ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กลายเป็น “สันดอน” ที่ขุดยากเสียแล้ว สำหรับพฤติกรรม “ลักเล็กขโมยน้อย” ของรัฐบาลฮุนเซน โดยเฉพาะล่าสุด เขมร “เล่นของ” ใช้แผนที่ “มั่ว” โมเมขีดเส้นยึด 1 ใน 3 ของ “เกาะกูด” เป็นของตัวเอง โดยติดประกาศไว้ในห้องรับแขกสำนักงานตำรวจน้ำเกาะกง ทั้งๆ ที่ “เกาะกูด” เป็นของไทย “ร้อยเปอร์เซ็นต์” เพราะมีสนธิสัญญาแจ้งชัด ทั้งมีประภาคารยืนยัน แต่รัฐบาลฮุนเซนก็ยังทำเป็น “ด้าน” !
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาต่อเนื่อง และล่าสุดยังมีประเด็นเรื่องพื้นที่เกาะกูด จ.ตราดด้วย โดยมีรายงานว่า แผนที่สำนักงานตำรวจน้ำเกาะกง จ.เกาะกง กัมพูชา ได้ระบุว่า พื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะกูดเป็นของกัมพูชา ซึ่งแผนที่ดังกล่าวติดไว้บริเวณห้องรับแขกของสำนักงาน โดยเขียนว่าเป็นแผนที่กัมพูชาและแผนที่ จ.เกาะกง ซึ่งมีการขีดเส้นอาณาเขตทางบกและทางทะเล
ทั้งนี้ การขีดเส้นดังกล่าวยึดหลักเขตที่ 73 บ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ลากเส้นไปยังละติจูด 101 ลิปดา 20 ลิปดา เหนือ ลองจิจูด 11 ลิปดา 32 ลิปดาตะวันออก และลากยาวผ่านไปยังภูเขาที่สูงที่สุดของ อ.เกาะกูด และยังลากไปยังเส้นลองจิจูด 101 ลิปดา 13 ลิปดาเหนือ และละติจูด 10 ลิปดา 59 ลิปดาตะวันออก และลากไปชนกับเส้นเขตเศรษฐกิจพิเศษ 120 ไมล์ทะเลที่มากกว่า 150,000 ตารางกิโลเมตร
โดยกัมพูชาระบุว่า เส้นนี้เป็นที่ยึดตามข้อตกลงในปี 1972 หรือ พ.ศ. 2515 และแผนที่ดังกล่าวเป็นแผนที่ที่กัมพูชาใช้เป็นพื้นที่อาณาเขตมาตลอดระยะเวลา 30 ปี
ขณะที่ นายประเสริฐ ศิริ อดีตกำนัน ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ได้ให้ความเห็นว่า การขีดเส้นแดนของกัมพูชาในแผนที่เป็นการขีดขึ้นเองแต่ฝ่ายเดียว เพราะหลักเขตที่ 73 ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านหาดเล็ก เป็นจุดเล็งของพื้นที่อาณาเขตของ 2 ประเทศ แต่การเล็งต้องมีหลักเขตที่ 72 เป็นหลักอ้างอิงด้วย แต่ปัจจุบันยังไม่รู้ว่าหลักเขตที่ 72 อยู่บริเวณไหน แต่ยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย 100% และทุกวันนี้ อ.เกาะกูด มีชาวตราดอาศัยอยู่ ทำประโยชน์ในที่ดินอยู่มานาน และไม่เคยมีใครเห็นหลักเขตที่ 74 ในเกาะกูดด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศนำโดยรองปลัดกระทรวงต่างประเทศ และรองอธิบดีกรมสารสนเทศ ได้เดินทางเข้ามาชี้แจงสื่อมวลชนท้องถิ่น และได้ยืนยันว่า อ.เกาะกูด เป็นของไทย เพราะมีสนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับเปรสิเดนต์แห่งริปับลิกฝรั่งเสศ 23 มีนาคม ร.ศ.125 พ.ศ.2449/50 (ค.ศ.1907) ข้อ 2 ว่า
“รัฐบาลฝรั่งเสศยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายแลเมืองตราษกับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยามตามกำหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดนดังกล่าวมาแล้ว”
ดังนั้น กัมพูชาจึงไม่มีสิทธิในพื้นที่เกาะกูด นอกจากนี้เมื่อฝรั่งเศสได้ทำสัญญาระบุว่าดินแดนดังกล่าวเป็นของไทยแล้ว ข้อมูลดังกล่าวก็ได้ถูกนำมาประกาศในราชกิจจานุเบกษาของไทย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ร.ศ.125 (ค.ศ.1907) โดยระบุว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายและเมืองตราดกับทั้งเกาะทั้งหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม”
