ภายหลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย เปิดคลิปวิดีโอบ่อนการพนัน และการซื้อขายยาเสพติดในสถานบันเทิงกลางสภาในวันแถลงนโยบายของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" โดยระบุว่า อยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจนครบาล ส.นั้น เป็นเสมือนหนึ่ง แผ่นดินไหวที่ใต้รัฐสภา จากนั้นไม่นานจึงได้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิถาถมถล่มเข้าใส่ สน.สุทธิสาร ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดย พ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน.สุทธิสาร ไม่อาจที่จะรับมือกับคลื่นยักษ์ดังกล่าวนั้นได้ คลื่นสึนามิจากกลางสภาฯ ยังได้ถล่มใส่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) ภายใต้การควบคุมดูแลของ พล.ต.ต.ดำรงดิ์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบก.น.2 แต่ บก.น.2 ก็มิอาจที่จะหยุดสึนามิลูกนี้ได้เสียแล้ว!
กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)ซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ระดับชาติ ที่ใครก็อยากเข้ามากุมบังเหียนขับเคลื่อน ซึ่งปัจจุบันมี "บิ๊กแป๊ะ"พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผบช.น. ยังถูก"คลื่นสึนามิบ่อน"จากกลางสภาฯพัดเข้าใส่จวนเจียนจะล้มมิล้มแหล่พร้อมกับเพื่อนๆนายพลอีกรวม 4 คน เท่านั้นยังไม่พอ"คลื่นสึนามิบ่อน"จากกลางสภาฯ ยังไม่คลายฤทธิ์ กลับโหมกระหน่ำใส่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เป็นลูกสุดท้าย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เจ้าของเก้าอี้"ผบ.ตร."โดยตรง!
อาจจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว ระหว่างนักการเมือง กับผู้นำองค์กรสีกากี ที่ฟากขั้วไหนมีอำนาจ ฟากขั้วนั้นก็จะต้องนำคนของตนเองที่ไว้วางใจได้ขึ้นมาเป็นผู้นำเหล่าตำรวจแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศในวัน เวลา ที่ใกล้ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายอย่างพอเหมาะพอเจาะ ติดขัดอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า "บิ๊กน้อย" พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี นั้น จะเกษียณอายุราชการในปี 2556 ทว่า "พี่ชายของพี่สะใภ้นายกฯ"ไม่อาจที่จะรอให้ถึงวันเกษียณของ"บิ๊กน้อย"ลงได้ เพราะ"เขา"ต้องเกษียณอายุราชการลงในปี 2555 นี่เอง จึงอาจเป็นไปได้ว่า แผนปฏิบัติการ"คลื่นสึนามิบ่อน"จึงอุบัติขึ้นที่กลางสภาฯ จะด้วยเจตนา หรือไม่เจตนาของ
"ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์"ก็ตาม แต่ฝ่ายตักตวงผลประโยชน์ได้เริ่มขึ้น ณ ที่นั้นแล้ว และจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้มากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่ใช่ชื่อ"พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" อดีตผบ.ตร. แต่กลับเป็นอดีตสารวัตรกองปราบ"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ด้วยเหตุผลเพียงง่ายๆก็คือ "เฮียโก"ใจไม่ถึงที่จะทุบหัวขบวนผู้นำทัพสีกากีได้ เพราะตนเองก็เคยถูกทุบหัวมาก่อนแล้วเช่นเดียวกัน
คงต้องนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มาตั้งข้อสังเกตด้วยเช่นกัน คือกรณีที่ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.กคม. ที่อ้างว่า มีผู้ร้องเรียนไปยังตร.ว่า อาจมีการนำศพ ที่อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงรวม 165 ศพไปฝังยังสุสานในวัดที่ จ.ระยอง โดยในครั้งนั้น พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม เดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบด้วยตนเอง แต่แล้ว หลักฐานทุกอย่างปรากฏชัดว่า เป็นศพไร้ญาติจาก จ.ชุมพร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ทำให้เรื่องนี้ได้รับความกระจ่างและเงียบไป แต่ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้เช่นกันว่า นั่น อาจจะเกี่ยวข้องกับแผนการเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.ด้วยหรือไม่
