ASTVผู้จัดการรายวัน - ประเดิมประชานิยมแรกแล้ว “ปู” ประกาศลดราคาน้ำมัน ทั้งดีเซล เบนซิน 91 และเบนซิน 95 ลิตรละ 3-8 บาท มีผลวันนี้ (27 ส.ค.) กองทุนน้ำมันฯสูญรายได้ 6,000 ล้านต่อเดือน จ่อถกกู้เงินปลายปี “เชลล์” อัดรัฐลอยแพแก๊สโซฮอล์ จี้ให้ทำแค่ 3 เดือน เจ้าท่าสั่งเรือด่วน-แสนแสบลดค่าโดยสาร 1 บาท
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วานนี้ (26ส.ค.) ว่า กพช.ได้พิจารณากรอบนโยบายเร่งด่วนตามที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนโดยการปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ชนิดได้แก่ เบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล
โดยได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปพิจารณารายละเอียดในทางปฏิบัติโดยต้องการให้มีผลโดยเร็วที่สุด
“ ส่วนกรณีแก๊สโซฮอล์ที่ส่วนต่างราคาลดลงได้มอบให้ไปศึกษาผลกระทบทั้งหมด และกรณีที่ภาษีสรรพสามิตดีเซลจะสิ้นสุด ก.ย.นี้ได้มอบให้คลังไปดูรายละเอียด”น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงานกล่าวหลังการประชุมกบง.วันเดียวกันว่า ที่ประชุมกบง.ได้พิจารณาลดอัตราเก็บเงินกองทุนน้ำมันดีเซล เบนซิน 95 และเบนซิน 91 ลงมาจากปัจจุบันที่เก็บอยู่ 7.50 บาทต่อลิตร 6.70 บาทต่อลิตรและ 2.80 บาทต่อลิตรและให้มีผลทันทีวันนี้ (27ส.ค.) ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในเขตกทม.และปริมณฑลเมื่อรวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) จะปรับลดลงดังนี้
เบนซิน 95 ลดลง 8.02 บาทต่อลิตรจากราคา 47.34 บาทต่อลิตร เป็น 39.32 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ปรับลด 7.17 บาทต่อลิตรจาก 41.94 บาทต่อลิตรเหลือ 34.77 บาทต่อลิตร และดีเซล 3 บาทต่อลิตรจาก 29.99 บาทต่อลิตรเหลือ 26.99 บาทต่อลิตร
มาตรการดังกล่าวยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนแต่จะเป็นมาตรการชั่วคราวจนกว่าค่าครองชีพประชาชนจะดีขึ้นโดยเฉพาะนโยบายการเพิ่มค่าแรงของรัฐบาลที่คาดว่าจะดำเนินการได้เร็ว อย่างไรก็ตามการลดเงินเข้ากองทุนฯครั้งนี้ทำให้สูญรายได้ประมาณ 6,160 ล้านบาทต่อเดือนขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันฯขณะนี้มีเงินไหลเข้า 1,064 ล้านบาทการบริหารจัดการเงินกองทุนฯที่มีอยู่จะดูแลได้ถึง ม.ค.2555 ดังนั้นภายในเดือนธ.ค.คงจะมาพิจารณาแนวทางการกู้เงินระยะสั้นที่เดิมมติกพช.วางกรอบกู้ไว้ไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทซึ่งคาดว่าจะใช้ดูแลราคาพลังงานได้ 6 เดือน
“กรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์จะต่ำจนทำให้คนหันไปเติมเบนซิน 91 แทนหมดนั้นจะได้มีการหารือผลกระทบในขั้นต่อไปซึ่งระหว่างนี้ขอร้องประชาชนช่วยกันใช้เพราะจะเป็นการช่วยเกษตรกรไปด้วย”นายพิชัยกล่าว
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมในการเช็คสต็อกน้ำมันตั้งแต่คืนวันที่ 26 ส.ค.โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องถึง 100 สายตรวจที่จะไปตรวจปั๊มทุกจังหวัดทั่วประเทศราว 1.7 หมื่นแห่ง โดยเตรียมวงเงินไว้ดำเนินการประมาณ 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามที่ประชุมไม่ได้หารือรายละเอียดว่าเมื่อลดราคาดีเซลลงมาอยู่ระดับ 26.99 บาทต่อลิตรแล้วจะยังคงกำหนดเพดานตรึงราคาไว้ที่ 29.99 บาทต่อลิตรตามนโยบายเดิมหรือไม่อย่างไรซึ่งคงจะต้องมาพิจารณาภายหลัง
