว่าการนำเข้าจากมาเลเซียลงอีกลิตรละ 3 บาทกว่าๆ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำมัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า การผลักดันให้ลดราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินของรัฐบาลไทยที่มีผลตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา คนในภูมิภาคอื่นๆ ต่างได้รับอานิสงส์จากนโยบายของรัฐถ้วนหน้า ยกเว้นในชายแดนใต้ที่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนและกลุ่มผู้ขายปลีกน้ำมันเถื่อนยังคงดำเนินการขนและขายกันได้เกลื่อนกลาดอยู่เช่นเดิม

การลักลอบของกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนในชายแดนใต้ขณะนี้มีอยู่ 2 ช่องทางคือ ช่องทางแรกลักลอบนำเข้าทางบก โดยใช้รถกระบะดัดแปลงติดตั้งถังเก็บน้ำมันใน 3 รูปแบบ**ได้แก่ 1.ติดตั้งแท็งก์ขนาด 2-3,000 ลิตรแล้วสร้างตัวถังเหล็กมีบานประตูเปิด-ปิดที่ท้ายรถปิดคลุมไว้ 2.ดัดแปลงถังเก็บน้ำมันไว้ใต้ท้องและตามช่องว่างต่างๆ ในตัวรถรวมแล้วบรรจุได้ 1,200-1,500 ลิตร โดยมีรถในลักษณะนี้วิ่งอยู่ในสงขลา นราธิวาสและสตูลกว่า 1,500 คัน และ 3.ใช้รถบรรทุกถังหรือแกลลอนขนาด 20-40 ลิตรวิ่งข้ามไปขนน้ำมันจากฝั่งมาเลเซียวันละนับ 10 เที่ยว ซึ่งก็เป็นวิธีของกองทัพมดนั่นเอง

อีกช่องทางหนึ่งคือ ลักลอบนำเข้าทางทะเล โดยมีเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ทั้งจากมาเลเซียและสิงคโปร์ที่มีนักการเมืองใหญ่ในภาคใต้ร่วมทุนอยู่ด้วยขนน้ำมันมาจอดในน่านน้ำสากล จากนั้นเรือประมงดัดแปลงขนถ่ายขึ้นสู่ชายฝั่งอีกทอดหนึ่ง เวลานี้มีเรือประมงดัดแปลงกระจายอยู่ในฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่นราธิวาส ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช ไปจนถึงสุราษฎร์ธานีกว่า 200 ลำ

สำหรับ พื้นที่ที่มีการลักลอบขนถ่ายน้ำมันเถื่อนทางทะเลมากที่สุดอยู่บริเวณชายฝั่งของ จ.สงขลาตั้งแต่ อ.เทพา อ.สิงหนคร อ.สทิงพระ อ.ระโนด ไปจนถึง อ.หัวไทรใน จ.นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะตามท่าเทียบเรือเอกชนต่างๆ ในเขตเทศบาลนครสงขลา ซึ่งก็มีสำนักงานศุลกากรภูมิภาคที่ 4 ตั้งอยู่ที่นั่นด้วย และการขนถ่ายที่ท่าเรือดังกล่าวก็จะมีรถบรรทุกสิบล้อมารับน้ำมันไปประมาณ 15,000 ลิตร/เที่ยว โดยน้ำมันเถื่อนเหล่านี้จะถูกส่งขายไปทั่วภาคใต้

มีสิ่งที่น่าสังเกตคือ ขบวนการขนน้ำมันเถื่อนข้ามชาติทางบกใช้รถดัดแปลงและรถของกองทัพมดราว 300 คันวิ่งผ่านด่านศุลกากรที่ อ.สุไหงโก-ลก เช่นเดียวกับที่ จ.สงขลาก็มีรถดัดแปลงกว่า 250 คันวิ่งผ่านด่านศุลกากรที่ อ.สะเดา และที่ จ.สตูลมีรถดัดแปลงกว่า 300 คันวิ่งผ่านด่านศุลกากรที่บ้านวังประจัน อ.ควนโดนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

และก็มีที่น่าสังเกตเข้าไปใหญ่อีกก็คือ รถขนน้ำมันเถื่อนข้ามชาติที่วิ่งผ่านแต่ละด่านศุลกากรตามแนวชายแดนใต้นั้น แต่ละคันเฉลี่ยจะเข้า-ออกระว่างไทย-มาเลเซียถึงวันละ 2-3 เที่ยว โดยที่ไม่เคยมีการจับกุมหรือตรวจค้นรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนข้ามชาติเหล่านี้ที่จุดตรวจหน้าด่านแต่อย่างใด ทั้งที่ประตูด่านสามารถให้รถผ่านเข้า-ออกได้ช่องทางละ 1 คันเท่านั้น

ทว่า ที่สำคัญในขณะที่รถยนต์บรรทุกน้ำมันเถื่อนเหล่านั้นวิ่งผ่านกลับไม่มีการตรวจหนังสือเดินทางแต่อย่างใด แตกต่างกับรถยนต์ทั่วไปที่ต้องตรวจและลงตราหนังสือเดินทางตามพิธีการเข้า-ออก ระหว่างประเทศอย่างเข้มข้น

ดังนี้แล้ว ขบวนการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนข้ามชาติผ่านชายแดนใต้ ซึ่งมีบิ๊กนักการเมืองบงการอยู่เบื้องหลัง มีกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นร่วมวง มีกลุ่มพ่อค้านักธุรกิจร่วมลงขัน มีกลุ่มข้าราชการคอยอำนวยความสะดวก และก็เกี่ยวร้อยโยงใยลงไปถึงชาวบ้านจำนวนมากมายที่ได้ร่วมแชร์ผลประโยชน์อยู่ด้วยนั้น นอกจากนี้ ยังทำให้ประเทศชาติสูญเสียภาษีปีละกว่า 7 พันล้านบาท

นี่จึง เป็นขบวนการที่บ่อนทำลายประเทศชาติอีกขบวนการหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แตกต่างไปจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ก่อไฟใต้อยู่ ณ เวลานี้เลย
กำลังโหลดความคิดเห็น