เมื่อหัวขบวนถูกทุบถูกเปลี่ยน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีการปรับเปลี่ยนและแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียใหม่ ซึ่งในการเกษียณอายุราชการของข้าราชการตำรวจในปีนี้ มีถึง 1,438 นาย โดยเเฉพาะตำแหน่งหลักๆระดับ"พล.ต.อ.-พล.ต.ท."นั้นมีถึง 15 นาย ถือเป็น"ขุมทอง"ของทั้งบรรดาเหล่าข้าราชการสีกากีและเหล่าเหลือบการเมืองที่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยแบ่งเป็นระดับรองผบ.ตร. หรือเทียบเท่า 5 นายประกอบด้วย พล.ต.อ.ชาตรี สุนทรศร หน.นรป.(สบ 10) พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ รองผบ.ตร. พล.ต.อ.วุฒิ พัวเวส รองผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ที่ปรึกษา (สบ 10) และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา(สบ 10) ทั้งนี้ ในกรณีที่ ผบ.ตร.คนปัจจุบันมีอันให้ต้องเป็นไป ตำแหน่ง"พล.ต.อ."ก็จะมีว่างขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่ง (ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) บางตำแหน่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวก็จะสิ้นสุดไปพร้อมผู้เกษียณ )
ระดับ"ผู้ช่วย ผบ.ตร." 3 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง และพล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ระดับ"ผู้บัญชาการ"ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้มี 5 นายประกอบด้วย พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ. 9 พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ ผบช.ปส. พล.ต.ท.ชลอศักดิ์ อาษา ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศิริพงศ์ อ่องแสงคุณ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. และพล.ต.ท.เกรียงศักดิ์ สุริโย สำรองราชการตร.
การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ครั้งที่เพิ่งผ่านมา(ครั้งที่ 8/2554) วันที่ 31 ส.ค.2554 ที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปเป็นประธานการประชุมครั้งแรก หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ถือเป็นการประชุมเพื่อทำความรู้จักกับตำรวจ ถัดจากนั้นไม่นาน นายกรัฐมนตรีจึงเดินทางกลับ และมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเป็นประธานที่ประชุม ก.ตร.แทน ซึ่งวาระการประชุมในครั้งนั้น มีการพิจารณาเรื่องการขอขยายระยะเวลาการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก.ถึง จตช. และรอง ผบ.ตร. ในวาระประจำปี 2554 ออกไป นัยยะก็เพื่อจะได้มีการจัดสรร คัดสรรตัวบุคคลลงในตำแหน่งสำคัญต่างๆ ตามอำนาจ พูดง่ายๆ คือต้องจัดโผแต่งตั้งโยกย้ายใหม่ทั้งหมดนั่นเอง
ตำแหน่งที่ถูกโฟกัสมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ในจังหวะเวลา และนาทีนี้ คงไม่มีใครแรงเท่า"บิ๊กออฟ" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. ที่ ร.ต.อ.เฉลิม การันตีนักหนาว่า เป็นนายตำรวจมือปราบ นายตำรวจจับโจร เคยผ่านตำแหน่ง ผบช.ปส.มาก่อน ซ้ำ"บิ๊กออฟ" ยังมีศักดิ์เป็นพี่ชายสุดเลิฟของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อีกต่างหาก และหาก"บิ๊กออฟ" ไม่สามารถสานฝันถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในเที่ยวนี้ได้แล้ว นั่นย่อมหมายความว่า เขาจะเกษียณอายุราชการลงในตำแหน่งรองผบ.ตร.เท่านั้น
ชื่อรองผบ.ตร.ถัดมาที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็คือ"บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่มีอายุราชการพร้อมพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แต่นั่นก็เชื่อว่า เป็นแค่การเอ่ยชื่อไม่ให้เกิดการติฉินว่า ได้พิจารณาแต่"บิ๊กออฟ"เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนรองผบ.ตร. จชต. และที่ปรึกษา (สบ 10) คนอื่นๆนั้น ยังไม่มีชื่อชั้นและบารมีที่จะขึ้นมาต่อกรกับ"บิ๊กออฟ" เพื่อชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.มาครอบครองได้ ดังนั้น หากว่า พล.ต.อ.วิเชียร ยอมจำนนลาออกเมื่อไหร่ เมื่อนั้น ฟันธงลงไปได้เลยว่า ผบ.ตร.คนต่อไป ชื่อพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แน่นอน