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวยอมรับว่า การปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯโดยเฉพาะดีเซลครั้งนี้จนทำให้ราคาดีเซลปรับลดลงมาต่ำกว่าเพดานที่กำหนดตรึงไว้ไม่เกิน 29.99 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 26.99 บาทต่อลิตรหลังจากนี้เมื่อราคาตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเท่ากับเป็นการสะท้อนต้นทุนตามกลไกตลาดโลก
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.พร้อมลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลลงทันทีตามมติ กบง. โดยภาครัฐต้องดำเนินการเช็คสต็อก เพื่อจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ค้าเพื่อไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันต้องเดือดร้อน ขณะเดียวกันเมื่อมีการเก็บเงินเข้ากองทุนฯอีกครั้งก็ต้องเช็คสต็อกน้ำมันเพื่อจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯด้วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“เราหวังว่ารัฐจะดูแลพลังงานทดแทน โดยปตท.ยืนยันจะขายเบนซิน 91 ควบคู่กับแก๊สโซฮอล์ ส่วนกรณีรัฐยังคงต้องการตรึงราคาขายก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) อยู่ระดับ 8.50 บาท/กก.นั้น ปตท.คงต้องหารือกับภาครัฐเพื่อให้หามาตรการเสริมมาสนับสนุน เพื่อให้ปตท.สามารถขยายธุรกิจได้ต่อ เนื่องจากปตท.ไม่สามารถแบกรับภาระการขาดทุนไปมากกว่านี้ได้อีก
***เชลล์จี้ควรทำแค่3เดือน
นางพิศวรรณ อัชนะพรกุล ประธานกรรมการบริษัทเชลล์ในประเทศไทยกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อยอดขายแก๊สโซฮอล์จึงไม่ควรทำเกิน 3 เดือน ซึ่งเชลล์จำหน่ายแก๊สโซฮอล์มา 5 ปี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้แก๊สโซฮอล์สูงถึง 70% ของกลุ่มผู้ใช้เบนซินซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงควรจะดูแลผู้ใช้กลุ่มใหญ่ด้วย นอกจากนี้การลดราคาเบนซินลงจะทำให้มีการนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่สอดคล้องกับนโยบายที่ผ่านมาที่ต้องการลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ จึงต้องการให้รัฐบาลชัดเจนยังจะเดินหน้านโยบายพลังงานทดแทนแผน 15 ปีหรือไม่เพื่อที่เอกชนจะได้ปรับตัวให้ทัน
***สั่งเรือด่วน-แสนแสบลดค่าโดยสาร
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประสานไปยังผู้ประกอบการเรือด่วนเจ้าพระยา , เรือคลองแสนแสบ และเรือข้ามฟาก เพื่อให้ปรับลดค่าโดยสารลงตามข้อตกลง โดยเรือด่วนและเรือแสนแสบลดลง 1 บาทเรือข้ามฟากลดลง 50 สตางค์ ภายหลังคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติยกเว้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร จากราคา 29.99 บาทต่อลิตรเหลือ 26.99 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.2554 เป็นต้นไป
