ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - งามหน้า! ฟัดกันเอง ตร.โคราช หน้าบาง หอบข่าว นสพ.โร่แจ้งจับ “ผู้ตรวจกรมป่าไม้-ผอ.ป่าไม้โคราช” อ้างหมิ่นถูกกล่าวหาคดี 22 รีสอร์ตบุกรุกป่า “วังน้ำเขียว” สุดอืด มีกลุ่มอิทธิพลนักการเมืองกดดัน เผย รายงานให้ผู้ว่าฯโคราช ในฐานะ หน.พนักงานสอบสวนทราบแล้ว ยันคดีคืบหน้าตามขั้นตอน ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ไม่จับ “นอมินี” ด้าน ผอ.ป่าไม้โคราช ขำกลิ้ง ชี้ เป็นเรื่องแปลกไม่เคยเห็นเรื่องแบบนี้มาก่อน พร้อมถามกลับคดีอืดจริงหรือไม่
วันนี้ (31 ส.ค. ) เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ สภ.เมืองนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.อนันต์ พิมพ์เจริญ รองผู้กำกับการ (รองผกก.) ฝ่ายสืบสวนสอบสวน (สส.) สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา 1 ใน 17 พนักงานสอบสวนคดีเกี่ยวกับป่าไม้และทรัพยากรของชาติอื่นๆ จำนวน 22 คดี กรณีปลูกสร้างบ้านพักและรีสอร์ต บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาภูหลวง อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา จำนวน 22 แห่ง ซึ่งมี นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับ พ.ต.ท.วิเชียร โพธิจันทร์ ร้อยเวร สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อให้ดำเนินคดี กับ นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ และ นายสุเทพ ปวเรศวิทยาฬาร ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมหลักฐานเป็นเนื้อหาข่าวการให้สัมภาษณ์ของทั้ง 2 คน ซึ่งลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน รวม 3 ฉบับ ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2554
พ.ต.ท.อนันต์ พิมพ์เจริญ รองผกก.สส.สภ.โพธิ์กลาง เปิดเผยว่า การเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ครั้งนี้มาในฐานะพนักงานสอบสวนคดีเกี่ยวกับป่าไม้ฯ เนื่องจากวันนี้ (31 ส.ค.) ได้เดินทางมาประชุมที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา และอ่านเจอหนังสือพิมพ์ทั้ง 3 ฉบับ จึงนำมาเป็นหลักฐานแจ้งความ
ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่า การให้สัมภาษณ์ของ นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ และ นายสุเทพ ปวเรศวิทยาฬาร ที่ระบุว่า การดำเนินคดีรุกป่าของพนักงานสอบสวน ล่าช้า และกล่าวหาทำนองว่า พนักงานสอบสวนเกรงกลัวอิทธิพลจึงไม่ดำเนินการ และไม่ให้ความร่วมมือ ซึ่งความจริงแล้วพนักงานสอบสวนทำงานกันอย่างต่อเนื่อง ทางป่าไม้ได้เข้ามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ไปเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา รวมจึงถึงวันนี้ก็ผ่านไปประมาณ 21 วันเท่านั้น
การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง และอยากถามกลับทางป่าไม้บ้างว่า บ้านพักรีสอร์ตขนาดใหญ่หลายแห่งที่ผุดขึ้นมานั้น ไม่ได้ใช้เวลาก่อสร้างแค่วันสองวัน แต่หลายเดือนหรือไม่ก็เป็นปี ทำไมป่าไม้ถึงให้ก่อสร้างขึ้นมาได้ แต่เมื่อตำรวจเข้ามาทำคดีแค่ 20 วัน จะให้จัดการเลยก็คงทำไม่ได้ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