นอกจากนี้ กรมอุทกศาสตร์ได้สร้างกระโจมไฟบนเกาะกูดเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินเรือ และกระโจมไฟดังกล่าวก็อยู่ในเขตพื้นที่ที่ทหารเรือไทยดูแล จึงเป็นสิ่งแสดงชัดเจนว่าไทยถือครองกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินเกาะกูดตลอดมา และกัมพูชาก็ไม่เคยอ้างสิทธิใดๆ
ทางด้าน นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ยืนยันว่า เกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทยตามสนธิสัญญา สยาม-ฝรั่งเศส 1907 ที่มีเนื้อหาว่าฝรั่งเศสยอมยก จังหวัดตราด และเกาะตามไหล่ทวีปทั้งหมดให้ไทย เพื่อแลกกับจังหวัดเสียมเรียบ พระตะบอง และศรีโสภณ ซึ่งในบันทึกข้อตกลง เอ็มโอยู 44 ได้แสดงไว้ชัดเจนแล้วว่า เกาะกูดอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย โดยกัมพูชายอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่อง “เกาะกูด” และปัญหาเรื่องแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ต้องจับตาอย่างต่อเนื่องแล้ว ล่าสุด ยังมีข่าวว่าจะมีการเปิดศึกฟาดแข้งกันระหว่างทีม “ผีแดง” ของท่านเซ่อแม้ว “ทักกี้ ชินวัตร” กับทีม “พระยาละแวกยูไนเต็ด” ของท่านเซ่อฮุนเซน โดยทีมผีแดงของเซ่อแม้วจะเดินทางไปเยือนรังของพระยาละแวก!
ทั้งนี้ ข่าวศึก “ซดแข้ง” กันที่กำลังจะระเบิดขึ้นนี้ ถูกปูดขึ้นโดย “ท่านเซ่อคางคก” จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่เปิดเผยว่า ตนและเพื่อนส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปร่วมแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรกับรัฐบาลกัมพูชาในวันที่ 24กันยายนนี้ โดยคาดว่าจะมีการเจรจาเพื่อขอตัวนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติกลับประเทศไทยด้วย
“ถึงแม้ทั้ง 2 คนจะมีแนวคิดที่แตกต่างกับรัฐบาล แต่ก็ไม่ควรจะไปอยู่อย่างนั้น” ท่านเซ่อคางคก ให้ความเห็น
นอกจากนี้ ฯพณฯ “พายัพ ปั้นเกตุ” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และหัวโจกคนเสื้อแดง ได้กล่าวเสริมว่า การแข่งขันครั้งนี้จะมี “สมเด็จฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และคณะรัฐมนตรี ร่วมแข่งขันด้วย โดยจะใช้สนามฟุตบอลที่กรุงพนมเปญ มีการถ่ายทอดสดออกอากาศไปทั่วโลก และคาดว่าจะสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก แต่ขณะนี้บรรดาแกนนำ นปช. ติดปัญหาเรื่องคำสั่งศาลห้ามเดินทางออกนอกประเทศ จึงต้องทำเรื่องขออนุมัติต่อศาล เพื่อออกนอกประเทศก่อน หากไม่สามารถเดินทางไปได้คงต้องให้ ส.ส. ในพรรคไปร่วมลงแข่งขันแทน
ทั้งนี้ แหล่งข่าวแกนนำเสื้อแดงเปิดเผยถึงแนวคิดการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรครั้งนี้ว่า มาจากแนวคิดของ “ท่านเซ่อกี้ร์” อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง หัวโจกคนเสื้อแดง ซึ่งหลบหนีคดีอยู่ที่ประเทศกัมพูชา โทรศัพท์มาพูดคุยกับกลุ่มของนายจตุพร และแกนนำคนอื่นๆ โดยนายอริสมันต์จะเป็นผู้ประสานงานทางฝ่ายกัมพูชา โดยนำรายได้จากการแข่งขันครั้งนี้ไปช่วยเหลือครอบครัวคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต อีกส่วนจะนำไปช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกจำคุกในกัมพูชา โดยเฉพาะนายวีระที่มีโรคประจำตัว
