**รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการหลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาไม่ถึงสองสัปดาห์ ก็จัดทัพข้าราชการนำร่องไปก่อนแล้ว เมื่อ 6 กันยายนที่ผ่านมา เป็นล็อตแรก
ใช้จังหวะเหมาะฉวยโอกาสในช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี จัดทัพข้าราชการที่เป็นกลไกอำนาจรัฐ และหลังจากนี้เชื่อว่ายังมีตามมาอีกหลายล็อต
**รัฐบาลเพื่อไทยทำทุกอย่างแบบรวดเร็ว-เด็ดขาด-ไม่หวั่นเสียงวิจารณ์
เห็นได้จากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการล็อตแรกที่ผ่านมา กลุ่มข้าราชการระดับสูงที่แนบชิดกับคนในตระกูลชินวัตร และเครือข่ายแกนนำพรรคเพื่อไทย ล้วนกลับมาได้ดิบได้ดีอีกครั้ง หลังชื่อเงียบหายถูกเก็บเข้ากรุไปนาน
ทั้ง ดำรงค์ พิเดช ที่ได้ออกจากกรุรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปเป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่เป็นกรม เกรดเอ ของกระทรวงทรัพย์ฯ
สำหรับดำรงค์ พิเดช รู้กันดีในกระทรวงทรัพย์ฯ และแวดวงคนเพื่อไทยว่า เป็นคนใกล้ชิดของ ยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำเพื่อไทยสมัย ยงยุทธหรือ “ยุทธตู้เย็น” นั่งเป็นรมว.ทรัพยากรฯ
ช่วงนั้นดำรงค์เป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ และขณะนั้นมีการชุมนุมเคลื่อนไหวการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนที่ประชาธิปไตย ที่นัดรวมตัวกันทุกเย็นวันศุกร์ที่สวนลุมพินีและตามจุดต่างๆ หลายจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งพบว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่รู้กันดีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ลงมาก่อกวนพันธมิตรฯ หลายครั้งเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรที่กำลังโดนพันธมิตรฯขับไล่
ทำให้หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 49 ดำรงค์ ภิเดช ถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับข้าราชการในเครือข่ายระบอบทักษิณอีกหลายคน เช่น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ตอนเป็น ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ที่ถูกคมช. สั่งเด้งเข้ากรุหลัง 19 ก.ย. 49 ทันที
แต่หลังจากพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ระบอบทักษิณ กลับมามีอำนาจอีกรอบ ดำรงค์ ภิเดช ก็ได้กลับมาเป็นรองปลัดกระทรวงทรัพยฯ ในปี 2551 มาตอนนี้ เมื่อกระทรวงทรัพย์ฯตอนนี้ดูแลโดยพรรคเพื่อไทย
** คนของ “ยุทธ ตู้เย็น”อย่าง ดำรงค์ ภิเดช จึงได้กลับมาเป็นอธิบดีอุทยานฯ ดูแลอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศอีกครั้ง
อีกราย เป็นกรณีของ นางเบญจา หลุยเจริญ ที่ก็โยกจากกรุรองปลัดกระทรวงการคลังไปเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ที่เป็นกรมจัดเก็บภาษีกรมสำคัญของกระทรวงการคลัง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า โผรอบนี้ของกระทรวงการคลัง เป็นการตอบแทนทางการเมืองอย่างชัดเจนจากสายตระกูลชินวัตรในพรรคเพื่อไทย
เพราะนางเบญจา สมัยเป็นผู้บริหารในกรมสรรพากร ยุคที่มี ศิโรตม์ สวัสดิ์พานิชย์ เป็นอธิบดี กรมสรรพากร ในช่วงปี 2549 กรมสรรพากรยุคนั้นก็ไม่ได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นชินคอร์ป ของครอบครัวชินวัตรจนทำให้มีการดำเนินการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องของกรมสรรพากรหลายคน แต่ไม่มีชื่อนางเบญจา