“ฉะนั้น จึงอยากเรียกร้องให้ทางป่าไม้หยุดให้ข่าว การทำงานของป่าไม้ก็ทำไป ในส่วนของการสอบสวนพนักงานสอบสวนก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมก็มายื่นให้กับพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ไปออกข่าวเอิกเกริก และทำให้พนักงานสอบสวนเสียหาย ซึ่งได้ปรึกษาผู้ใหญ่หลายคนก่อนเข้าแจ้งความ และจะรายงานให้ทาง นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้ทราบเรื่องดังกล่าวด้วย” พ.ต.ท.อนันต์ กล่าว
ต่อมาเวลา 11.00 น.วันเดียวกัน พ.ต.ท.โชติ ตระกูล รองผกก.สส.สภ.วังน้ำเขียว ในฐานะ 1 ใน 17 พนักงานสอบสวนคดีบุกรุกป่า อ.วังน้ำเขียวของคดี 22 รีสอร์ต ฝ่ายตำรวจ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักย์ รองผบก.นครราชสีมา พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจระดับจังหวัดฯ ที่ห้องทำงานชั้น 1 กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมนำคลิปข่าวเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของ นายวิฑูรย์ และ นายสุเทพ ที่ลงในหนังสือพิมพ์ ฉบับวันที่ 29 -31 ส.ค.2554 เพื่อรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการสอบสวนคดีให้ พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ ทราบ
พ.ต.ท.โชติ ตระกูล รองผกก.สส.สภ.วังน้ำเขียว กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ได้ทำการสอบสวนผู้ใหญ่บ้านและเจ้าของรีสอร์ตบางรายที่สะดวกมาให้การไปแล้ว และมีการนัดหมายส่วนที่เหลืออีกใน 2-3 วันนี้ ซึ่งเรื่องนี้เรื้อรังมาหลายสิบปีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ให้ข้อมูลมาเพียงจุด จีพีเอส อย่างเดียวไม่ระบุขอบเขตการบุกรุกที่แน่ชัด จึงขอถามทางป่าไม้ย้อนกลับไปบ้างว่า ในระหว่าง 10-20 ปีที่ผ่านมา มีการเข้ามาก่อสร้างรีสอร์ตบ้านพัก ซึ่งไม่ใช่ใช้เวลาแค่วันเดียวจะสร้างเสร็จ ท่านได้เข้าไปดูและไปตรวจสอบในพื้นที่หรือไม่ ว่าผู้ประกอบการเป็นใครที่มาบุกรุก
ฉะนั้น วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นมา เราไม่ทราบ ซึ่งตำรวจเองต้องให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย อย่าส่องกระจกหน้าเดียว เมื่อมีการแจ้งความแล้วก็เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนเราพยายามทำให้เร็วที่สุด เพราะมีผู้บังคับบัญชาเร่งรัดสำนวนคดีอยู่แล้ว
ส่วนที่บอกว่าตำรวจไม่ให้ความร่วมมือนั้น ต้องเรียนว่าอันไหนที่เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับป่าเราก็ยินดีให้ความร่วมมือ แต่ถ้าอันไหนไม่ได้เป็นพยานหลักฐานแล้วจะให้เราไปทำคงไม่ได้ ฉะนั้นอำนาจใครอำนาจมัน คุณมีหน้าที่ปักป้ายก็ปักป้ายไป แต่ส่วนพนักงานสอบสวนมีอำนาจหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเราก็จะทำหน้าที่ตรงนั้นไป ส่วนระยะเวลาในการดำเนินการขึ้นอยู่กับความยากง่ายของคดี เพราะเราต้องการให้ทราบว่าไม่มีนอมินีมาแสดงตัวเป็นเจ้าของรีสอร์ต และไม่ใช่ไปเอา นาย ก. นาย ข.มารับแทน เราต้องการรู้ว่าตัวจริงคือใครบ้าง เราถึงต้องทำไม่เช่นนั้นจะโดนกลับมาว่า คุณไปเอาใครมาก็ไม่รู้มาแสดงอีก
พ.ต.ท.โชติ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ได้มีตัวแทนรีสอร์ต และบ้านพักนำหลักฐานเอกสารการถือครองมายื่นกับพนักงานสอบสวนแล้ว 18 ราย จากทั้งหมด 22 ราย แต่เราขอให้ไปนำหลักฐานต่างๆ มายืนยันการเป็นเจ้าของให้ครบถ้วน เพราะเราไม่เชื่อในคำพูดของเขา คาดว่าในสัปดาห์หน้านี้ผู้ประกอบการทั้งหมดน่าจะนำข้อมูลมาให้เราครบทั้ง 22 ราย เพราะขณะนี้บางคนอยู่ต่างประเทศ บางคนต้องหลบไปพักใจ
