ASTVผู้จัดการรายวัน - “ปู”อ้ำอึ้งเก็บภาษีบาป เหล้า-บุหรี่ โปะกองทุนน้ำมัน อ้างรอหารือ ก.คลังก่อน ยันลดราคาน้ำมัน 3 ชนิดเพื่อลดรายจ่ายเบื้องต้น ย้ำไม่ทิ้งพลังงานทดแทน ไม่หวั่นปชป.ตั้งครม.เงาตรวจสอบ ต่างคนต่างทำหน้าที่ “ธีระชัย”รับระยะยาวบิดเบือนกลไกตลาดแต่หาเสียงไว้แล้วก็ต้องทำตามสัญญา ด้าน“บุญทรง”หารือสรรพสามิตวันนี้ ยืดเวลายกเว้นภาษีดีเซลออกไป 6-12 เดือน สอดรับงดเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อไม่ให้ขัดกับนโยบายรัฐบาล ในการลดค่าครองชีพประชาชน “คมนาคม”ดีเดย์ 1 ก.ย.ขสมก.-บขส.นำร่องลดค่าโดยสารรวมถึงเรือด่วนเจ้าพระยา “สุกำพล”สั่งเจรจา”เจ๊เกียว”และเอกชนรายอื่นมั่นใจปรับลดตามแน่
เมื่อเวลา 13.45 น. ที่กรมการขนส่งทหารบก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่กรมสรรพสามิต เตรียมเสนอให้รัฐบาลเก็บภาษีบาป เช่น เหล้า บุหรี่ เพื่อมาทดแทนกองทุนน้ำมันที่รัฐบาลสั่งชะลอเก็บในขณะนี้ ว่า คงเป็นหลักการเบื้องต้น ซึ่งต้องมีการพูดคุยกับทางกระทรวงการคลังก่อน เมื่อถามว่ารัฐบาลจะเอาเงินจากตรงไหนมาอุดหนุนเงินในกองทุนน้ำมันที่หายไป 3 แสนล้านบาท นายกฯ กล่าวว่า ไม่ถึง 3 แสนล้าน แต่อย่าเพิ่งไปคำนวณตรงนั้นที่เป็นหลายทาง ซึ่งรัฐบาลคงต้องดูในส่วนของงบประมาณอื่นและการเก็บจากส่วนอื่นเข้ามาด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไรที่จะทำให้ราคาน้ำมันของเบนซินและแก๊สโซฮอล์มีราคาต่างกันมากกว่าที่เป็นอยู่ นายกฯ กล่าวว่า ความจริงมีหลายวิธีในการที่จะรักษาระดับ เพราะการลดราคาน้ำมัน 3 ชนิดของรัฐบาลที่ทำอยู่นี้เป็นการทำเพื่อลดค่าใช้จ่ายเบื้องต้นแต่ในระยะยาวต้องมาดูในส่วนของโครงสร้างทั้งหมดอีกที คงต้องดูวิธีการปฏิบัติก่อน ต้องให้มั่นใจว่าในภาคปฏิบัติทั้งหมดจะไม่มีผลกระทบมากนัก และที่สำคัญต้องดูว่าทำอย่างไรที่จะมีมาตรการส่งเสริมให้คนกลับมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เหมือนเดิม
เมื่อถามว่าโดยหลักแล้วราคาของเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ควรจะห่างกันประมาณเท่าไหร่ ที่จะทำให้ผู้ประกอบการอยู่ได้และประชาชนก็ไม่เดือดร้อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในส่วนของแกตนั้น ขอยังไม่พูดในรายละเอียด เพราะที่ผ่านมาเบนซิน รัฐบาลได้มีการให้เงินอุดหนุนไปเยอะมากแล้ว ซึ่งทำให้อัตราการใช้เบนซินค่อนข้างสูง ซึ่งรัฐบาลคงต้องมาปรับการบริหารให้สมดุลก่อน ถึงจะมาดูในส่วนของโครงสร้าง ความแตกต่างของราคา อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะติดตามผลเกี่ยวกับพลังงานทดแทนอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าการลดราคาน้ำมัน 3 ชนิดของรัฐบาล จะทำให้ราคาสินค้าลดลงอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขอเวลาให้รัฐบาลทำงานหน่อย ค่อย ๆ ทำงานไป เมื่อถามถึงการที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งรัฐมนตรีเงาขึ้นมาติดตามการทำงานของรัฐบาลแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เราก็ทำหน้าที่ของเราไป
*** “ธีระชัย” หวั่นบิดเบือนแต่ต้องทำ
นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำหรับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินตามข้อเสนอของกรมสรรพสามิตนายธีระชัยกล่าวว่า ยอมรับว่า การยกเว้นเงินนำส่งของกองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงในส่วนของน้ำมันเบนซินและดีเซล มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันบิดเบือนไป แต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ จึงต้องรอดูพฤติกรรมการการใช้นำมันของประชาชนก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจว่าว่าจะดำเนินการอย่างไร ขณะนี้ยังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะบอกได้ว่าจะต้องขึ้นภาษีสรรพสามิตตัวใดบ้าง