เมื่อระบอบทักษิณเสื่อมอำนาจ นางเบญจา ก็เจอวิบากกรรมเช่นเดียวกับนายดำรงค์ ภิเดช คือเมื่อได้รับการโปรโมตเลื่อนขั้น เพราะการเมืองช่วยส่งเสริม พอการเมืองเปลี่ยนขั้วก็ต้องถูกลดบทบาท นางเบญจา ก็โดนย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในช่วงปี 2549 และกลับมาเป็นรองปลัดฯคลังช่วง 2551 จนถึง 2554
จนกระทั่งเมื่อวันนี้ เครือข่ายทักษิณกลับมามีอำนาจอีกครั้ง นางเบญจา ก็ได้ตำแหน่งอธิบดีกรมใหญ่ของกระทรวงการคลัง ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า อาจได้เป็นถึงปลัดกระทรวงการคลังหรือ อธิบดีกรมสรรพากรด้วยซ้ำ แต่คงเพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้ถูกวิจารณ์หนักไปกว่านี้ เก้าอี้อธิบดีกรมสรรพาสามิต ก็น่าจะเพียงพอสำหรับนางเบญจาแล้ว
คนที่ต้องกระเด็นไปเพื่อเปิดเก้าอี้ให้นางเบญจา ก็คือ พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ซึ่งเป็นคนที่ทำหน้าที่นำเงินของทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท เข้าคลังหลวงและเป็นหนึ่งในกลุ่มอธิบดีในกระทรวงการคลัง ที่เติบโตอย่างพรวดพราดในยุค กรณ์ จาติกวณิช เป็นรมว.คลัง
รัฐบาลโดยธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รมว.คลัง จึงไม่ต้องลังเลใจเลยในการเด้งพงษ์ภาณุจากอธิบดีกรมสรรพสามิตไปเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อโยกสลับกับนางเบญจา
**แค่สองคนนี้ก็เพียงพอที่จะเห็นแล้วว่า ต่อจากนี้ไป เครือข่ายระบอบทักษิณเตรียมกำลังมามีอำนาจแยกแผงแน่นอน
โดยอังคารที่ 13 กันยายนนี้ คาดการกันว่า น่าจะมีการโยกย้ายครั้งใหญ่อีกหลายกระทรวง และหนึ่งในกระทรวงที่ถูกจับตามองก็คือ กระทรวงมหาดไทย
มีข่าวเตรียมเด้ง วิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย สายตรง เนวิน ชิดชอบ จากภูมิใจไทย แล้วเอา พระนาย สุวรรณรัฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยขึ้นมาเป็นแทน
**มีความเป็นไปได้ที่วิเชียร น่าจะถูกเด้งไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แบบเดียวกับ ถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสมช. หรือไม่ก็เข้ากรุประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่อีกบางกระแสบอกว่า บรรหาร ศิลปอาชา จากชาติไทยพัฒนาจะรับโอนมาไว้เป็นปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬาฯ กระนั้นข่าวนี้ดูแล้วมีโอกาสเป็นจริงได้ แต่ค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้เดิมทีมีกระแสข่าวว่า รัฐบาลเตรียมเด้ง วิเชียร ชวลิต ตั้งแต่เมื่อ 6 กันยายน แล้วแต่หลายอย่างยังไม่ลงตัว อีกทั้งรัฐบาลก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะจะช้าหรือเร็วก็ต้องจัดการเชือดแน่ คนๆนี้ เอาไว้ไม่ได้
วาระจร เด้ง ปลัดมหาดไทย เลยยังไม่ถูกนำเข้าที่ประชุมครม. เมื่อ 6 กันยายน 2554
ท่ามกลางข่าวว่า แกนนำรัฐบาลบางคนก็ไม่เห็นด้วยกับการจะเด้ง วิเชียร พ้นปลัดมหาดไทยเวลานี้ เพราะเกรงว่าประเด็นการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายคนพร้อมกันทีเดียวจะทำให้รัฐบาลเสียคะแนนนิยมได้ แต่อีกบางกลุ่มในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะส.ส.อีสาน ก็บอกตรงกันว่า ไม่ควรต้องไปสนใจ เพราะตัวปลัดมหาดไทยเองทุกวันนี้ข้าราชการมหาดไทยทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับอยู่แล้ว
หากจะย้าย วิเชียร ชวลิต ออกจากเก้าอี้ปลัดมหาดไทย ไม่น่าจะมีผลทางการเมืองใดๆ มีแต่คนจะสนับสนุนด้วยซ้ำ และที่ผ่านมาปลัดมหาดไทย คนนี้ก็ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
