xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เพรียวพันธ์"ผบ.ตร. “วิเชียร” ยอมศิโรราบ ถึงเวลาปูนบำเหน็จมะเขือเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ภายหลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เปิดคลิปวิดีโอบ่อนการพนัน และการซื้อขายยาเสพติดในสถานบันเทิงกลางสภาในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" โดยระบุว่า อยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจนครบาล ส.นั้น เป็นเสมือนหนึ่งแผ่นดินไหวที่ใต้รัฐสภา เพราะจากนั้นไม่นานก็เกิดคลื่นยักษ์สึนามิถาโถมถล่มเข้าใส่ สน.สุทธิสาร ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดย พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน.สุทธิสาร ไม่อาจที่จะรับมือกับคลื่นยักษ์ดังกล่าวนั้นได้

นอกจากนี้ คลื่นสึนามิจากกลางสภาฯ ยังได้ถล่มใส่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) ภายใต้การควบคุมดูแลของ พล.ต.ต.ดำรงดิ์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบก.น.2 ตามต่อด้วยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)ซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ระดับชาติ ที่ใครก็อยากเข้ามากุมบังเหียนขับเคลื่อน ซึ่งปัจจุบันมี "บิ๊กแป๊ะ"พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผบช.น. ยังถูก"คลื่นสึนามิบ่อน"จากกลางสภาฯ พัดเข้าใส่จวนเจียนจะล้มมิล้มแหล่พร้อมกับเพื่อนๆ นายพลอีกรวม 4 คน

เท่านั้นยังไม่พอ "คลื่นสึนามิบ่อน" จากกลางสภาฯ ยังไม่คลายฤทธิ์ กลับโหมกระหน่ำใส่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เป็นลูกสุดท้าย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เจ้าของเก้าอี้ "ผบ.ตร." โดยตรง

ทั้งนี้ ทั้งนั้น อาจจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว ระหว่างนักการเมืองกับผู้นำองค์กรสีกากี ที่ฟากขั้วไหนมีอำนาจ ฟากขั้วนั้นก็จะต้องนำคนของตนเองที่ไว้วางใจได้ขึ้นมาเป็นผู้นำเหล่าตำรวจแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศในวัน เวลา ที่ใกล้ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายอย่างพอเหมาะพอเจาะ แต่ติดขัดอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า "บิ๊กน้อย" พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี นั้น จะเกษียณอายุราชการในปี 2556 ทว่า "พี่ชายของพี่สะใภ้นายกฯ" ชื่อ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” ที่ปัจจุบันเป็น รอง ผบ.ตร.ไม่อาจที่จะรอให้ถึงวันเกษียณของ"บิ๊กน้อย"ลงได้ เพราะเหลืออายุราชการถึงแค่ปี 2555 นี่เอง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขจัดขวากหนามให้พ้นทางเสียแต่โดยเร็ววัน

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมรองนายกรัฐมนตรีที่ได้มากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่ใช่ชื่อ"พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" อดีตผบ.ตร. แต่กลับเป็นอดีตสารวัตรกองปราบ"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ด้วยเหตุผลเพียงง่ายๆ ก็คือ "เฮียโก"ใจไม่ถึงที่จะทุบหัวขบวนผู้นำทัพสีกากีได้ เพราะตนเองก็เคยถูกทุบหัวมาก่อนแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้น นายใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้บริการสารวัตรเหลิมที่พร้อมจะร้องก๊าบๆๆ ตอบรับในทันควันอยู่แล้ว

เมื่อหัวขบวนถูกทุบถูกเปลี่ยน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีการปรับเปลี่ยนและแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียใหม่ ซึ่งในการเกษียณอายุราชการของข้าราชการตำรวจในปีนี้ มีถึง 1,438 นาย โดยเฉพาะตำแหน่งหลักๆ ระดับ"พล.ต.อ.-พล.ต.ท."นั้นมีถึง 15 นาย ถือเป็น"ขุมทอง"ของทั้งบรรดาเหล่าข้าราชการสีกากีและเหล่าเหลือบการเมืองที่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยแบ่งเป็นระดับรองผบ.ตร. หรือเทียบเท่า 5 นายประกอบด้วย พล.ต.อ.ชาตรี สุนทรศร หน.นรป.(สบ 10) พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ รองผบ.ตร. พล.ต.อ.วุฒิ พัวเวส รองผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ที่ปรึกษา (สบ 10) และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา(สบ 10) ทั้งนี้ ในกรณีที่ ผบ.ตร.คนปัจจุบันมีอันให้ต้องเป็นไป ตำแหน่ง"พล.ต.อ."ก็จะมีว่างขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่ง (ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) บางตำแหน่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวก็จะสิ้นสุดไปพร้อมผู้เกษียณ )