***“บุญทรง” จ่อเว้นภาษีดีเซลออกไป 6-12 เดือน
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ในวันนี้(30 ส.ค.) จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกรมสรรพสามิต พร้อมกับจะหารือถึงแนวทางการขยายระยะเวลาการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำดีเซลในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตรที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายนออกไปอีก เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนตามนโยบายรัฐบาล ส่วนรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ จะต้องหารือกับกรมสรรพสามิต เพื่อสรุปเป็นแนวทางเสนอต่อนายธีระชัย ภูวนารนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
"ขณะนี้ยืนยันว่า ยืดเวลาออกไปแน่นอน แต่จะเป็นกี่เดือน คงต้องหารือกับกรมสรรพสามิตและให้สอดคล้องนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลคือการลดค่าครองชีพให้กับประชาขนด้วยการยกเลิกการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนเบนซินและดีเซลที่มีผลตั้งแต่ 27 สิงหาคมในระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งการขยายเวลาก็อาจจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพราะอะไรที่ขัดกับนโยบายนี้เราจะไม่ทำอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย แต่จำนวนไม่มากนัก” นายบุญทรงกล่าว
สำหรับนโยบายการยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกว่า น่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนหลังวันที่ 2 กันยายน หลังประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นจะเป็น จะเป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์และรถยนต์ประหยัดพลังงาน(อีโคคาร์) ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้กับผู้ที่ไม่เคยมีประวัติในการซื้อรถยนต์มาก่อน ในรายละเอียดต้องหารือขั้นตอนการได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีระหว่างกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งหลักการอาจไม่ใช้วิธีลดราคารถยนต์ลง แต่เป็นหารไปหักสิทธิลดหย่อนภาษีแทน
**สั่งกิตติรัตน์บี้เอกชนลดราคาสินค้า
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินัวตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ราคาสินค้าอุปโภค บริโภค บางประเภทยังไม่ลดราคาหลังจากที่มีการลดราคาน้ำมันลงแล้วว่า ต้องค่อยๆ ทำงาน จุดเริ่มต้นคือเรื่องราคาน้ำมันซึ่งจะต้องไปหารือกัน โดยวันที่ 29 ส.ค.นี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จะเริ่มไปคุยกับผู้ประกอบการหลายราย เพื่อขอความร่วมมือด้วย
เมื่อถามว่า ผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนยังไม่ยอมลดราคา รัฐบาลจะใช้วิธีเข้าไปสั่งการหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราอยากใช้วิธีหารือกัน บางอย่างก็เป็นไปตามกลไกการแข่งขันด้านราคาด้วย ซึ่งบางที่ยินดีจะลดราคาให้ ถือเป็นกลไกการตลาด หากจุดใดที่ให้ราคาเหมาะสม คนก็จะไปใช้บริการมากขึ้น
เมื่อถามถึงข้อเสนอการถ่างราคา ระหว่างน้ำมันเบนซิน กับแก๊สโซฮอล์ให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในภาพรวมระยะสุดท้าย เราอยากเห็นกระบวนการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ ซึ่งเป็นพลังงานทดแทน จุดนี้เราให้การสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาด้วยโครงสร้างของราคาน้ำมัน ไม่เป็นไปตามกลไกอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันที่เราต้องการส่งเสริม ดังนั้นวันนี้เราต้องค่อยๆกลับมาจัดระบบ และปรับให้เข้าสู่กลไก ช่วงนี้จึงเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยน ซึ่งวันนี้เราลดราคาน้ำมันไป 3 ประเภทแล้ว แต่วัตถุประสงค์จริงๆ ก็เพื่อลดค่าครองชีพ ท้ายที่สุดเราต้องใช้กลไกต่างๆในการที่จะค่อยๆปรับให้เข้าสู่กลไกการตลาด โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ ในที่สุดจะต้องมีมาตราการที่จะให้ส่งเสริมให้มีคนใช้แก๊สโซฮอล์ อยู่แล้ว
เมื่อถามว่าย้ำว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้มีการลดราคาแก๊สโซฮอล์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นไปได้ เดี๋ยวคงจะหารือกัน ซึ่งตนมอบ รมว.พลังงาน และรมว.คลัง ไปหารือในรายละอียดแล้ว และคงจะนำมาหารือกันในครม.
