งามหน้า! ตร.โคราชหน้าบางหอบข่าว นสพ.โร่แจ้งจับ “ผู้ตรวจกรมป่าไม้-ผอ.ป่าไม้โคราช” อ้างหมิ่นถูกกล่าวหาคดี 22 รีสอร์ตบุกรุกป่า “วังน้ำเขียว” อืด ถูกกลุ่มอิทธิพลนักการเมืองกดดัน เผยรายงานให้ผู้ว่าฯโคราช ในฐานะ หน.พนักงานสอบสวนทราบแล้ว ยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ด้าน ผอ.ป่าไม้โคราชขำกลิ้ง ชี้เป็นเรื่องแปลกไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อน
วานนี้ (31 ส.ค.) เวลา 10.00 น.ที่ สภ.เมืองนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.อนันต์ พิมพ์เจริญ รอง ผกก.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมา พนักงานสอบสวนคดีเกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรของชาติอื่นๆ จำนวน 22 คดี กรณีปลูกสร้างบ้านพักและรีสอร์ตบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว 22 แห่ง ซึ่งมีนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.วิเชียร โพธิจันทร์ ร้อยเวร สภ.เมืองนครราชสีมาให้ดำเนินคดีกับนายวิทูรย์ ชลายนนาวิน ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ และนายสุเทพ ปวเรศวิทยาฬาร ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมหลักฐานเป็นเนื้อหาข่าวการให้สัมภาษณ์ของทั้ง 2 คน ซึ่งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน รวม 3 ฉบับลงวันที่ 31 ส.ค.54
พ.ต.ท.อนันต์ เผยว่า การเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ครั้งนี้มาในฐานะพนักงานสอบสวนคดีเกี่ยวกับป่าไม้ฯ เนื่องจากวานนี้ (31)ได้เดินทางมาประชุมที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา และอ่านเจอหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับจึงนำมาเป็นหลักฐานแจ้งความฯ ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าการให้สัมภาษณ์ของนายวิทูรย์ และนายสุเทพ ที่ระบุว่า การดำเนินคดีรุกป่าของพนักงานสอบสวนล่าช้า และกล่าวหาทำนองว่า พนักงานสอบสวนเกรงกลัวอิทธิพล จึงไม่ดำเนินการและไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งความจริงแล้วพนักงานสอบสวนทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ทางป่าไม้ได้เข้ามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ไปเมื่อวันที่ 10 ส.ค.รวมถึงวันนี้ก็ผ่านไปประมาณ 21 วันเท่านั้น
"การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินหน้าต่อเนื่อง และอยากถามกลับทางป่าไม้บ้างว่า บ้านพักรีสอร์ตขนาดใหญ่หลายแห่งที่ผุดขึ้นมานั้น ไม่ได้ใช้เวลาก่อสร้างแค่วัน สองวัน แต่หลายเดือนหรือไม่ก็เป็นปี ทำไมป่าไม้ถึงให้ก่อสร้างขึ้นมาได้ แต่เมื่อตำรวจเข้ามาทำคดีแค่ 20 วัน จะให้จัดการเลยก็คงทำไม่ได้ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย ฉะนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ทางป่าไม้หยุดให้ข่าว การทำงานของป่าไม้ก็ทำไป ในส่วนของการสอบสวนพนักงานสอบสวนก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมก็มายื่นให้กับพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ไปออกข่าวเอิกเกริกและทำให้พนักงานสอบสวนเสียหาย ซึ่งได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายคนก่อนเข้าแจ้งความ และจะรายงานให้ทางนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาได้ทราบเรื่องดังกล่าวด้วย"