"นายอริสมันต์เพิ่งโทรศัพท์มาพูดคุย โดยเสนอว่าน่าจะจัดกิจกรรมเป็นฟุตบอลหรือคอนเสิร์ตเพื่อนำเงินไปช่วยเหลือครอบครัวคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตรวมทั้งนายวีระ และน.ส.ราตรี แต่ไม่คิดว่าจะตัดสินใจกันเร็วขนาดนี้" แหล่งข่าวเสื้อแดง กล่าว
ขณะเดียวกัน มาดูความพร้อมทางฝั่งของทีม “พระยาละแวก” กันบ้าง โดย พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้เปิดเผยว่า ฟุตบอลนัดดังกล่าว เป็นกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพราะสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ที่เรื้อรังมานานใกล้จบลงแล้ว
"ตอนนี้ยังไม่ทราบ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเข้ากัมพูชาระหว่างวันที่ 23-24 กันยายน ตามคำเชิญของสมเด็จฮุน เซน หรือไม่ ถ้าถามผมคงตอบไม่ได้มากเพราะพ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเข้ามาประเทศกัมพูชาเมื่อไรก็ได้ กัมพูชายินดีต้อนรับ และพ.ต.ท.ทักษิณก็เดินทางเข้า-ออกกัมพูชาเป็นเรื่องปกติ" พล.อ.เตีย บัน ระบุ
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าว “แดงเทียม” ที่ไม่ขอเปิดเผยนาม ได้ให้ความเห็นว่า การแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรครั้งนี้ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยโดยการนำของ “คุณปู” น่าจะวางแผน “ล็อกตัว” นช.ทักษิณ มารับโทษในประเทศไทย เพราะนั่นจะทำให้การยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ “ทักษิณ” ถูกระเบียบ เป็นไปตามกฎหมาย และง่ายขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่ต้องปวดสมองคิดหาช่องทางพาพี่ชายกลับบ้านอย่างไม่มีความผิด เป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่เหนือกฎหมาย เพราะขนาดคนธรรมดาขโมยเบียร์ขวดเดียวในเซเว่นฯ เขายังถูกพิพากษาจำคุก 6 เดือน ปรับ 1,000 บาท นี่ทักษิณเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี และความผิดก็หนักหนาสาหัสกว่ากันหลายเท่า ทำไมท่านเทวดาทักษิณถึงจะไม่ต้องรับโทษ “หรือว่าคุกมีไว้ขังหมากับคนจนเท่านั้น” แหล่งข่าวแดงเทียมระบุ
ทั้งนี้ ถ้าหากรัฐบาลยิ่งลักษณ์วางแผนใช้การแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรครั้งนี้ “ล็อกคอ” นช.ทักษิณ มารับโทษในประเทศไทยได้ นอกจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่ต้องปวดสมองคิดหาช่องทางผิดๆ ช่วยเหลือพี่ชายแล้ว รัฐบาลจะได้เอาเวลาไปทุ่มเทเพื่อแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชนเสียที
อีกทั้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ไปเตะฟุตบอลกับ นช.ทักษิณ จะได้ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะถ้า นช.ทักษิณ ซึ่งเป็นจำเลยหลบหนีคดีไปร่วมงานจริง และเมื่อส.ส.หรือคนไทยไปพบก็มีหน้าที่ต้องแจ้งเจ้าพนักงานดำเนินการจับกุม และ “นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” รมว.ต่างประเทศ ก็ต้องทำหนังสือประสานไปยังกัมพูชา เพื่อให้ติดตามตัวกลับมาดำเนินคดี หากไม่ดำเนินการก็จะเข้าข่าย “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
เป็นทางออกที่ดูดี จะได้จบปัญหา “ทักษิณ” กันเสียที ใช่หรือไม่!