***“คมนาคม”ดีเดย์ 1 ก.ย.ลดค่าโดยสาร
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายหลังคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติยกเว้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร โดยมาอยู่ที่ 26.99 บาทต่อลิตรนั้นจึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับบริการขนส่งสาธารณะทั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)ปรับลดค่าโดยสารลงมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2554 เป็นต้นไป โดย ขสมก.ปรับลดค่าโดยสารรถโดยสารปรับอากาศลงระยะละ 1 บาท รถโดยสารธรรมดา(รถร้อน) ลดลง 50 สตางค์ ,บขส.ปรับลดลง 2 สตางค์ต่อกิโลเมตร และเรือด่วนเจ้าพระยาปรับลดระยะละ1 บาท เรือข้ามฟาก 50 สตางค์ ส่วนรถร่วมบริการเอกชนทั้ง ขสมก.และ บขส.นั้นให้เป็นการขอความร่วมมือ แต่จะปรับหรือไม่นั้นเป็นสิทธิ์ของเอกชน
“ในหลักการต้องยอมรับว่าค่าโดยสารที่มีการจัดเก็บในปัจจุบันเป็นเกณฑ์ราคาน้ำทันที่ลิตรละ 27 บาท ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันลดลงเหลือ 26.99 บาทก็สามารถปรับค่าโดยสารลงได้นิดหน่อยเป็นการช่วยเหลือกัน”พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว
ส่วนกรณีที่นางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์โดยสาร ระบุว่าจะยังไม่ปรับลดค่าโดยสารลงได้ทันทีในขณะนี้ เพราะค่าโดยสารปัจจุบันจัดเก็บในฐานราคาน้ำมันที่ 24.71 บาทต่อลิตรนั้น รมว.คมนาคมกล่าวว่า คงต้องเจรจากับเอกชนทุกๆราย ส่วนกรณีเจ๊เกียวเชื่อว่าหลังเจรจาก็คงปรับลดค่าโดยสารได้
ด้านนายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการ ขสมก.กล่าวว่า จะเสนออัตราค่าโดยสารใหม่เข้าที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก.ที่มีนายชัยรัตน์ สงวนชื่อ เป็นประธานในวันที่ 31 ส.ค.นี้เพื่อให้บังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. ตามนโยบายโดยไม่ต้องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง เนื่องจากเป็นการปรับลดลงและเป็นอัตราอยู่ต่ำกว่าเพดานกรอบค่าโดยสารที่เคยอนุมัติไว้ โดยรถโดยสารปรับอากาศเพดานอยู่ที่ 24 บาท รถร้อนเพดานไม่เกิน 7 บาท ซึ่งอัตราใหม่หลังปรับลง 1 บาท ทำให้รถปรับอากาศยูโรทู เหลือ 11-23 บาท จากเดิม 12-24 บาท รถปรับอากาศสีน้ำเงิน เหลือ 10-22 บาทจากเดิม 11-23 บาท รถร้อนเหลือ 6.50 บาทจาก 7 บาทโดยเฉลี่ยค่าโดยสารลดลงประมาณ 10%
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นไป บขส.จะปรับลดค่าโดยสารรถของบขส.(รถ 99) ทั้งรถหมวด 2 และหมวด 3 ลงทุกเส้นทางตามนโยบาย และจะขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการรถร่วมให้ลดค่าโดยสารลงด้วย ทั้งนี้แม้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร แต่ก็ยังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ บขส. ต้องแบกรับต้นทุนด้านน้ำมันต่อไป
โดยจะลดค่าโดยสารลง 2 สตางค์ต่อกิโลเมตร จากอัตรา 0.51 สตางค์ต่อกิโลเมตรเหลือ 0.49 สตางค์ต่อกิโลเมตร ซึ่งอยู่ในอัตราขั้นที่ 10 ราคาน้ำมันที่ 21.06-22.27 บาทต่อลิตร เฉลี่ยเป็นการลดค่าโดยสารจากเดิมลง 3 %