**ยิ่งหากผลักดันให้ พระนาย สุวรรณรัฐ มาเป็นปลัดมหาดไทยแทน จะได้ใจคนมหาดไทยทั่วประเทศมากกว่า
อีกทั้งพระนาย ยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะเป็นน้องชายองคมนตรี คือพลากร สุวรรณรัฐ ก็น่าจะทำให้เห็นได้ว่า รัฐบาลเพื่อไทยต้องการเดินสายกลาง เน้นการประนีประนอมและสนับสนุนคนที่คนมหาดไทยให้การยอมรับมากกว่า
ที่สำคัญ พระนาย ก็ได้จุดแข็งเรื่องอาวุโส ขณะที่วิเชียร มีปัญหาเรื่องนี้มาตลอด เพราะข้ามหัวเพื่อนมา 40 กว่าคน ก็เหาะมานั่งเป็นปลัดมหาดไทย ทำให้มหาดไทยอยู่ในสภาพ ** เณรปกครองพระ
และที่ผ่านมา พระนาย ก็ไม่มีเรื่องเสียหาย ไม่เคยมีภาพใกล้ชิดทางการเมืองกับกลุ่มไหน เสียงเชียร์ให้ปลดปลัดมหาดไทย จึงดังมากกว่าเสียงบอกให้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทยให้โอกาสวิเชียร ทำงานไปก่อน
ทว่าช่วงโค้งสุดท้ายก่อนนำชื่อเข้าครม. แคนดิเดทคนอื่นที่รอลุ้นเก้าอี้ปลัดมหาดไทย ก็ยังมีหวังลึกๆอยู่ ว่าโผอาจพลิก
หนึ่งในนั้นก็คือ สุกิจ เจริญรัตนกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ที่โดน “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรมว.มหาดไทย สั่งเด้งจากเก้าอี้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นไปเป็นผู้ตรวจมหาดไทย
สุกิจ มีลำดับอาวุโสพอๆ กับพระนาย เพราะได้เป็นซี 10 พร้อมกับ พระนายในปี 2546 สุกิจ จึงหวังลึกๆ ว่าโค้งสุดท้าย 2-3 วันก่อนจะตั้งปลัดมหาดไทย หรือทำโผมหาดไทยล็อตใหญ่ ตัวเองน่าจะมีลุ้นเก้าอี้ปลัดมหาดไทย
** หากไม่ได้จริงๆ เก้าอี้ที่รองลงมา จากนั้นคืออธิบดีกรมการปกครอง เพื่อไปแทนวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พานิชย์ ที่เกษียณอายุราชการ ก็น่าจะสมน้ำสมเนื้อดี
ใช้จังหวะเหมาะฉวยโอกาสในช่วงการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี จัดทัพข้าราชการที่เป็นกลไกอำนาจรัฐ และหลังจากนี้เชื่อว่ายังมีตามมาอีกหลายล็อต
**รัฐบาลเพื่อไทยทำทุกอย่างแบบรวดเร็ว-เด็ดขาด-ไม่หวั่นเสียงวิจารณ์
เห็นได้จากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการล็อตแรกที่ผ่านมา กลุ่มข้าราชการระดับสูงที่แนบชิดกับคนในตระกูลชินวัตร และเครือข่ายแกนนำพรรคเพื่อไทย ล้วนกลับมาได้ดิบได้ดีอีกครั้ง หลังชื่อเงียบหายถูกเก็บเข้ากรุไปนาน
ทั้ง ดำรงค์ พิเดช ที่ได้ออกจากกรุรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปเป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่เป็นกรม เกรดเอ ของกระทรวงทรัพย์ฯ
สำหรับดำรงค์ พิเดช รู้กันดีในกระทรวงทรัพย์ฯ และแวดวงคนเพื่อไทยว่า เป็นคนใกล้ชิดของ ยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำเพื่อไทยสมัย ยงยุทธหรือ “ยุทธตู้เย็น” นั่งเป็นรมว.ทรัพยากรฯ
ช่วงนั้นดำรงค์เป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ และขณะนั้นมีการชุมนุมเคลื่อนไหวการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนที่ประชาธิปไตย ที่นัดรวมตัวกันทุกเย็นวันศุกร์ที่สวนลุมพินีและตามจุดต่างๆ หลายจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งพบว่ามีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่รู้กันดีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ลงมาก่อกวนพันธมิตรฯ หลายครั้งเพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรที่กำลังโดนพันธมิตรฯขับไล่
