เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการ - ลีกวนยู รัฐบุรุษอาวุโสผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์อีกทั้งเป็นบิดาของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ต้องรีบออกมาปฏิเสธพัลวันเมื่อวันจันทร์(5) ว่า ไม่ได้พูดพาดพิงถึงศาสนาอิสลามว่าเป็น “ศาสนาที่เต็มไปด้วยพิษร้าย” ภายหลังจากเอกสารลับทางการทูตของสหรัฐฯที่รั่วไหลจาก “วิกีลีกส์” ระบุว่าเขากล่าวเช่นนั้น และก่อให้เกิดความโกรธกริ้วไม่พอใจขึ้นในนครรัฐที่ประกอบด้วยผู้คนหลายเชื้อชาติแห่งนี้
เว็บไซต์จอมแฉ “วิกิลีกส์” ได้ระดมปล่อยเอกสารลับทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกมาอย่างทะลักทลายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ปรากฏว่าเป็นรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสิงคโปร์หลายร้อยชิ้น และ 1 ในรายงานเหล่านี้ระบุว่า ลีได้พูดถึงศาสนาอิสลามเอาไว้เช่นนี้ ระหว่างการพบปะหารือเมื่อปี 2005 กับ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งในขณะนั้นมีฐานะเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ
“ที่ระบุกันออกมานี่ผิดพลาดไม่ถูกต้องเลย” ลีซึ่งปัจจุบันอายุ 87 ปี กล่าวในคำแถลงปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่า เขาได้ตรวจทานจากบันทึกการหารือคราวนั้นของกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์แล้ว และ “ไม่มีตรงไหนเลยที่บันทึกจดเอาไว้ว่าผมได้กล่าวถึงศาสนาอิสลามว่า “เต็มไปด้วยพิษร้าย” นอกจากนั้นสิ่งที่ผมพูดก็ไม่มีอะไรที่สามารถชวนให้เข้าใจเช่นนั้นได้”
“เป็นความจริงที่ผมได้พูดเกี่ยวกับพวกผู้ก่อการร้ายสุดโต่ง อย่างเช่นกลุ่มญามาอะห์ อิสลามิยะห์ (เจไอ) และพวกผู้สอนศาสนาที่เป็นพวกญิฮัดซึ่งทำการล้างสมองกลุ่มเหล่านี้ คนเหล่านี้ต่างก็ปราศจากความปรานีและต้องการกำจัดทุกๆ คนที่ไม่เห็นพ้องกับพวกเขา” ลีระบุในคำแถลง
“ดังนั้นศาสนาอิสลามของพวกเขาจึงเป็นเวอร์ชั่นของคนที่หลงผิด ซึ่งชาวมุสลิมส่วนข้างมากจำนวนท่วมท้นในสิงคโปร์ไม่ได้นิยมเลื่อมใสด้วย”
ตามรายงานลับที่รั่วไหลออกมาฉบับดังกล่าว ซึ่งลงนามโดย แฟรงก์ ลาวิน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสิงคโปร์ขณะนั้น ในระหว่างการพบหารือกันคราวนี้ สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯอีกผู้หนึ่งในคณะของคลินตัน ได้สอบถามลีว่า “พวกผู้ก่อการร้ายที่มีการจัดตั้งรวมตัวเป็นองค์กรกันนั้นมีความเป็นสากลมากน้อยขนาดไหน”
รายงานลับบอกว่า ลี “กล่าวตอบว่า ศาสนาอิสลามแบบดั้งเดิม (orthodox Islam) เป็นพลังที่ทรงอำนาจซึ่งมีความสามารถในการเรียกระดมหาอาสาสมัครให้แก่กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ”
“เขาชี้ถึงประสบการณ์ของสิงคโปร์ในปี 2001 และ 2002 ในการรับมือกับแผนกโลบายก่อการร้ายในสิงคโปร์ของกลุ่มญามาอะห์ อิสลามิยะห์ และพูดถึงลักษณะพิเศษของอิสลามว่าเป็น ‘ศาสนาที่เต็มไปด้วยพิษร้าย’”