**สั่งเนื้อไก่ลดราคาโลละ 15 บาท
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ได้ออกประกาศปรับลดราคาขายปลีกแนะนำเนื้อไก่ลงเฉลี่ย กก.ละ 5-15 บาท ทำให้ราคาไก่สดทั้งตัว(รวมเครื่องใน) ในกทม. ภาคกลาง ตะวันออก และตะวันตก เหลือไม่เกินกก.ละ 60-65 บาท ไก่สดทั้งตัว(ไม่รวมเครื่องใน) ไม่เกิน กก. 65-70 บาท เนื้อไก่ไม่เกินกก.ละ 70-80 บาท ส่วนภาคเหนือให้จำหน่ายสูงกว่าราคาแนะนำได้ไม่เกินกก.ละ 2 บาทภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่เกิน 3 บาท และภาคใต้สูงไม่เกิน 5 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป และหากพบเห็นการขายเนื้อไก่เกินราคา สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569
***เรือด่วนเจ้าพระยาขอดูเงื่อนไข
น.ท.ปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการเรือด่วนเจ้าพระยา ผู้ให้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการปรับลดราคาค่าโดยสารเนื่องจากอยู่ระหว่างการรอประสานงานกับกรมเจ้าท่า (จท.) เพื่อประชุมหารือกรณีที่ภาครัฐต้องการให้เอกชนปรับลดราคาค่าโดยสาร โดยคาดว่า จะมีการประชุมร่วมกันในสัปดาห์นี้ โดยเอกชนจะขอดูข้อเสนอและเหตุผลต่างๆ ของภาครัฐอีกครั้ง
ทั้งนี้ ปัจจุบันเรือด่วนเจ้าพระยา สำหรับเรือประจำทางมีการเก็บค่าโดยสารใน 3 อัตราตามระยะ คือ เริ่มต้น 10 บาท สูงสุด 14 บาท โดยเรือด่วนธงส้ม จะเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสายต่อคนต่อเที่ยว และเรือด่วนธงเหลือง จะเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายต่อคนต่อเที่ยว.
เมื่อเวลา 13.45 น. ที่กรมการขนส่งทหารบก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่กรมสรรพสามิต เตรียมเสนอให้รัฐบาลเก็บภาษีบาป เช่น เหล้า บุหรี่ เพื่อมาทดแทนกองทุนน้ำมันที่รัฐบาลสั่งชะลอเก็บในขณะนี้ ว่า คงเป็นหลักการเบื้องต้น ซึ่งต้องมีการพูดคุยกับทางกระทรวงการคลังก่อน เมื่อถามว่ารัฐบาลจะเอาเงินจากตรงไหนมาอุดหนุนเงินในกองทุนน้ำมันที่หายไป 3 แสนล้านบาท นายกฯ กล่าวว่า ไม่ถึง 3 แสนล้าน แต่อย่าเพิ่งไปคำนวณตรงนั้นที่เป็นหลายทาง ซึ่งรัฐบาลคงต้องดูในส่วนของงบประมาณอื่นและการเก็บจากส่วนอื่นเข้ามาด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการอย่างไรที่จะทำให้ราคาน้ำมันของเบนซินและแก๊สโซฮอล์มีราคาต่างกันมากกว่าที่เป็นอยู่ นายกฯ กล่าวว่า ความจริงมีหลายวิธีในการที่จะรักษาระดับ เพราะการลดราคาน้ำมัน 3 ชนิดของรัฐบาลที่ทำอยู่นี้เป็นการทำเพื่อลดค่าใช้จ่ายเบื้องต้นแต่ในระยะยาวต้องมาดูในส่วนของโครงสร้างทั้งหมดอีกที คงต้องดูวิธีการปฏิบัติก่อน ต้องให้มั่นใจว่าในภาคปฏิบัติทั้งหมดจะไม่มีผลกระทบมากนัก และที่สำคัญต้องดูว่าทำอย่างไรที่จะมีมาตรการส่งเสริมให้คนกลับมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เหมือนเดิม
เมื่อถามว่าโดยหลักแล้วราคาของเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ควรจะห่างกันประมาณเท่าไหร่ ที่จะทำให้ผู้ประกอบการอยู่ได้และประชาชนก็ไม่เดือดร้อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในส่วนของแกตนั้น ขอยังไม่พูดในรายละเอียด เพราะที่ผ่านมาเบนซิน รัฐบาลได้มีการให้เงินอุดหนุนไปเยอะมากแล้ว ซึ่งทำให้อัตราการใช้เบนซินค่อนข้างสูง ซึ่งรัฐบาลคงต้องมาปรับการบริหารให้สมดุลก่อน ถึงจะมาดูในส่วนของโครงสร้าง ความแตกต่างของราคา อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะติดตามผลเกี่ยวกับพลังงานทดแทนอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าการลดราคาน้ำมัน 3 ชนิดของรัฐบาล จะทำให้ราคาสินค้าลดลงอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขอเวลาให้รัฐบาลทำงานหน่อย ค่อย ๆ ทำงานไป เมื่อถามถึงการที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งรัฐมนตรีเงาขึ้นมาติดตามการทำงานของรัฐบาลแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เราก็ทำหน้าที่ของเราไป