“จากการประสานด้วยวาจาไปทางเรือแสนแสบขอเวลาในการพิจารณาก่อนตัดสินใจลดราคา ส่วนเรือด่วนเจ้าพระยานั้นจะขอจัดเก็บค่าโดยสารอัตราปัจจุบันไปจนถึงเดือน ก.ย.เพื่อชดเชยการขาดรายได้จากกรณีที่ภาครัฐให้ชะลอการปรับขึ้นค่าโดยสารก่อนหน้านี้ จาก 20 มิ.ย. 54 เป็น 1 ส.ค. 54 เพราะเป็นช่วงที่มีการเลือกตั้ง” นายถวัลย์รัฐกล่าว
ในขณะเดียวกัน ได้ให้เจ้าหน้าที่ทบทวนโครงสร้างอัตราค่าโดยสารใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการได้ยื่นอุทธรณ์ว่า คณะกรรมการเรือประจำทางควรนำปัจจัยต้นทุนอื่นๆมาคำนวณอัตราค่าโดยสารด้วยไม่ใช่ใช้ปัจจัยค่าน้ำมันอย่างเดียว โดยในสัปดาห์หน้าจะเรียกผู้ประกอบการมาประชุมร่วมกันอีกครั้ง
นาวาโทปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด และอุปนายกสมาคมเรือไทย กล่าวว่า ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ สมาคมฯจะทำหนังสือถึง จท.เพื่อขอระยะเวลาในการปรับลดค่าโดยสารลง จากเดิมที่กำหนดว่าจะต้องปรับลดลงทันที โดยจะขอระยะเวลา 15 วันเพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องของตั๋วโดยสาร และอื่นๆ ซึ่งเป็นในลักษณะเดียวกันกับการปรับเพิ่มค่าโดยสารขึ้น ที่จะต้องแจ้งเตือนให้กับประชาชนรับทราบก่อน 15 วัน และให้จท.พิจารณาทบทวนวิธีการคำนวณต้นทุนค่าโดยสารใหม่ โดยให้นำเรื่องค่าแรง และการบำรุงรักษา ประกอบการพิจารณาร่วมกับต้นทุนน้ำมันด้วย อย่างไรก็ตาม สมาคมเรือไทยยืนยันที่จะปฏิบัติตามมติเดิมที่คณะกรรมการเรือประจำทางกำหนดไว้ว่า หากราคาน้ำมันปรับลดลงมามากกว่า 29 บาทต่อลิตรแน่นอน
ปัจจุบันค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยาธงประจำทางอยู่ที่ 10-14 บาท ,เรือด่วนพิเศษธงส้มเก็บ 15 บาทตลอดสาย ,เรือด่วนพิเศษธงเหลืองเก็บ 19 บาท และ28 บาทตลอดสาย , เรือด่วนพิเศษธงเขียวเก็บ 13 บาท 20 บาทและ 32 บาทตลอดสาย ส่วนเรือคลองแสนแสบ ปรับขึ้นเป็น 10-20 บาท ขณะที่เรือข้ามฟากนั้น ท่าเรือสี่พระยา-คลองสาน,ท่าเรือสะพานสาธร-แป๊บซี่ เก็บ 3.50 บาท และท่าเรือพระสมุทรเจดีย์-ปากน้ำ.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วานนี้ (26ส.ค.) ว่า กพช.ได้พิจารณากรอบนโยบายเร่งด่วนตามที่รัฐบาลได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนโดยการปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ชนิดได้แก่ เบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล
โดยได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ไปพิจารณารายละเอียดในทางปฏิบัติโดยต้องการให้มีผลโดยเร็วที่สุด
“ ส่วนกรณีแก๊สโซฮอล์ที่ส่วนต่างราคาลดลงได้มอบให้ไปศึกษาผลกระทบทั้งหมด และกรณีที่ภาษีสรรพสามิตดีเซลจะสิ้นสุด ก.ย.นี้ได้มอบให้คลังไปดูรายละเอียด”น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พลังงานกล่าวหลังการประชุมกบง.วันเดียวกันว่า ที่ประชุมกบง.ได้พิจารณาลดอัตราเก็บเงินกองทุนน้ำมันดีเซล เบนซิน 95 และเบนซิน 91 ลงมาจากปัจจุบันที่เก็บอยู่ 7.50 บาทต่อลิตร 6.70 บาทต่อลิตรและ 2.80 บาทต่อลิตรและให้มีผลทันทีวันนี้ (27ส.ค.) ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในเขตกทม.และปริมณฑลเมื่อรวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) จะปรับลดลงดังนี้