ต่อมาเวลา 11.00 น. พ.ต.ท.โชติ ตระกูล รอง ผกก.สส.สภ.วังน้ำเขียว ในฐานะพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจคดีบุกรุกป่า อ.วังน้ำเขียวของคดี 22 รีสอร์ตได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักย์ รอง ผบก.นครราชสีมา พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจระดับจังหวัดฯที่ห้องทำงานชั้น 1 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมนำคลิปข่าวเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายวิทูรย์ และนายสุเทพ ที่ลงในหนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ 29-31 ส.ค.54 เพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการสอบสวนคดีให้ พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ ทราบ
พ.ต.ท.โชติ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ได้ทำการสอบสวนผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของรีสอร์ตบางรายที่สะดวกมาให้การไปแล้ว และมีการนัดหมายส่วนที่เหลืออีกใน 2-3 วันนี้ ซึ่งเรื่องนี้เรื้อรังมาหลายสิบปีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ให้ข้อมูลมาเพียงจุด จีพีเอส อย่างเดียวไม่ระบุขอบเขตการบุกรุกที่แน่ชัด จึงขอถามทางป่าไม้ย้อนกลับไปบ้างว่า ในระหว่าง 10-20 ปีที่ผ่านมามีการเข้ามาก่อสร้าง รีสอร์ตบ้านพัก ซึ่งไม่ใช่ใช้เวลาแค่วันเดียวจะสร้างเสร็จ ท่านได้เข้าไปดูและไปตรวจสอบในพื้นที่หรือไม่ ว่าผู้ประกอบการเป็นใครที่มาบุกรุก
ฉะนั้น วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นมา เราไม่ทราบ ซึ่งตำรวจเองต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย อย่าส่องกระจกหน้าเดียว เมื่อมีการแจ้งความแล้วก็เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเราพยายามทำให้เร็วที่สุด เพราะมีผู้บังคับบัญชาเร่งรัดสำนวนคดีอยู่แล้ว
"ส่วนที่บอกว่าตำรวจไม่ให้ความร่วมมือนั้น ต้องเรียนว่าอันไหนที่เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับป่าเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ถ้าอันไหนไม่ได้เป็นพยานหลักฐานแล้วจะให้เราไปทำคงไม่ได้ ฉะนั้น อำนาจใครอำนาจมัน คุณมีหน้าที่ปักป้ายก็ปักไป แต่ส่วนพนักงานสอบสวนมีอำนาจหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเราก็จะทำหน้าที่ตรงนั้นไป ส่วนระยะเวลาในการดำเนินการขึ้นอยู่กับความยากง่ายของคดี เพราะเราต้องการให้ทราบว่าไม่มีนอมินีมาแสดงตัวเป็นเจ้าของรีสอร์ต และไม่ใช่ไปเอา นาย ก. นาย ข. มารับแทน เราต้องการรู้ว่าตัวจริงคือใครบ้าง เราถึงต้องทำไม่เช่นนั้นจะโดนกลับมาว่า คุณไปเอาใครมาก็ไม่รู้มาแสดงอีก "
พ.ต.ท.โชติ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ได้มีตัวแทนรีสอร์ตและบ้านพักนำหลักฐานเอกสารการถือครองมายื่นกับพนักงานสอบสวนแล้ว 18 ราย จากทั้งหมด 22 ราย แต่เราขอให้ไปนำหลักฐานต่างๆ มายืนยันการเป็นเจ้าของให้ครบถ้วน เพราะเราไม่เชื่อในคำพูดของเขา คาดว่าในสัปดาห์หน้านี้ผู้ประกอบการทั้งหมดน่าจะนำข้อมูลมาให้เราครบทั้ง 22 ราย เพราะขณะนี้บางคนอยู่ต่างประเทศ บางคนต้องหลบไปพักใจ
“ผมเป็นตำรวจอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน ไม่ใช่ประเภททำอะไรก็ทำได้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง และเราต้องวางตัวเป็นกลาง และนี่เป็นเรื่องระหว่างป่าไม้กับผู้ประกอบการ ส่วนที่มีข่าวว่าตำรวจถูกกดดันจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มนักการเมือง นั้น การกล่าวว่าอิทธิพลเป็นนามธรรม ถ้าผมอยู่ด้วยการถูกกดดัน ด้วยอิทธิพลก็คงอยู่ไม่ได้มาถึงนี้ 8 ปี ผมพูดด้วยความเป็นจริง ไม่ได้เข้าข้างใคร เราให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย” พ.ต.ท.โชติ กล่าว