ระดับ"ผู้ช่วย ผบ.ตร." 3 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง และพล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ระดับ"ผู้บัญชาการ"ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้มี 5 นายประกอบด้วย พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ. 9 พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ ผบช.ปส. พล.ต.ท.ชลอศักดิ์ อาษา ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศิริพงศ์ อ่องแสงคุณ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. และพล.ต.ท.เกรียงศักดิ์ สุริโย สำรองราชการตร.

ทั้งนี้ การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ครั้งที่เพิ่งผ่านมา(ครั้งที่ 8/2554) วันที่ 31 ส.ค.2554 ที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปเป็นประธานการประชุมครั้งแรก หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ถือเป็นการประชุมเพื่อทำความรู้จักกับตำรวจ ถัดจากนั้นไม่นาน นายกรัฐมนตรีจึงเดินทางกลับ และมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเป็นประธานที่ประชุม ก.ตร.แทน ซึ่งวาระการประชุมในครั้งนั้น มีการพิจารณาเรื่องการขอขยายระยะเวลาการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก.ถึง จตช. และรอง ผบ.ตร. ในวาระประจำปี 2554 ออกไป นัยยะก็เพื่อจะได้มีการจัดสรร คัดสรรตัวบุคคลลงในตำแหน่งสำคัญต่างๆ ตามอำนาจ พูดง่ายๆ คือต้องจัดโผแต่งตั้งโยกย้ายใหม่ทั้งหมดนั่นเอง

ตำแหน่งที่ถูกโฟกัสมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ในจังหวะเวลา และนาทีนี้ คงไม่มีใครแรงเท่า"บิ๊กออฟ" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. ที่ ร.ต.อ.เฉลิม การันตีนักหนาว่า เป็นนายตำรวจมือปราบ นายตำรวจจับโจร เคยผ่านตำแหน่ง ผบช.ปส.มาก่อน ซ้ำ"บิ๊กออฟ" ยังมีศักดิ์เป็นพี่ชายสุดเลิฟของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อีกต่างหาก และหาก"บิ๊กออฟ" ไม่สามารถสานฝันถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในเที่ยวนี้ได้แล้ว นั่นย่อมหมายความว่า เขาจะเกษียณอายุราชการลงในตำแหน่งรองผบ.ตร.เท่านั้น

ดังนั้น ปฏิบัติการบีบ กดดัน รวมทั้งการขับไล่ไสส่งเจ้าของเก้าอี้ตัวเดิมจึงเกิดขึ้นในทุกรูปแบบ ซึ่งในชั้นแรกแม้เจ้าตัวจะฮึดสู้ด้วยการเดินทางเข้าบ้านสี่เสาร์เทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมทั้งออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและประโยคเด็ดที่ว่า “ท่านบอกว่าดีใจที่ผมเป็น ผบ.ตร.โดยที่ผ่านมารับทราบว่าทำงานเสียสละ ไม่หลับ ไม่นอน แทบไม่ได้พบหน้าครอบครัว จึงขอให้เสียสละและทำดีต่อไป เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ตำรวจคนอื่น” แต่ดูเหมือนว่า ล่าสุดบิ๊กน้อยจะไม่สามารถทนอยู่ในสภาพดังกล่าวได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเป็ดเหลิมที่คอยเหน็บแนม ทิ่มแทง พร้อมทั้งส่งสัญญาณสารพัดว่า บิ๊กน้อยจะไม่มีวันอยู่เป็นสุขในเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้ถ้าหากไม่ยอม พร้อมทั้งขู่ผ่านสื่อชัดๆ ว่า ภายใน 7 วันน่าจะเห็น ผบ.ตร.คนใหม่ ยิ่งในวันที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เดินทางไปประชุม ก.ตร.ด้วยแล้ว เป็ดเหลิมเล่นเกมจิตวิทยาถึงขนาดที่พูดต่อหน้าบิ๊กน้อยในระหว่างประชุม ก.ตร.ว่า “มาทำไม ไม่ได้เชิญ”