“ผมเป็นตำรวจอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน ไม่ใช่ประเภททำอะไรก็ทำได้โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง และเราต้องวางตัวเป็นกลาง และนี่เป็นเรื่องระหว่างป่าไม้กับผู้ประกอบการ ส่วนที่มีข่าวว่าตำรวจถูกกดดันจากกลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มนักการเมือง นั้น การกล่าวว่า อิทธิพลเป็นนามธรรม ถ้าผมอยู่ด้วยการถูกกดดัน ด้วยอิทธิพลก็คงอยู่ไม่ได้มาถึงนี้ 8 ปี ผมพูดด้วยความเป็นจริง ไม่ได้เข้าข้างใคร เราให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย” พ.ต.ท.โชติ กล่าว
ด้าน นายสุเทพ ปวเรศวิทยาฬาร ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.อนันต์ พิมพ์เจริญ รองผกก.สส.สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พนักงานสอบสวนคดีบ้านพักรีสอร์ต 22 แห่ง บุกรุกป่าสงวน อ.วังน้ำเขียว เข้าแจ้งความดำเนินคดี กับ นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ กับตัวเอง ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาว่า เป็นเรื่องแปลกดี (พร้อมหัวเราะ) และบอกว่า ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งข่าวดังกล่าวเป็นการนำเสนอของสื่อมวลชนที่จะนำไปเขียน ไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้เดี่ยวจะทะเลาะกันเปล่าๆ
ต่อข้อถามความจริงแล้วระหว่างตำรวจกับป่าไม้ มีการประสานการทำงานกันหรือไม่ นายสุเทพ กล่าว่า การทำงานในพื้นที่ก็มีการประสานงานกันอยู่ตลอด เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนใหญ่กับป่าไม้ก็รู้จักกันดีเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำ และในวันนี้ยังมาประชุมร่วมกันที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทางศาลได้เรียกพนักงานสอบสวนและทางป่าไม้เข้ามาชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การออกหมายเรียก ออกหมายจับ รวมถึงเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับคดีดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้รับทราบร่วมกัน ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรกัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางพนักงานสอบสวนที่เข้าแจ้งความระบุว่า ทางป่าไม้กล่าวหาว่าคดีล่าช้านั้น นายสุเทพได้ย้อนถามกลับผู้สื่อข่าวว่า “ แล้วคิดว่าคดีล้าช้าหรือเปล่าละ” นายสุเทพ กล่าว
“เรายืนยันว่า ที่ผ่านมา ไม่เคยไปก้าวก่ายยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของพนักงานสอบสวนในส่วนคดีอาญาเลย เพราะแต่ละฝ่ายก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป ในส่วนป่าไม้เราก็ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ตามมาตรา 25 พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และได้ระมัดระวังมาตลอดเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เพราะไม่อยากยุ่งกับใคร โดยส่วนตัวแล้วทุกวันนี้แม้แต่หนังสือพิมพ์ก็ไม่เคยอ่าน ทีวีก็ไม่เคยดูข่าวเพราะเรื่องที่ทำอยู่ขณะนี้ก็ยุ่งมากพอแล้ว และต้องยังมากลายเป็นปัญหาระหว่างสถาบันไปอีก” นายสุเทพ กล่าว