เบนซิน 95 ลดลง 8.02 บาทต่อลิตรจากราคา 47.34 บาทต่อลิตร เป็น 39.32 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 ปรับลด 7.17 บาทต่อลิตรจาก 41.94 บาทต่อลิตรเหลือ 34.77 บาทต่อลิตร และดีเซล 3 บาทต่อลิตรจาก 29.99 บาทต่อลิตรเหลือ 26.99 บาทต่อลิตร
มาตรการดังกล่าวยังไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนแต่จะเป็นมาตรการชั่วคราวจนกว่าค่าครองชีพประชาชนจะดีขึ้นโดยเฉพาะนโยบายการเพิ่มค่าแรงของรัฐบาลที่คาดว่าจะดำเนินการได้เร็ว อย่างไรก็ตามการลดเงินเข้ากองทุนฯครั้งนี้ทำให้สูญรายได้ประมาณ 6,160 ล้านบาทต่อเดือนขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันฯขณะนี้มีเงินไหลเข้า 1,064 ล้านบาทการบริหารจัดการเงินกองทุนฯที่มีอยู่จะดูแลได้ถึง ม.ค.2555 ดังนั้นภายในเดือนธ.ค.คงจะมาพิจารณาแนวทางการกู้เงินระยะสั้นที่เดิมมติกพช.วางกรอบกู้ไว้ไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาทซึ่งคาดว่าจะใช้ดูแลราคาพลังงานได้ 6 เดือน
“กรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์จะต่ำจนทำให้คนหันไปเติมเบนซิน 91 แทนหมดนั้นจะได้มีการหารือผลกระทบในขั้นต่อไปซึ่งระหว่างนี้ขอร้องประชาชนช่วยกันใช้เพราะจะเป็นการช่วยเกษตรกรไปด้วย”นายพิชัยกล่าว
นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมในการเช็คสต็อกน้ำมันตั้งแต่คืนวันที่ 26 ส.ค.โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องถึง 100 สายตรวจที่จะไปตรวจปั๊มทุกจังหวัดทั่วประเทศราว 1.7 หมื่นแห่ง โดยเตรียมวงเงินไว้ดำเนินการประมาณ 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามที่ประชุมไม่ได้หารือรายละเอียดว่าเมื่อลดราคาดีเซลลงมาอยู่ระดับ 26.99 บาทต่อลิตรแล้วจะยังคงกำหนดเพดานตรึงราคาไว้ที่ 29.99 บาทต่อลิตรตามนโยบายเดิมหรือไม่อย่างไรซึ่งคงจะต้องมาพิจารณาภายหลัง
นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวยอมรับว่า การปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯโดยเฉพาะดีเซลครั้งนี้จนทำให้ราคาดีเซลปรับลดลงมาต่ำกว่าเพดานที่กำหนดตรึงไว้ไม่เกิน 29.99 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 26.99 บาทต่อลิตรหลังจากนี้เมื่อราคาตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเท่ากับเป็นการสะท้อนต้นทุนตามกลไกตลาดโลก
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.พร้อมลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลลงทันทีตามมติ กบง. โดยภาครัฐต้องดำเนินการเช็คสต็อก เพื่อจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ค้าเพื่อไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันต้องเดือดร้อน ขณะเดียวกันเมื่อมีการเก็บเงินเข้ากองทุนฯอีกครั้งก็ต้องเช็คสต็อกน้ำมันเพื่อจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯด้วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“เราหวังว่ารัฐจะดูแลพลังงานทดแทน โดยปตท.ยืนยันจะขายเบนซิน 91 ควบคู่กับแก๊สโซฮอล์ ส่วนกรณีรัฐยังคงต้องการตรึงราคาขายก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) อยู่ระดับ 8.50 บาท/กก.นั้น ปตท.คงต้องหารือกับภาครัฐเพื่อให้หามาตรการเสริมมาสนับสนุน เพื่อให้ปตท.สามารถขยายธุรกิจได้ต่อ เนื่องจากปตท.ไม่สามารถแบกรับภาระการขาดทุนไปมากกว่านี้ได้อีก