เช่นเดียวกับนายใหญ่ที่ส่งคนมาเจรจาเพื่อเปลี่ยนใจให้บิ๊กน้อยยอมย้ายก้นโดยสมัครใจด้วยการหยิบยื่นเก้าอี้ที่เทียบชั้นมานำเสนอให้เลือก ทั้งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

“หากผู้บังคับบัญชาเห็นสมควรว่าต้องไป หรือไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ก็ยินดีที่จะไป แต่ต้องไปอย่างถูกต้องสมเหตุสมผล ไปอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ผมทำงานปกป้องคนดีกำจัดคนชั่ว ดังนั้น ผู้มีอำนาจต้องใช้อำนาจด้วยความเป็นธรรม เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติ ใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่ใช่การเหมารวมทั้งหมด ไม่เช่นนั้น จะเป็นการทำลายองค์กรตำรวจ ซึ่งเป็นองค์กรผดุงความยุติธรรมมาอย่างช้านาน”

นั่นคือความพ่ายแพ้ที่ออกมาพร้อมกับดวงตาที่รื้นน้ำตาของ พล.ต.อ.วิเชียรที่ออกมายอมรับว่า มีขบวนการทำให้องค์กรตำรวจบอบช้ำ เพื่อบีบให้เปลี่ยนตัว ผบ.ตร.คนใหม่จริง และเขาก็พร้อมที่จะลุกจากเก้าอี้ตัวนี้ถ้าหากมีเหตุผลที่เหมาะสม

และล่าสุดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม สัญญาณชัดเจนในการเด้ง พล.ต.อ.วิเชียรก็หลุดออกมาจากปากของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อเธอพูดสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “แล้วแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.)”

แปลเป็นไทยง่ายๆ สั้นๆ ว่า จะย้ายก็ย้าย เพราะมอบสิทธิขาดและอำนาจให้พี่เหลิมหมดสิ้นทั้งอินทรีย์แล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าวในวันรุ่งขึ้นคือ 1 กันยายน ร.ต.อ.เฉลิมก็ประกาศชัดเจนว่า “จะเสนอชื่อ ผบ.ตร.คนใหม่ ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงเย็นวันนี้ หรือพรุ่งนี้ โดยจะเสนอทั้งหมด 3 รายชื่อ ประกอบด้วย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา และ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัตน์ให้นายกรัฐมนตรี เป็นผู้พิจารณาเลือก สำหรับ พล.ต.อ.วิเชียร นั้น โดยส่วนตัวเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะไปนั่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มากกว่า ปลัดการท่องเที่ยวและกีฬา เพราะเป็นผู้มีความสุขุมและเชี่ยวชาญในเรื่องของการวางแผน แต่ไม่เชี่ยวชาญในเรื่องของการปราบปราม โดยเรื่องดังกล่าวผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ พล.ต.อ.วิเชียรด้วยตัวเองแล้ว”

และในวันเดียวกันนั้นเอง ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้ง เมื่อ พล.ต.อ.วิเชียรยอมรับที่จะไปนั่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติแทนนายถวิล เปลี่ยนศรี และ ร.ต.อ.เฉลิมก็มอบหมายให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์รักษาราชการแทนทันที เพื่อรอพิธีกรรมก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร.อย่างสมบูรณ์แบบ

แน่นอน สำหรับรายชื่อคู่ชิงของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์คนอื่นที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากของ ร.ต.อ.เฉลิมมีอยู่คือ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์และพล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต นั้นเป็นเพียงแค่การเสนอเพื่อไม่ให้เกิดการติฉินว่า ได้พิจารณาแต่"บิ๊กออฟ"เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว ทุกคนไม่มีชื่อชั้นและบารมีที่จะขึ้นมาต่อกรกับ"บิ๊กออฟ" เพื่อชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.มาครอบครองได้