สิงคโปร์เป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ที่สุดเป็นคนจีน แต่ก็มีคนเชื้อชาติส่วนน้อยหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมาเลย์ ที่แทบทั้งหมดเป็นมุสลิม และมีจำนวนคิดเป็น 13.4% ของประชากรทั้งประเทศ 5 ล้านคน นอกจากนั้น ในทางภูมิศาสตร์ สิงคโปร์ก็เป็นเกาะเล็กนิดเดียวที่ถูกรายล้อมด้วยชาติมุสลิม อันได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และบรูไน
คำพูดของลีเช่นนี้ ปรากฏว่าได้จุดชนวนความโกรธกริ้วขึ้นในหมู่ประชาคมออนไลน์ของสิงคโปร์ ซึ่งเวลานี้กำลังแสดงบทบาทอันสำคัญทีเดียวในการกระตุ้นการถกเถียงอภิปรายของสาธารณชนในนครรัฐแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อหนังสือพิมพ์และสื่อเดิมๆ ล้วนถูกมองว่าอยู่ในการกำกับควบคุมของรัฐบาลไปหมด
“LKY (ลีกวนยู) ไม่ควรแสดงความคิดเห็นกว้างๆ และเหมารวมไปหมดอย่างนั้นเลย” ลีโรซวน พลเมืองสิงคโปร์คนหนึ่งเขียนเอาไว้ในหน้าเฟซบุ๊กของบล็อก “ดิ ออนไลน์ ซิตีเซน”
“เขาควรที่จะใช้ความพยายามศึกษาค้นคว้าให้มากยิ่งกว่านี้ หรือบางทีพวกรัฐมนตรีที่ได้เงินตอบแทนระดับปีละเป็นล้านดอลลาร์ น่าที่จะให้คำแนะนำดีๆ แก่เขาบ้าง”
ซอนนี เปไรรา ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกคนหนึ่ง กล่าวว่า คำพูดของลีเช่นนี้เข้าข่ายเป็นการปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมาในบ้านเมือง
“นี่คือการปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบชัดๆ เลย เขาควรที่จะละอายใจต่อสาธารณชนและต่อโลกอาหรับนะ จากสิ่งที่เขาได้พูดออกไป นี่คือการปลุกปั่นชัดๆ” เปไรรา เขียนเอาไว้เช่นนี้
เว็บไซต์จอมแฉ “วิกิลีกส์” ได้ระดมปล่อยเอกสารลับทางการทูตของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกมาอย่างทะลักทลายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ปรากฏว่าเป็นรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสิงคโปร์หลายร้อยชิ้น และ 1 ในรายงานเหล่านี้ระบุว่า ลีได้พูดถึงศาสนาอิสลามเอาไว้เช่นนี้ ระหว่างการพบปะหารือเมื่อปี 2005 กับ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งในขณะนั้นมีฐานะเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ
“ที่ระบุกันออกมานี่ผิดพลาดไม่ถูกต้องเลย” ลีซึ่งปัจจุบันอายุ 87 ปี กล่าวในคำแถลงปฏิเสธ พร้อมกับบอกว่า เขาได้ตรวจทานจากบันทึกการหารือคราวนั้นของกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์แล้ว และ “ไม่มีตรงไหนเลยที่บันทึกจดเอาไว้ว่าผมได้กล่าวถึงศาสนาอิสลามว่า “เต็มไปด้วยพิษร้าย” นอกจากนั้นสิ่งที่ผมพูดก็ไม่มีอะไรที่สามารถชวนให้เข้าใจเช่นนั้นได้”