ทำให้หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 49 ดำรงค์ ภิเดช ถูกย้ายออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯ ไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับข้าราชการในเครือข่ายระบอบทักษิณอีกหลายคน เช่น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ตอนเป็น ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ที่ถูกคมช. สั่งเด้งเข้ากรุหลัง 19 ก.ย. 49 ทันที
แต่หลังจากพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง ระบอบทักษิณ กลับมามีอำนาจอีกรอบ ดำรงค์ ภิเดช ก็ได้กลับมาเป็นรองปลัดกระทรวงทรัพยฯ ในปี 2551 มาตอนนี้ เมื่อกระทรวงทรัพย์ฯตอนนี้ดูแลโดยพรรคเพื่อไทย
** คนของ “ยุทธ ตู้เย็น”อย่าง ดำรงค์ ภิเดช จึงได้กลับมาเป็นอธิบดีอุทยานฯ ดูแลอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศอีกครั้ง
อีกราย เป็นกรณีของ นางเบญจา หลุยเจริญ ที่ก็โยกจากกรุรองปลัดกระทรวงการคลังไปเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิต ที่เป็นกรมจัดเก็บภาษีกรมสำคัญของกระทรวงการคลัง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า โผรอบนี้ของกระทรวงการคลัง เป็นการตอบแทนทางการเมืองอย่างชัดเจนจากสายตระกูลชินวัตรในพรรคเพื่อไทย
เพราะนางเบญจา สมัยเป็นผู้บริหารในกรมสรรพากร ยุคที่มี ศิโรตม์ สวัสดิ์พานิชย์ เป็นอธิบดี กรมสรรพากร ในช่วงปี 2549 กรมสรรพากรยุคนั้นก็ไม่ได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีการขายหุ้นชินคอร์ป ของครอบครัวชินวัตรจนทำให้มีการดำเนินการเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องของกรมสรรพากรหลายคน แต่ไม่มีชื่อนางเบญจา
เมื่อระบอบทักษิณเสื่อมอำนาจ นางเบญจา ก็เจอวิบากกรรมเช่นเดียวกับนายดำรงค์ ภิเดช คือเมื่อได้รับการโปรโมตเลื่อนขั้น เพราะการเมืองช่วยส่งเสริม พอการเมืองเปลี่ยนขั้วก็ต้องถูกลดบทบาท นางเบญจา ก็โดนย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในช่วงปี 2549 และกลับมาเป็นรองปลัดฯคลังช่วง 2551 จนถึง 2554
จนกระทั่งเมื่อวันนี้ เครือข่ายทักษิณกลับมามีอำนาจอีกครั้ง นางเบญจา ก็ได้ตำแหน่งอธิบดีกรมใหญ่ของกระทรวงการคลัง ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า อาจได้เป็นถึงปลัดกระทรวงการคลังหรือ อธิบดีกรมสรรพากรด้วยซ้ำ แต่คงเพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้ถูกวิจารณ์หนักไปกว่านี้ เก้าอี้อธิบดีกรมสรรพาสามิต ก็น่าจะเพียงพอสำหรับนางเบญจาแล้ว
คนที่ต้องกระเด็นไปเพื่อเปิดเก้าอี้ให้นางเบญจา ก็คือ พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ซึ่งเป็นคนที่ทำหน้าที่นำเงินของทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท เข้าคลังหลวงและเป็นหนึ่งในกลุ่มอธิบดีในกระทรวงการคลัง ที่เติบโตอย่างพรวดพราดในยุค กรณ์ จาติกวณิช เป็นรมว.คลัง
รัฐบาลโดยธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รมว.คลัง จึงไม่ต้องลังเลใจเลยในการเด้งพงษ์ภาณุจากอธิบดีกรมสรรพสามิตไปเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อโยกสลับกับนางเบญจา
**แค่สองคนนี้ก็เพียงพอที่จะเห็นแล้วว่า ต่อจากนี้ไป เครือข่ายระบอบทักษิณเตรียมกำลังมามีอำนาจแยกแผงแน่นอน
โดยอังคารที่ 13 กันยายนนี้ คาดการกันว่า น่าจะมีการโยกย้ายครั้งใหญ่อีกหลายกระทรวง และหนึ่งในกระทรวงที่ถูกจับตามองก็คือ กระทรวงมหาดไทย
มีข่าวเตรียมเด้ง วิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย สายตรง เนวิน ชิดชอบ จากภูมิใจไทย แล้วเอา พระนาย สุวรรณรัฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยขึ้นมาเป็นแทน