ด้านนายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.อนันต์ เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายวิทูรย์ กับตนเองในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาว่า เป็นเรื่องแปลกดี (พร้อมหัวเราะ) และบอกว่า ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งข่าวดังกล่าวเป็นการนำเสนอของสื่อมวลชนที่จะนำไปเขียน ไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้เดี่ยวจะทะเลาะกันเปล่า ๆ
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาตำรวจกับป่าไม้มีการประสานการทำงานกันหรือไม่ นายสุเทพ กล่าว่า การทำงานในพื้นที่ก็มีการประสานงานกันอยู่ตลอด เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่กับป่าไม้ก็รู้จักกันดีเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำ และในวันนี้ยังมาประชุมร่วมกันที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทางศาลฯได้เรียกพนักงานสอบสวนและทางป่าไม้เข้ามาชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การออกหมายเรียก ออกหมายจับ รวมถึงเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับคดีดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบร่วมกัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรกัน
ส่วนที่ทางพนักงานสอบสวนที่เข้าแจ้งความระบุว่า ทางป่าไม้กล่าวหาว่าคดีล่าช้านั้น นายสุเทพ ได้ย้อนถามกลับผู้สื่อข่าวว่า “แล้วคิดว่าคดีล้าช้าหรือเปล่าละ”
"เรายืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานสอบสวนในส่วนคดีอาญาเลย เพราะแต่ละฝ่ายก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ในส่วนป่าไม้เราก็ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ตามมาตรา 25 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และได้ระมัดระวังมาตลอดเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์กับสื่อ เพราะไม่อยากยุ่งกับใคร โดยส่วนตัวแล้วทุกวันนี้แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยอ่าน ทีวีก็ไม่เคยดูข่าว เพราะเรื่องที่ทำอยู่ขณะนี้ก็ยุ่งมากพอแล้วและต้องยังมากลายเป็นปัญหาระหว่างสถาบันไปอีก” นายสุเทพกล่าว.
วานนี้ (31 ส.ค.) เวลา 10.00 น.ที่ สภ.เมืองนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.อนันต์ พิมพ์เจริญ รอง ผกก.ฝ่ายสืบสวนสอบสวน สภ.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมา พนักงานสอบสวนคดีเกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรของชาติอื่นๆ จำนวน 22 คดี กรณีปลูกสร้างบ้านพักและรีสอร์ตบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว 22 แห่ง ซึ่งมีนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.วิเชียร โพธิจันทร์ ร้อยเวร สภ.เมืองนครราชสีมาให้ดำเนินคดีกับนายวิทูรย์ ชลายนนาวิน ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ และนายสุเทพ ปวเรศวิทยาฬาร ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมหลักฐานเป็นเนื้อหาข่าวการให้สัมภาษณ์ของทั้ง 2 คน ซึ่งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน รวม 3 ฉบับลงวันที่ 31 ส.ค.54
พ.ต.ท.อนันต์ เผยว่า การเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ครั้งนี้มาในฐานะพนักงานสอบสวนคดีเกี่ยวกับป่าไม้ฯ เนื่องจากวานนี้ (31)ได้เดินทางมาประชุมที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา และอ่านเจอหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับจึงนำมาเป็นหลักฐานแจ้งความฯ ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าการให้สัมภาษณ์ของนายวิทูรย์ และนายสุเทพ ที่ระบุว่า การดำเนินคดีรุกป่าของพนักงานสอบสวนล่าช้า และกล่าวหาทำนองว่า พนักงานสอบสวนเกรงกลัวอิทธิพล จึงไม่ดำเนินการและไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งความจริงแล้วพนักงานสอบสวนทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ทางป่าไม้ได้เข้ามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ไปเมื่อวันที่ 10 ส.ค.รวมถึงวันนี้ก็ผ่านไปประมาณ 21 วันเท่านั้น
"การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินหน้าต่อเนื่อง และอยากถามกลับทางป่าไม้บ้างว่า บ้านพักรีสอร์ตขนาดใหญ่หลายแห่งที่ผุดขึ้นมานั้น ไม่ได้ใช้เวลาก่อสร้างแค่วัน สองวัน แต่หลายเดือนหรือไม่ก็เป็นปี ทำไมป่าไม้ถึงให้ก่อสร้างขึ้นมาได้ แต่เมื่อตำรวจเข้ามาทำคดีแค่ 20 วัน จะให้จัดการเลยก็คงทำไม่ได้ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย ฉะนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ทางป่าไม้หยุดให้ข่าว การทำงานของป่าไม้ก็ทำไป ในส่วนของการสอบสวนพนักงานสอบสวนก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมก็มายื่นให้กับพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ไปออกข่าวเอิกเกริกและทำให้พนักงานสอบสวนเสียหาย ซึ่งได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายคนก่อนเข้าแจ้งความ และจะรายงานให้ทางนายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาได้ทราบเรื่องดังกล่าวด้วย"
ต่อมาเวลา 11.00 น. พ.ต.ท.โชติ ตระกูล รอง ผกก.สส.สภ.วังน้ำเขียว ในฐานะพนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจคดีบุกรุกป่า อ.วังน้ำเขียวของคดี 22 รีสอร์ตได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักย์ รอง ผบก.นครราชสีมา พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจระดับจังหวัดฯที่ห้องทำงานชั้น 1 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมนำคลิปข่าวเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายวิทูรย์ และนายสุเทพ ที่ลงในหนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ 29-31 ส.ค.54 เพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการสอบสวนคดีให้ พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ ทราบ
พ.ต.ท.โชติ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ได้ทำการสอบสวนผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของรีสอร์ตบางรายที่สะดวกมาให้การไปแล้ว และมีการนัดหมายส่วนที่เหลืออีกใน 2-3 วันนี้ ซึ่งเรื่องนี้เรื้อรังมาหลายสิบปีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ให้ข้อมูลมาเพียงจุด จีพีเอส อย่างเดียวไม่ระบุขอบเขตการบุกรุกที่แน่ชัด จึงขอถามทางป่าไม้ย้อนกลับไปบ้างว่า ในระหว่าง 10-20 ปีที่ผ่านมามีการเข้ามาก่อสร้าง รีสอร์ตบ้านพัก ซึ่งไม่ใช่ใช้เวลาแค่วันเดียวจะสร้างเสร็จ ท่านได้เข้าไปดูและไปตรวจสอบในพื้นที่หรือไม่ ว่าผู้ประกอบการเป็นใครที่มาบุกรุก
ฉะนั้น วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นมา เราไม่ทราบ ซึ่งตำรวจเองต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย อย่าส่องกระจกหน้าเดียว เมื่อมีการแจ้งความแล้วก็เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเราพยายามทำให้เร็วที่สุด เพราะมีผู้บังคับบัญชาเร่งรัดสำนวนคดีอยู่แล้ว
"ส่วนที่บอกว่าตำรวจไม่ให้ความร่วมมือนั้น ต้องเรียนว่าอันไหนที่เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับป่าเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ถ้าอันไหนไม่ได้เป็นพยานหลักฐานแล้วจะให้เราไปทำคงไม่ได้ ฉะนั้น อำนาจใครอำนาจมัน คุณมีหน้าที่ปักป้ายก็ปักไป แต่ส่วนพนักงานสอบสวนมีอำนาจหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเราก็จะทำหน้าที่ตรงนั้นไป ส่วนระยะเวลาในการดำเนินการขึ้นอยู่กับความยากง่ายของคดี เพราะเราต้องการให้ทราบว่าไม่มีนอมินีมาแสดงตัวเป็นเจ้าของรีสอร์ต และไม่ใช่ไปเอา นาย ก. นาย ข. มารับแทน เราต้องการรู้ว่าตัวจริงคือใครบ้าง เราถึงต้องทำไม่เช่นนั้นจะโดนกลับมาว่า คุณไปเอาใครมาก็ไม่รู้มาแสดงอีก "