“เป็นความจริงที่ผมได้พูดเกี่ยวกับพวกผู้ก่อการร้ายสุดโต่ง อย่างเช่นกลุ่มญามาอะห์ อิสลามิยะห์ (เจไอ) และพวกผู้สอนศาสนาที่เป็นพวกญิฮัดซึ่งทำการล้างสมองกลุ่มเหล่านี้ คนเหล่านี้ต่างก็ปราศจากความปรานีและต้องการกำจัดทุกๆ คนที่ไม่เห็นพ้องกับพวกเขา” ลีระบุในคำแถลง
“ดังนั้นศาสนาอิสลามของพวกเขาจึงเป็นเวอร์ชั่นของคนที่หลงผิด ซึ่งชาวมุสลิมส่วนข้างมากจำนวนท่วมท้นในสิงคโปร์ไม่ได้นิยมเลื่อมใสด้วย”
ตามรายงานลับที่รั่วไหลออกมาฉบับดังกล่าว ซึ่งลงนามโดย แฟรงก์ ลาวิน เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสิงคโปร์ขณะนั้น ในระหว่างการพบหารือกันคราวนี้ สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯอีกผู้หนึ่งในคณะของคลินตัน ได้สอบถามลีว่า “พวกผู้ก่อการร้ายที่มีการจัดตั้งรวมตัวเป็นองค์กรกันนั้นมีความเป็นสากลมากน้อยขนาดไหน”
รายงานลับบอกว่า ลี “กล่าวตอบว่า ศาสนาอิสลามแบบดั้งเดิม (orthodox Islam) เป็นพลังที่ทรงอำนาจซึ่งมีความสามารถในการเรียกระดมหาอาสาสมัครให้แก่กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ”
“เขาชี้ถึงประสบการณ์ของสิงคโปร์ในปี 2001 และ 2002 ในการรับมือกับแผนกโลบายก่อการร้ายในสิงคโปร์ของกลุ่มญามาอะห์ อิสลามิยะห์ และพูดถึงลักษณะพิเศษของอิสลามว่าเป็น ‘ศาสนาที่เต็มไปด้วยพิษร้าย’”
สิงคโปร์เป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ที่สุดเป็นคนจีน แต่ก็มีคนเชื้อชาติส่วนน้อยหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนมาเลย์ ที่แทบทั้งหมดเป็นมุสลิม และมีจำนวนคิดเป็น 13.4% ของประชากรทั้งประเทศ 5 ล้านคน นอกจากนั้น ในทางภูมิศาสตร์ สิงคโปร์ก็เป็นเกาะเล็กนิดเดียวที่ถูกรายล้อมด้วยชาติมุสลิม อันได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, และบรูไน
คำพูดของลีเช่นนี้ ปรากฏว่าได้จุดชนวนความโกรธกริ้วขึ้นในหมู่ประชาคมออนไลน์ของสิงคโปร์ ซึ่งเวลานี้กำลังแสดงบทบาทอันสำคัญทีเดียวในการกระตุ้นการถกเถียงอภิปรายของสาธารณชนในนครรัฐแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อหนังสือพิมพ์และสื่อเดิมๆ ล้วนถูกมองว่าอยู่ในการกำกับควบคุมของรัฐบาลไปหมด
“LKY (ลีกวนยู) ไม่ควรแสดงความคิดเห็นกว้างๆ และเหมารวมไปหมดอย่างนั้นเลย” ลีโรซวน พลเมืองสิงคโปร์คนหนึ่งเขียนเอาไว้ในหน้าเฟซบุ๊กของบล็อก “ดิ ออนไลน์ ซิตีเซน”
“เขาควรที่จะใช้ความพยายามศึกษาค้นคว้าให้มากยิ่งกว่านี้ หรือบางทีพวกรัฐมนตรีที่ได้เงินตอบแทนระดับปีละเป็นล้านดอลลาร์ น่าที่จะให้คำแนะนำดีๆ แก่เขาบ้าง”
ซอนนี เปไรรา ผู้ใช้เฟซบุ๊กอีกคนหนึ่ง กล่าวว่า คำพูดของลีเช่นนี้เข้าข่ายเป็นการปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นมาในบ้านเมือง
“นี่คือการปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบชัดๆ เลย เขาควรที่จะละอายใจต่อสาธารณชนและต่อโลกอาหรับนะ จากสิ่งที่เขาได้พูดออกไป นี่คือการปลุกปั่นชัดๆ” เปไรรา เขียนเอาไว้เช่นนี้