*** “ธีระชัย” หวั่นบิดเบือนแต่ต้องทำ
นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สำหรับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินตามข้อเสนอของกรมสรรพสามิตนายธีระชัยกล่าวว่า ยอมรับว่า การยกเว้นเงินนำส่งของกองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงในส่วนของน้ำมันเบนซินและดีเซล มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันบิดเบือนไป แต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ จึงต้องรอดูพฤติกรรมการการใช้นำมันของประชาชนก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจว่าว่าจะดำเนินการอย่างไร ขณะนี้ยังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะบอกได้ว่าจะต้องขึ้นภาษีสรรพสามิตตัวใดบ้าง
***“บุญทรง” จ่อเว้นภาษีดีเซลออกไป 6-12 เดือน
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ในวันนี้(30 ส.ค.) จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมกรมสรรพสามิต พร้อมกับจะหารือถึงแนวทางการขยายระยะเวลาการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำดีเซลในอัตรา 0.005 บาทต่อลิตรที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายนออกไปอีก เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนตามนโยบายรัฐบาล ส่วนรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ จะต้องหารือกับกรมสรรพสามิต เพื่อสรุปเป็นแนวทางเสนอต่อนายธีระชัย ภูวนารนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
"ขณะนี้ยืนยันว่า ยืดเวลาออกไปแน่นอน แต่จะเป็นกี่เดือน คงต้องหารือกับกรมสรรพสามิตและให้สอดคล้องนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลคือการลดค่าครองชีพให้กับประชาขนด้วยการยกเลิกการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนเบนซินและดีเซลที่มีผลตั้งแต่ 27 สิงหาคมในระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ซึ่งการขยายเวลาก็อาจจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพราะอะไรที่ขัดกับนโยบายนี้เราจะไม่ทำอยู่แล้ว แต่ก็ยอมรับว่า มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย แต่จำนวนไม่มากนัก” นายบุญทรงกล่าว
สำหรับนโยบายการยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกว่า น่าจะมีข้อสรุปที่ชัดเจนหลังวันที่ 2 กันยายน หลังประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นจะเป็น จะเป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์และรถยนต์ประหยัดพลังงาน(อีโคคาร์) ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้กับผู้ที่ไม่เคยมีประวัติในการซื้อรถยนต์มาก่อน ในรายละเอียดต้องหารือขั้นตอนการได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีระหว่างกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งหลักการอาจไม่ใช้วิธีลดราคารถยนต์ลง แต่เป็นหารไปหักสิทธิลดหย่อนภาษีแทน