พ.ต.ท.โชติ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ได้มีตัวแทนรีสอร์ตและบ้านพักนำหลักฐานเอกสารการถือครองมายื่นกับพนักงานสอบสวนแล้ว 18 ราย จากทั้งหมด 22 ราย แต่เราขอให้ไปนำหลักฐานต่างๆ มายืนยันการเป็นเจ้าของให้ครบถ้วน เพราะเราไม่เชื่อในคำพูดของเขา คาดว่าในสัปดาห์หน้านี้ผู้ประกอบการทั้งหมดน่าจะนำข้อมูลมาให้เราครบทั้ง 22 ราย เพราะขณะนี้บางคนอยู่ต่างประเทศ บางคนต้องหลบไปพักใจ
“ผมเป็นตำรวจอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน ไม่ใช่ประเภททำอะไรก็ทำได้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง และเราต้องวางตัวเป็นกลาง และนี่เป็นเรื่องระหว่างป่าไม้กับผู้ประกอบการ ส่วนที่มีข่าวว่าตำรวจถูกกดดันจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มนักการเมือง นั้น การกล่าวว่าอิทธิพลเป็นนามธรรม ถ้าผมอยู่ด้วยการถูกกดดัน ด้วยอิทธิพลก็คงอยู่ไม่ได้มาถึงนี้ 8 ปี ผมพูดด้วยความเป็นจริง ไม่ได้เข้าข้างใคร เราให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย” พ.ต.ท.โชติ กล่าว
ด้านนายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.อนันต์ เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายวิทูรย์ กับตนเองในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาว่า เป็นเรื่องแปลกดี (พร้อมหัวเราะ) และบอกว่า ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งข่าวดังกล่าวเป็นการนำเสนอของสื่อมวลชนที่จะนำไปเขียน ไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้เดี่ยวจะทะเลาะกันเปล่า ๆ
เมื่อถามว่าที่ผ่านมาตำรวจกับป่าไม้มีการประสานการทำงานกันหรือไม่ นายสุเทพ กล่าว่า การทำงานในพื้นที่ก็มีการประสานงานกันอยู่ตลอด เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่กับป่าไม้ก็รู้จักกันดีเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำ และในวันนี้ยังมาประชุมร่วมกันที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทางศาลฯได้เรียกพนักงานสอบสวนและทางป่าไม้เข้ามาชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การออกหมายเรียก ออกหมายจับ รวมถึงเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับคดีดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบร่วมกัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรกัน
ส่วนที่ทางพนักงานสอบสวนที่เข้าแจ้งความระบุว่า ทางป่าไม้กล่าวหาว่าคดีล่าช้านั้น นายสุเทพ ได้ย้อนถามกลับผู้สื่อข่าวว่า “แล้วคิดว่าคดีล้าช้าหรือเปล่าละ”
"เรายืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานสอบสวนในส่วนคดีอาญาเลย เพราะแต่ละฝ่ายก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ในส่วนป่าไม้เราก็ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ตามมาตรา 25 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และได้ระมัดระวังมาตลอดเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์กับสื่อ เพราะไม่อยากยุ่งกับใคร โดยส่วนตัวแล้วทุกวันนี้แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยอ่าน ทีวีก็ไม่เคยดูข่าว เพราะเรื่องที่ทำอยู่ขณะนี้ก็ยุ่งมากพอแล้วและต้องยังมากลายเป็นปัญหาระหว่างสถาบันไปอีก” นายสุเทพกล่าว.