หากจะว่าไปแล้วคนที่น่าเห็นใจที่สุดในยามนี้กลายเป็น เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ถวิล เปลี่ยนศรี ที่ตามข่าวระบุว่ากำลังจะถูกเด้งไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แล้วยกเก้าอี้ให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่จะต้องหลีกทางอีกทอดหนึ่งให้ “พี่เมียทักษิณ ชินวัตร” คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเป็นเกียรติยศสูงสุดก่อนเกษียณอายุราชการในปีหน้า
แม้ว่ามองในมุมหนึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาที่พอ “เปลี่ยนขั้วอำนาจใหม่” ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งสำคัญที่มีผลทางการเมือง ต้องการดึงเอาคนกันเองที่ไว้ใจได้เข้ามาแทน โดยข้ออ้าง “เพื่อความเหมาะสม” อยู่ทุกครั้ง
แต่คราวนี้มีปรากฏการณ์ “พิเศษ” เพิ่มเติมเข้ามาเพื่อความสมจริงสมจัง เนื่องจากตัวละครที่ถูกกำหนดให้เป็น “พระเอก” นั้นมีเวลาจำกัดต้องรีบแสดงก่อนที่ลาโรงไปเสียก่อน จึงต้องมีการกำหนดสร้าง “ละคร” ขึ้นมา และมีบุคคลภายนอกที่มักคุ้นกันเข้ามาร่วมด้วย
นั่นเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพกรณีแผนปฏิบัติการ “ขับไล่” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ มาดำรงตำแหน่งแทน โดยก่อนหน้านั้นมีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการ “สร้างเรื่อง” ด้วยการเปิดโปงเรื่องการเปิดบ่อนการพนันและแหล่งอบายมุขกลางกรุงของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นำร่องขึ้นมาก่อน ถัดมาก็มีการรับลูกทันทีจาก รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขึงขังระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.อ.วิเชียรจะต้องรับผิดชอบ ฐานปล่อยปละละเลย พร้อมๆกับการดิสเครดิตกล่าวหาว่าไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการปราบปรามในเรื่องดังกล่าวเพราะเติบโตมาคนละสายงาน รวมไปถึงเหตุผลอื่นๆสารพัด สรุปก็คือต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้คนอื่นเข้ามานั่งแทน นั่นแหละ
ขณะเดียวกันก็ชมเชย พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ว่ามีความเหมาะสมทุกด้าน ทั้งในเรื่องการปราบปรามยาเสพติด เสียอย่างเดียวคือเป็นญาติกับ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น และที่ผ่านมาก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ก็ไม่เคยพูดถึงว่าในยุครัฐบาล ทักษิณ นั้น พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ได้ “ข้ามหัว” รวมทั้งมีการซิกแซ็กแลกตำแหน่งให้กับนายตำรวจคนใดบ้างเพื่อขึ้นมานั่งเก้าอี้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจ่อนั่งเก้าอี้สูงสุดในองค์กรแห่งนี้
หลังจากที่มีการสร้างละครเรื่องบ่อนการพนันกลางกรุงแบบเน้นเฉพาะเป้าหมายบางพื้นที่นั้น อีกด้านหนึ่งก็เริ่มเดินเกม “ต่อรอง” กันอย่างลับๆเช่นเดียวกัน ระหว่างคนที่มี “อำนาจแท้จริง” ในรัฐบาลคือ ทักษิณ ชินวัตร โดยตอนแรกมีข่าวที่ปรากฏออกมาก็คือจะให้ พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแทนคนปัจจุบันที่จะเกษียณอายุราชการพอดี เป็นการปลอบใจ และยังเป็นตำแหน่งระดับ 11 ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในอีก 2 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ดีมีข่าวว่า พล.ต.อ.วิเชียร ไม่ยอมตกลง เนื่องจากเห็นว่าเป็นการ “ออกนอกเส้นทาง” มากเกินไป ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาของ บรรหาร ศิลปอาชา ที่มีโควตาดูแลกระทรวงท่องเที่ยวฯคงไม่ยอมง่ายๆแน่ หากไม่มีอะไรมาแลกให้สมน้ำสมเนื้อ
จากนั้น พล.ต.อ.วิเชียร ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าจะไม่ลาออก อย่างไรก็ดีได้แบะท่าเอาไว้ด้วยว่า จะลุกจากเก้าอี้ก็ได้หากมีการแลกเปลี่ยนตำแหน่งที่ “มีศักดิ์ศรี”
การแสดงท่าทีดังกล่าวทำให้หลายคนมองว่านี่คือการ “ต่อรอง” เพราะตามกฎหมายตำรวจระบุเอาไว้ชัดเจนว่าการโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าตัวเท่านั้น หรือหากจะย้ายให้ไปช่วยราชการหรือไปประจำสำนักนายกฯแต่ก็ยังถือว่าตำแหน่งยังอยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ก็จะเป็นได้แค่ “รักษาราชการแทน” ไปจนเกษียณอายุนั่นเอง
นั่นคือที่มาของการผลักดันให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี โยกไปนั่งตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติในท้ายที่สุด ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าตัวก็มีท่าทีสบายใจ มีสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนกับว่าพอใจแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งมันก็หมายความว่าต้องไปนั่งทับเก้าอี้ของ ถวิล เปลี่ยนศรี ที่จะถูกเด้งไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
แม้ว่าในทางการเมืองเป็นเรื่องที่ทำได้ และโหดเหี้ยมเสมอ สำหรับใครก็ตามที่อยู่คนละขั้ว แต่ประเด็นสำคัญก็คือ หากแยกแยะเฉพาะประเด็นของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ถือว่าได้สร้างความผิดหวังให้กับสังคมไม่น้อย เพราะลักษณะที่ออกมาแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าเป็นแค่การ “ต่อรองเพื่อประโยชน์ส่วนตัว” เท่านั้น เมื่อสมใจแล้วก็เงียบเสียง ไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรี ยอมค้อมหัวให้กับอำนาจการเมืองมิชอบ ป่วยการที่อ้างว่าตนเองรับใช้ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ผลที่ประจักษ์อยู่ในเวลานี้ล้วนออกมาในทางตรงกันข้าม
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่สายตาของสังคมจะพากันจับจ้องวงการตำรวจด้วยสายตาที่เหยียดหยามมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสำคัญก็เป็นเพราะสาเหตุดังกล่าวนี่เอง แม้ว่าบางครั้งจะไปโทษฝ่ายการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงล้วงลูก แต่ขณะเดียวกันถ้า “แข็งขืน” และ “มีศักดิ์ศรี” ทำหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ รักษากฎหมายอย่างเที่ยงธรรม มันก็ย่อมทำให้ พวก“นักการเมืองกระจอก” มันเข้ามาไม่ได้ แต่นี่ตรงกันข้ามกลับกวักมือเรียก และพร้อมเปิดทางรับใช้อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น มันก็น่าอดสูจริงๆ !!