**สั่งกิตติรัตน์บี้เอกชนลดราคาสินค้า
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินัวตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ราคาสินค้าอุปโภค บริโภค บางประเภทยังไม่ลดราคาหลังจากที่มีการลดราคาน้ำมันลงแล้วว่า ต้องค่อยๆ ทำงาน จุดเริ่มต้นคือเรื่องราคาน้ำมันซึ่งจะต้องไปหารือกัน โดยวันที่ 29 ส.ค.นี้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จะเริ่มไปคุยกับผู้ประกอบการหลายราย เพื่อขอความร่วมมือด้วย
เมื่อถามว่า ผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนยังไม่ยอมลดราคา รัฐบาลจะใช้วิธีเข้าไปสั่งการหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราอยากใช้วิธีหารือกัน บางอย่างก็เป็นไปตามกลไกการแข่งขันด้านราคาด้วย ซึ่งบางที่ยินดีจะลดราคาให้ ถือเป็นกลไกการตลาด หากจุดใดที่ให้ราคาเหมาะสม คนก็จะไปใช้บริการมากขึ้น
เมื่อถามถึงข้อเสนอการถ่างราคา ระหว่างน้ำมันเบนซิน กับแก๊สโซฮอล์ให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในภาพรวมระยะสุดท้าย เราอยากเห็นกระบวนการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ ซึ่งเป็นพลังงานทดแทน จุดนี้เราให้การสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาด้วยโครงสร้างของราคาน้ำมัน ไม่เป็นไปตามกลไกอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในส่วนของน้ำมันที่เราต้องการส่งเสริม ดังนั้นวันนี้เราต้องค่อยๆกลับมาจัดระบบ และปรับให้เข้าสู่กลไก ช่วงนี้จึงเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยน ซึ่งวันนี้เราลดราคาน้ำมันไป 3 ประเภทแล้ว แต่วัตถุประสงค์จริงๆ ก็เพื่อลดค่าครองชีพ ท้ายที่สุดเราต้องใช้กลไกต่างๆในการที่จะค่อยๆปรับให้เข้าสู่กลไกการตลาด โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ ในที่สุดจะต้องมีมาตราการที่จะให้ส่งเสริมให้มีคนใช้แก๊สโซฮอล์ อยู่แล้ว
เมื่อถามว่าย้ำว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้มีการลดราคาแก๊สโซฮอล์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นไปได้ เดี๋ยวคงจะหารือกัน ซึ่งตนมอบ รมว.พลังงาน และรมว.คลัง ไปหารือในรายละอียดแล้ว และคงจะนำมาหารือกันในครม.
***“คมนาคม”ดีเดย์ 1 ก.ย.ลดค่าโดยสาร
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภายหลังคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติยกเว้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร โดยมาอยู่ที่ 26.99 บาทต่อลิตรนั้นจึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับบริการขนส่งสาธารณะทั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)ปรับลดค่าโดยสารลงมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2554 เป็นต้นไป โดย ขสมก.ปรับลดค่าโดยสารรถโดยสารปรับอากาศลงระยะละ 1 บาท รถโดยสารธรรมดา(รถร้อน) ลดลง 50 สตางค์ ,บขส.ปรับลดลง 2 สตางค์ต่อกิโลเมตร และเรือด่วนเจ้าพระยาปรับลดระยะละ1 บาท เรือข้ามฟาก 50 สตางค์ ส่วนรถร่วมบริการเอกชนทั้ง ขสมก.และ บขส.นั้นให้เป็นการขอความร่วมมือ แต่จะปรับหรือไม่นั้นเป็นสิทธิ์ของเอกชน
“ในหลักการต้องยอมรับว่าค่าโดยสารที่มีการจัดเก็บในปัจจุบันเป็นเกณฑ์ราคาน้ำทันที่ลิตรละ 27 บาท ดังนั้นเมื่อราคาน้ำมันลดลงเหลือ 26.99 บาทก็สามารถปรับค่าโดยสารลงได้นิดหน่อยเป็นการช่วยเหลือกัน”พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว
ส่วนกรณีที่นางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถยนต์โดยสาร ระบุว่าจะยังไม่ปรับลดค่าโดยสารลงได้ทันทีในขณะนี้ เพราะค่าโดยสารปัจจุบันจัดเก็บในฐานราคาน้ำมันที่ 24.71 บาทต่อลิตรนั้น รมว.คมนาคมกล่าวว่า คงต้องเจรจากับเอกชนทุกๆราย ส่วนกรณีเจ๊เกียวเชื่อว่าหลังเจรจาก็คงปรับลดค่าโดยสารได้