**มีความเป็นไปได้ที่วิเชียร น่าจะถูกเด้งไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แบบเดียวกับ ถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสมช. หรือไม่ก็เข้ากรุประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะที่อีกบางกระแสบอกว่า บรรหาร ศิลปอาชา จากชาติไทยพัฒนาจะรับโอนมาไว้เป็นปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬาฯ กระนั้นข่าวนี้ดูแล้วมีโอกาสเป็นจริงได้ แต่ค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้เดิมทีมีกระแสข่าวว่า รัฐบาลเตรียมเด้ง วิเชียร ชวลิต ตั้งแต่เมื่อ 6 กันยายน แล้วแต่หลายอย่างยังไม่ลงตัว อีกทั้งรัฐบาลก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เพราะจะช้าหรือเร็วก็ต้องจัดการเชือดแน่ คนๆนี้ เอาไว้ไม่ได้
วาระจร เด้ง ปลัดมหาดไทย เลยยังไม่ถูกนำเข้าที่ประชุมครม. เมื่อ 6 กันยายน 2554
ท่ามกลางข่าวว่า แกนนำรัฐบาลบางคนก็ไม่เห็นด้วยกับการจะเด้ง วิเชียร พ้นปลัดมหาดไทยเวลานี้ เพราะเกรงว่าประเด็นการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายคนพร้อมกันทีเดียวจะทำให้รัฐบาลเสียคะแนนนิยมได้ แต่อีกบางกลุ่มในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะส.ส.อีสาน ก็บอกตรงกันว่า ไม่ควรต้องไปสนใจ เพราะตัวปลัดมหาดไทยเองทุกวันนี้ข้าราชการมหาดไทยทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับอยู่แล้ว
หากจะย้าย วิเชียร ชวลิต ออกจากเก้าอี้ปลัดมหาดไทย ไม่น่าจะมีผลทางการเมืองใดๆ มีแต่คนจะสนับสนุนด้วยซ้ำ และที่ผ่านมาปลัดมหาดไทย คนนี้ก็ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
**ยิ่งหากผลักดันให้ พระนาย สุวรรณรัฐ มาเป็นปลัดมหาดไทยแทน จะได้ใจคนมหาดไทยทั่วประเทศมากกว่า
อีกทั้งพระนาย ยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะเป็นน้องชายองคมนตรี คือพลากร สุวรรณรัฐ ก็น่าจะทำให้เห็นได้ว่า รัฐบาลเพื่อไทยต้องการเดินสายกลาง เน้นการประนีประนอมและสนับสนุนคนที่คนมหาดไทยให้การยอมรับมากกว่า
ที่สำคัญ พระนาย ก็ได้จุดแข็งเรื่องอาวุโส ขณะที่วิเชียร มีปัญหาเรื่องนี้มาตลอด เพราะข้ามหัวเพื่อนมา 40 กว่าคน ก็เหาะมานั่งเป็นปลัดมหาดไทย ทำให้มหาดไทยอยู่ในสภาพ ** เณรปกครองพระ
และที่ผ่านมา พระนาย ก็ไม่มีเรื่องเสียหาย ไม่เคยมีภาพใกล้ชิดทางการเมืองกับกลุ่มไหน เสียงเชียร์ให้ปลดปลัดมหาดไทย จึงดังมากกว่าเสียงบอกให้ ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รมว.มหาดไทยให้โอกาสวิเชียร ทำงานไปก่อน
ทว่าช่วงโค้งสุดท้ายก่อนนำชื่อเข้าครม. แคนดิเดทคนอื่นที่รอลุ้นเก้าอี้ปลัดมหาดไทย ก็ยังมีหวังลึกๆอยู่ ว่าโผอาจพลิก
หนึ่งในนั้นก็คือ สุกิจ เจริญรัตนกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย ที่โดน “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรมว.มหาดไทย สั่งเด้งจากเก้าอี้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นไปเป็นผู้ตรวจมหาดไทย
สุกิจ มีลำดับอาวุโสพอๆ กับพระนาย เพราะได้เป็นซี 10 พร้อมกับ พระนายในปี 2546 สุกิจ จึงหวังลึกๆ ว่าโค้งสุดท้าย 2-3 วันก่อนจะตั้งปลัดมหาดไทย หรือทำโผมหาดไทยล็อตใหญ่ ตัวเองน่าจะมีลุ้นเก้าอี้ปลัดมหาดไทย
** หากไม่ได้จริงๆ เก้าอี้ที่รองลงมา จากนั้นคืออธิบดีกรมการปกครอง เพื่อไปแทนวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พานิชย์ ที่เกษียณอายุราชการ ก็น่าจะสมน้ำสมเนื้อดี