ในตำแหน่งรองผบ.ตร.และผู้ช่วยผบ.ตร.ที่ว่างลง ก็อาจมีการตั้งแต่งโดยพิจารณาที่ลำดับความอาวุโสบ้าง เพื่อให้ให้เกิดการครหาและป้องกันการฟ้องร้อง ในขณะที่อีกส่วน จะถูกสอดไส้จัดคนของฝ่ายมีอำนาจขึ้นไปดำรงตำแหน่ง เพื่อขึ้นชิงความอาวุโสไว้ก่อน ส่วนรองผบ.ตร.ที่ไม่ได้อยู่ในสาย ก็อาจจะถูกโยกสลับไปเป็นที่ปรึกษา (สบ 10) ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมประชุมก.ตร. โดยเฉพาะเมื่อมีการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจทุกระดับ ย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียง
ตำแหน่งผู้บัญชาการ (ผบช.) ถือเป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจ ว่ากันว่า ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้ ไม่อยากจะถูกเลื่อนขึ้นไปให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.เสียด้วยซ้ำ ในการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้านี้ ตำแหน่งผบช.ก. หรือตำแหน่งผบ.ตร.น้อย กำลังเป็นที่ถูกจับตามอง เนื่องจากเจ้าของตำแหน่งคือ"เดอะกิ๊ก" พล.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ กำลังพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ซึ่งผู้ที่กำลังได้รับการคาดหมายที่จะให้มาดำรงตำแหน่งนี้ ปรากฏชื่อ"เดอะโก๋" พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ รองผบช.ภ.9 อดีตผู้การกองปราบ นักสืบชั้นเซียน แต่หากว่า พระศุกร์และพระเสาร์ทำอะไร"เดอะกิ๊ก"ไม่ได้ "เดอะโก๋"ก็อาจที่จะต้องไปสิงสถิตที่อื่นเสียก่อน
ตำแหน่งผบช.น.ของ" บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งเจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า"ต้องไปแน่" แต่จะขึ้นหรือไปประจำเท่านั้น ตำแหน่งนี้ ว่ากันว่ามีคนตีตราจองไว้แล้ว คือ พล.ต.ต.วินัย ทองสอง รองผบช.ก. ที่มีศักดิ์เป็นหลานเขยคุณหญิงพจมาน ทว่าในวงการสีกากี สิ่งที่แน่นอนกลับไม่แน่นอน เก้าอี้ น.1 ได้ปรากฏชื่อแคนดิเดท ที่มีชื่อชั้นน่าจับตามอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น"เดอะแจ๊ส" พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.ภ.1 ที่อาจพลิกเข้าวินแซงหลานเขยก็เป็นได้
ผู้บัญชาการภาค แน่นอนต้องมีการโยกสลับ สับเปลี่ยนกันหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะบช.ภ.2 ของ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู สามีแม่เลี้ยงติ๊ก บช.ภ.7 ของ พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน อดีตคนสนิทนายชวน หลีกภัย ส่วนบช.ภ.4 ของ พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ คงต้องไปถาม"ขวัญชัย ไพรพนา"ก่อนว่าจะให้อยู่ต่อไปหรือไม่ รวมทั้งบช.ปส. ที่พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ เกษียณอายุราชการลง ตำแหน่งนี้ จึงเป็นตำแหน่งสำคัญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต้องนำนายตำรวจที่ไว้วางใจไปไปนั่งกุมบังเหียน เพราะการปราบปรามยาเสพติดถือเป็นนโยบายหลักของพรรครัฐบาลที่ประกาศไว้เมื่อตอนหาเสียง
ยังมีตำแหน่งระดับ ผบก.อีกหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งผู้การจังหวัด ที่จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง เพราะแน่นอน จังหวัดไหนที่พรรคเพื่อไทยไม่ประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในพื้นที่ภาคอิสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง รวมทั้งพื้นที่ทำเลทองในนครบาล ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งไปสอดคล้องกับการขอขยายระยะเวลาการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก.ถึง จตช. และรอง ผบ.ตร. ออกไปของ ก.ตร.ครั้งแรกในสมัยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถือเป็นสัจจธรรมที่ต้องทำใจ สำหรับข้าราชการตำรวจ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนผู้มีอำนาจ การปรับเปลี่ยนตัวบุคคล เปลี่ยนตำแหน่งจึงเกิดขึ้นตามมา เหมือนที่เคยพูดกันมาว่า "ยุคใครยุคมัน" แต่มีอยู่สิ่งเดียว ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ"สันดานนักการเมือง"ที่คอยจ้องรังแกข้าราชการตำรวจอยู่เป็นประจำ!
กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)ซึ่งเป็นกองบัญชาการใหญ่ระดับชาติ ที่ใครก็อยากเข้ามากุมบังเหียนขับเคลื่อน ซึ่งปัจจุบันมี "บิ๊กแป๊ะ"พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผบช.น. ยังถูก"คลื่นสึนามิบ่อน"จากกลางสภาฯพัดเข้าใส่จวนเจียนจะล้มมิล้มแหล่พร้อมกับเพื่อนๆนายพลอีกรวม 4 คน เท่านั้นยังไม่พอ"คลื่นสึนามิบ่อน"จากกลางสภาฯ ยังไม่คลายฤทธิ์ กลับโหมกระหน่ำใส่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เป็นลูกสุดท้าย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เจ้าของเก้าอี้"ผบ.ตร."โดยตรง!
อาจจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว ระหว่างนักการเมือง กับผู้นำองค์กรสีกากี ที่ฟากขั้วไหนมีอำนาจ ฟากขั้วนั้นก็จะต้องนำคนของตนเองที่ไว้วางใจได้ขึ้นมาเป็นผู้นำเหล่าตำรวจแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศในวัน เวลา ที่ใกล้ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายอย่างพอเหมาะพอเจาะ ติดขัดอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า "บิ๊กน้อย" พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี นั้น จะเกษียณอายุราชการในปี 2556 ทว่า "พี่ชายของพี่สะใภ้นายกฯ"ไม่อาจที่จะรอให้ถึงวันเกษียณของ"บิ๊กน้อย"ลงได้ เพราะ"เขา"ต้องเกษียณอายุราชการลงในปี 2555 นี่เอง จึงอาจเป็นไปได้ว่า แผนปฏิบัติการ"คลื่นสึนามิบ่อน"จึงอุบัติขึ้นที่กลางสภาฯ จะด้วยเจตนา หรือไม่เจตนาของ
"ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์"ก็ตาม แต่ฝ่ายตักตวงผลประโยชน์ได้เริ่มขึ้น ณ ที่นั้นแล้ว และจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้มากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่ใช่ชื่อ"พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" อดีตผบ.ตร. แต่กลับเป็นอดีตสารวัตรกองปราบ"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" ด้วยเหตุผลเพียงง่ายๆก็คือ "เฮียโก"ใจไม่ถึงที่จะทุบหัวขบวนผู้นำทัพสีกากีได้ เพราะตนเองก็เคยถูกทุบหัวมาก่อนแล้วเช่นเดียวกัน
คงต้องนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มาตั้งข้อสังเกตด้วยเช่นกัน คือกรณีที่ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.กคม. ที่อ้างว่า มีผู้ร้องเรียนไปยังตร.ว่า อาจมีการนำศพ ที่อาจเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงรวม 165 ศพไปฝังยังสุสานในวัดที่ จ.ระยอง โดยในครั้งนั้น พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม เดินทางลงพื้นที่ไปตรวจสอบด้วยตนเอง แต่แล้ว หลักฐานทุกอย่างปรากฏชัดว่า เป็นศพไร้ญาติจาก จ.ชุมพร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ทำให้เรื่องนี้ได้รับความกระจ่างและเงียบไป แต่ก็มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้เช่นกันว่า นั่น อาจจะเกี่ยวข้องกับแผนการเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.ด้วยหรือไม่
เมื่อหัวขบวนถูกทุบถูกเปลี่ยน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีการปรับเปลี่ยนและแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียใหม่ ซึ่งในการเกษียณอายุราชการของข้าราชการตำรวจในปีนี้ มีถึง 1,438 นาย โดยเเฉพาะตำแหน่งหลักๆระดับ"พล.ต.อ.-พล.ต.ท."นั้นมีถึง 15 นาย ถือเป็น"ขุมทอง"ของทั้งบรรดาเหล่าข้าราชการสีกากีและเหล่าเหลือบการเมืองที่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยแบ่งเป็นระดับรองผบ.ตร. หรือเทียบเท่า 5 นายประกอบด้วย พล.ต.อ.ชาตรี สุนทรศร หน.นรป.(สบ 10) พล.ต.อ.ชลอ ชูวงษ์ รองผบ.ตร. พล.ต.อ.วุฒิ พัวเวส รองผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ ธำรงศรีสกุล ที่ปรึกษา (สบ 10) และพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา(สบ 10) ทั้งนี้ ในกรณีที่ ผบ.ตร.คนปัจจุบันมีอันให้ต้องเป็นไป ตำแหน่ง"พล.ต.อ."ก็จะมีว่างขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่ง (ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 10) บางตำแหน่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวก็จะสิ้นสุดไปพร้อมผู้เกษียณ )
ระดับ"ผู้ช่วย ผบ.ตร." 3 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง และพล.ต.ท.ระพีพัฒน์ ปาละวงศ์ ระดับ"ผู้บัญชาการ"ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้มี 5 นายประกอบด้วย พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ. 9 พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ ผบช.ปส. พล.ต.ท.ชลอศักดิ์ อาษา ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศิริพงศ์ อ่องแสงคุณ ผบช.ประจำสง.ผบ.ตร. และพล.ต.ท.เกรียงศักดิ์ สุริโย สำรองราชการตร.
การประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ครั้งที่เพิ่งผ่านมา(ครั้งที่ 8/2554) วันที่ 31 ส.ค.2554 ที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปเป็นประธานการประชุมครั้งแรก หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ถือเป็นการประชุมเพื่อทำความรู้จักกับตำรวจ ถัดจากนั้นไม่นาน นายกรัฐมนตรีจึงเดินทางกลับ และมอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเป็นประธานที่ประชุม ก.ตร.แทน ซึ่งวาระการประชุมในครั้งนั้น มีการพิจารณาเรื่องการขอขยายระยะเวลาการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก.ถึง จตช. และรอง ผบ.ตร. ในวาระประจำปี 2554 ออกไป นัยยะก็เพื่อจะได้มีการจัดสรร คัดสรรตัวบุคคลลงในตำแหน่งสำคัญต่างๆ ตามอำนาจ พูดง่ายๆ คือต้องจัดโผแต่งตั้งโยกย้ายใหม่ทั้งหมดนั่นเอง
ตำแหน่งที่ถูกโฟกัสมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร. ในจังหวะเวลา และนาทีนี้ คงไม่มีใครแรงเท่า"บิ๊กออฟ" พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. ที่ ร.ต.อ.เฉลิม การันตีนักหนาว่า เป็นนายตำรวจมือปราบ นายตำรวจจับโจร เคยผ่านตำแหน่ง ผบช.ปส.มาก่อน ซ้ำ"บิ๊กออฟ" ยังมีศักดิ์เป็นพี่ชายสุดเลิฟของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อีกต่างหาก และหาก"บิ๊กออฟ" ไม่สามารถสานฝันถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในเที่ยวนี้ได้แล้ว นั่นย่อมหมายความว่า เขาจะเกษียณอายุราชการลงในตำแหน่งรองผบ.ตร.เท่านั้น
ชื่อรองผบ.ตร.ถัดมาที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากของ ร.ต.อ.เฉลิม ก็คือ"บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่มีอายุราชการพร้อมพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แต่นั่นก็เชื่อว่า เป็นแค่การเอ่ยชื่อไม่ให้เกิดการติฉินว่า ได้พิจารณาแต่"บิ๊กออฟ"เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนรองผบ.ตร. จชต. และที่ปรึกษา (สบ 10) คนอื่นๆนั้น ยังไม่มีชื่อชั้นและบารมีที่จะขึ้นมาต่อกรกับ"บิ๊กออฟ" เพื่อชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.มาครอบครองได้ ดังนั้น หากว่า พล.ต.อ.วิเชียร ยอมจำนนลาออกเมื่อไหร่ เมื่อนั้น ฟันธงลงไปได้เลยว่า ผบ.ตร.คนต่อไป ชื่อพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แน่นอน
ในตำแหน่งรองผบ.ตร.และผู้ช่วยผบ.ตร.ที่ว่างลง ก็อาจมีการตั้งแต่งโดยพิจารณาที่ลำดับความอาวุโสบ้าง เพื่อให้ให้เกิดการครหาและป้องกันการฟ้องร้อง ในขณะที่อีกส่วน จะถูกสอดไส้จัดคนของฝ่ายมีอำนาจขึ้นไปดำรงตำแหน่ง เพื่อขึ้นชิงความอาวุโสไว้ก่อน ส่วนรองผบ.ตร.ที่ไม่ได้อยู่ในสาย ก็อาจจะถูกโยกสลับไปเป็นที่ปรึกษา (สบ 10) ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในการเข้าร่วมประชุมก.ตร. โดยเฉพาะเมื่อมีการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจทุกระดับ ย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียง
ตำแหน่งผู้บัญชาการ (ผบช.) ถือเป็นตำแหน่งที่ทรงอำนาจ ว่ากันว่า ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้ ไม่อยากจะถูกเลื่อนขึ้นไปให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ตร.เสียด้วยซ้ำ ในการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะเกิดขึ้นเบื้องหน้านี้ ตำแหน่งผบช.ก. หรือตำแหน่งผบ.ตร.น้อย กำลังเป็นที่ถูกจับตามอง เนื่องจากเจ้าของตำแหน่งคือ"เดอะกิ๊ก" พล.ต.ท.พงษ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ กำลังพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ซึ่งผู้ที่กำลังได้รับการคาดหมายที่จะให้มาดำรงตำแหน่งนี้ ปรากฏชื่อ"เดอะโก๋" พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์ รองผบช.ภ.9 อดีตผู้การกองปราบ นักสืบชั้นเซียน แต่หากว่า พระศุกร์และพระเสาร์ทำอะไร"เดอะกิ๊ก"ไม่ได้ "เดอะโก๋"ก็อาจที่จะต้องไปสิงสถิตที่อื่นเสียก่อน
ตำแหน่งผบช.น.ของ" บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งเจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกแล้วว่า"ต้องไปแน่" แต่จะขึ้นหรือไปประจำเท่านั้น ตำแหน่งนี้ ว่ากันว่ามีคนตีตราจองไว้แล้ว คือ พล.ต.ต.วินัย ทองสอง รองผบช.ก. ที่มีศักดิ์เป็นหลานเขยคุณหญิงพจมาน ทว่าในวงการสีกากี สิ่งที่แน่นอนกลับไม่แน่นอน เก้าอี้ น.1 ได้ปรากฏชื่อแคนดิเดท ที่มีชื่อชั้นน่าจับตามอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น"เดอะแจ๊ส" พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รรท.ผบช.ภ.1 ที่อาจพลิกเข้าวินแซงหลานเขยก็เป็นได้
ผู้บัญชาการภาค แน่นอนต้องมีการโยกสลับ สับเปลี่ยนกันหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะบช.ภ.2 ของ พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู สามีแม่เลี้ยงติ๊ก บช.ภ.7 ของ พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน อดีตคนสนิทนายชวน หลีกภัย ส่วนบช.ภ.4 ของ พล.ต.ท.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ คงต้องไปถาม"ขวัญชัย ไพรพนา"ก่อนว่าจะให้อยู่ต่อไปหรือไม่ รวมทั้งบช.ปส. ที่พล.ต.ท.อติเทพ ปัญจมานนท์ เกษียณอายุราชการลง ตำแหน่งนี้ จึงเป็นตำแหน่งสำคัญที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต้องนำนายตำรวจที่ไว้วางใจไปไปนั่งกุมบังเหียน เพราะการปราบปรามยาเสพติดถือเป็นนโยบายหลักของพรรครัฐบาลที่ประกาศไว้เมื่อตอนหาเสียง
ยังมีตำแหน่งระดับ ผบก.อีกหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะตำแหน่งผู้การจังหวัด ที่จะต้องถูกเปลี่ยนแปลง เพราะแน่นอน จังหวัดไหนที่พรรคเพื่อไทยไม่ประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาในพื้นที่ภาคอิสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง รวมทั้งพื้นที่ทำเลทองในนครบาล ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งไปสอดคล้องกับการขอขยายระยะเวลาการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ผบก.ถึง จตช. และรอง ผบ.ตร. ออกไปของ ก.ตร.ครั้งแรกในสมัยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถือเป็นสัจจธรรมที่ต้องทำใจ สำหรับข้าราชการตำรวจ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนผู้มีอำนาจ การปรับเปลี่ยนตัวบุคคล เปลี่ยนตำแหน่งจึงเกิดขึ้นตามมา เหมือนที่เคยพูดกันมาว่า "ยุคใครยุคมัน" แต่มีอยู่สิ่งเดียว ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือ"สันดานนักการเมือง"ที่คอยจ้องรังแกข้าราชการตำรวจอยู่เป็นประจำ!