ด้านนายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการ ขสมก.กล่าวว่า จะเสนออัตราค่าโดยสารใหม่เข้าที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ขสมก.ที่มีนายชัยรัตน์ สงวนชื่อ เป็นประธานในวันที่ 31 ส.ค.นี้เพื่อให้บังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย. ตามนโยบายโดยไม่ต้องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง เนื่องจากเป็นการปรับลดลงและเป็นอัตราอยู่ต่ำกว่าเพดานกรอบค่าโดยสารที่เคยอนุมัติไว้ โดยรถโดยสารปรับอากาศเพดานอยู่ที่ 24 บาท รถร้อนเพดานไม่เกิน 7 บาท ซึ่งอัตราใหม่หลังปรับลง 1 บาท ทำให้รถปรับอากาศยูโรทู เหลือ 11-23 บาท จากเดิม 12-24 บาท รถปรับอากาศสีน้ำเงิน เหลือ 10-22 บาทจากเดิม 11-23 บาท รถร้อนเหลือ 6.50 บาทจาก 7 บาทโดยเฉลี่ยค่าโดยสารลดลงประมาณ 10%
นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.เป็นต้นไป บขส.จะปรับลดค่าโดยสารรถของบขส.(รถ 99) ทั้งรถหมวด 2 และหมวด 3 ลงทุกเส้นทางตามนโยบาย และจะขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการรถร่วมให้ลดค่าโดยสารลงด้วย ทั้งนี้แม้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร แต่ก็ยังไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ บขส. ต้องแบกรับต้นทุนด้านน้ำมันต่อไป
โดยจะลดค่าโดยสารลง 2 สตางค์ต่อกิโลเมตร จากอัตรา 0.51 สตางค์ต่อกิโลเมตรเหลือ 0.49 สตางค์ต่อกิโลเมตร ซึ่งอยู่ในอัตราขั้นที่ 10 ราคาน้ำมันที่ 21.06-22.27 บาทต่อลิตร เฉลี่ยเป็นการลดค่าโดยสารจากเดิมลง 3 %
**สั่งเนื้อไก่ลดราคาโลละ 15 บาท
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ได้ออกประกาศปรับลดราคาขายปลีกแนะนำเนื้อไก่ลงเฉลี่ย กก.ละ 5-15 บาท ทำให้ราคาไก่สดทั้งตัว(รวมเครื่องใน) ในกทม. ภาคกลาง ตะวันออก และตะวันตก เหลือไม่เกินกก.ละ 60-65 บาท ไก่สดทั้งตัว(ไม่รวมเครื่องใน) ไม่เกิน กก. 65-70 บาท เนื้อไก่ไม่เกินกก.ละ 70-80 บาท ส่วนภาคเหนือให้จำหน่ายสูงกว่าราคาแนะนำได้ไม่เกินกก.ละ 2 บาทภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่เกิน 3 บาท และภาคใต้สูงไม่เกิน 5 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ส.ค.นี้ เป็นต้นไป และหากพบเห็นการขายเนื้อไก่เกินราคา สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569
***เรือด่วนเจ้าพระยาขอดูเงื่อนไข
น.ท.ปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการเรือด่วนเจ้าพระยา ผู้ให้บริการเรือด่วนเจ้าพระยา กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่มีการปรับลดราคาค่าโดยสารเนื่องจากอยู่ระหว่างการรอประสานงานกับกรมเจ้าท่า (จท.) เพื่อประชุมหารือกรณีที่ภาครัฐต้องการให้เอกชนปรับลดราคาค่าโดยสาร โดยคาดว่า จะมีการประชุมร่วมกันในสัปดาห์นี้ โดยเอกชนจะขอดูข้อเสนอและเหตุผลต่างๆ ของภาครัฐอีกครั้ง
ทั้งนี้ ปัจจุบันเรือด่วนเจ้าพระยา สำหรับเรือประจำทางมีการเก็บค่าโดยสารใน 3 อัตราตามระยะ คือ เริ่มต้น 10 บาท สูงสุด 14 บาท โดยเรือด่วนธงส้ม จะเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสายต่อคนต่อเที่ยว และเรือด่วนธงเหลือง จะเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายต่อคนต่อเที่ยว.