ขณะที่ตำแหน่งรองผบ.ตร.และผู้ช่วยผบ.ตร.ที่ว่างลง ก็อาจมีการตั้งแต่งโดยพิจารณาที่ลำดับความอาวุโสบ้าง เพื่อให้ให้เกิดการครหาและป้องกันการฟ้องร้อง ในขณะที่อีกส่วน จะถูกสอดไส้จัดคนของฝ่ายมีอำนาจขึ้นไปดำรงตำแหน่ง เพื่อขึ้นชิงความอาวุโสไว้ก่อน ส่วนรองผบ.ตร.ที่ไม่ได้อยู่ในสาย ก็อาจจะถูกโยกสลับไปเป็นที่ปรึกษา (สบ 10) ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมประชุมก.ตร. โดยเฉพาะเมื่อมีการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจทุกระดับ ย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียง

ตำแหน่งผู้บัญชาการ (ผบช.) ถือเป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจ ว่ากันว่า ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้ ไม่อยากจะถูกเลื่อนขึ้นไปให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.เสียด้วยซ้ำ ในการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้านี้ ตำแหน่งผบช.ก. หรือตำแหน่งผบ.ตร.น้อย กำลังเป็นที่ถูกจับตามอง เนื่องจากเจ้าของตำแหน่งคือ"เดอะกิ๊ก" พล.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ กำลังพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ซึ่งผู้ที่กำลังได้รับการคาดหมายที่จะให้มาดำรงตำแหน่งนี้ ปรากฏชื่อ"เดอะโก๋" พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ รองผบช.ภ.9 อดีตผู้การกองปราบ นักสืบชั้นเซียน แต่หากว่า พระศุกร์และพระเสาร์ทำอะไร"เดอะกิ๊ก"ไม่ได้ "เดอะโก๋"ก็อาจที่จะต้องไปสิงสถิตที่อื่นเสียก่อน

ตำแหน่งผบช.น.ของ" บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งเจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า"ต้องไปแน่" แต่จะขึ้นหรือไปประจำเท่านั้น ตำแหน่งนี้ ว่ากันว่ามีคนตีตราจองไว้แล้ว คือ พล.ต.ต.วินัย ทองสอง รองผบช.ก. ที่มีศักดิ์เป็นหลานเขยคุณหญิงพจมาน ทว่าในวงการสีกากี สิ่งที่แน่นอนกลับไม่แน่นอน เก้าอี้ น.1 ได้ปรากฏชื่อแคนดิเดท ที่มีชื่อชั้นน่าจับตามอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น"เดอะแจ๊ส" พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.ภ.1 ที่อาจพลิกเข้าวินแซงหลานเขยก็เป็นได้

ผู้บัญชาการภาค แน่นอนต้องมีการโยกสลับ สับเปลี่ยนกันหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะบช.ภ.2 ของ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู สามีแม่เลี้ยงติ๊ก บช.ภ.7 ของ พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน อดีตคนสนิทนายชวน หลีกภัย ส่วนบช.ภ.4 ของ พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ คงต้องไปถาม"ขวัญชัย ไพรพนา"ก่อนว่าจะให้อยู่ต่อไปหรือไม่ รวมทั้งบช.ปส. ที่พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ เกษียณอายุราชการลง ตำแหน่งนี้ จึงเป็นตำแหน่งสำคัญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต้องนำนายตำรวจที่ไว้วางใจไปนั่งกุมบังเหียน เพราะการปราบปรามยาเสพติดถือเป็นนโยบายหลักของพรรครัฐบาลที่ประกาศไว้เมื่อตอนหาเสียง

นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งระดับ ผบก.อีกหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งผู้การจังหวัด ที่จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง เพราะแน่นอน จังหวัดไหนที่พรรคเพื่อไทยไม่ประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง รวมทั้งพื้นที่ทำเลทองในนครบาล ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งไปสอดคล้องกับการขอขยายระยะเวลาการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก.ถึง จตช. และรอง ผบ.ตร. ออกไปของ ก.ตร.ครั้งแรกในสมัยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ถือเป็นสัจธรรมที่ต้องทำใจ สำหรับข้าราชการตำรวจ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนผู้มีอำนาจ การปรับเปลี่ยนตัวบุคคล เปลี่ยนตำแหน่งจึงเกิดขึ้นตามมา เหมือนที่เคยพูดกันมาว่า "ยุคใครยุคมัน" แต่มีอยู่สิ่งเดียว ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ"สันดานนักการเมือง"ที่คอยจ้องรังแกข้าราชการตำรวจอยู่เป็นประจำ!

กำลังโหลดความคิดเห็น