***เชลล์จี้ควรทำแค่3เดือน
นางพิศวรรณ อัชนะพรกุล ประธานกรรมการบริษัทเชลล์ในประเทศไทยกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อยอดขายแก๊สโซฮอล์จึงไม่ควรทำเกิน 3 เดือน ซึ่งเชลล์จำหน่ายแก๊สโซฮอล์มา 5 ปี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้แก๊สโซฮอล์สูงถึง 70% ของกลุ่มผู้ใช้เบนซินซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงควรจะดูแลผู้ใช้กลุ่มใหญ่ด้วย นอกจากนี้การลดราคาเบนซินลงจะทำให้มีการนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่สอดคล้องกับนโยบายที่ผ่านมาที่ต้องการลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ จึงต้องการให้รัฐบาลชัดเจนยังจะเดินหน้านโยบายพลังงานทดแทนแผน 15 ปีหรือไม่เพื่อที่เอกชนจะได้ปรับตัวให้ทัน
***สั่งเรือด่วน-แสนแสบลดค่าโดยสาร
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประสานไปยังผู้ประกอบการเรือด่วนเจ้าพระยา , เรือคลองแสนแสบ และเรือข้ามฟาก เพื่อให้ปรับลดค่าโดยสารลงตามข้อตกลง โดยเรือด่วนและเรือแสนแสบลดลง 1 บาทเรือข้ามฟากลดลง 50 สตางค์ ภายหลังคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติยกเว้นการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลลดลง 3 บาทต่อลิตร จากราคา 29.99 บาทต่อลิตรเหลือ 26.99 บาทต่อลิตรมีผลตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.2554 เป็นต้นไป
“จากการประสานด้วยวาจาไปทางเรือแสนแสบขอเวลาในการพิจารณาก่อนตัดสินใจลดราคา ส่วนเรือด่วนเจ้าพระยานั้นจะขอจัดเก็บค่าโดยสารอัตราปัจจุบันไปจนถึงเดือน ก.ย.เพื่อชดเชยการขาดรายได้จากกรณีที่ภาครัฐให้ชะลอการปรับขึ้นค่าโดยสารก่อนหน้านี้ จาก 20 มิ.ย. 54 เป็น 1 ส.ค. 54 เพราะเป็นช่วงที่มีการเลือกตั้ง” นายถวัลย์รัฐกล่าว
ในขณะเดียวกัน ได้ให้เจ้าหน้าที่ทบทวนโครงสร้างอัตราค่าโดยสารใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการได้ยื่นอุทธรณ์ว่า คณะกรรมการเรือประจำทางควรนำปัจจัยต้นทุนอื่นๆมาคำนวณอัตราค่าโดยสารด้วยไม่ใช่ใช้ปัจจัยค่าน้ำมันอย่างเดียว โดยในสัปดาห์หน้าจะเรียกผู้ประกอบการมาประชุมร่วมกันอีกครั้ง
นาวาโทปริญญา รักวาทิน กรรมการผู้จัดการบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด และอุปนายกสมาคมเรือไทย กล่าวว่า ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ สมาคมฯจะทำหนังสือถึง จท.เพื่อขอระยะเวลาในการปรับลดค่าโดยสารลง จากเดิมที่กำหนดว่าจะต้องปรับลดลงทันที โดยจะขอระยะเวลา 15 วันเพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องของตั๋วโดยสาร และอื่นๆ ซึ่งเป็นในลักษณะเดียวกันกับการปรับเพิ่มค่าโดยสารขึ้น ที่จะต้องแจ้งเตือนให้กับประชาชนรับทราบก่อน 15 วัน และให้จท.พิจารณาทบทวนวิธีการคำนวณต้นทุนค่าโดยสารใหม่ โดยให้นำเรื่องค่าแรง และการบำรุงรักษา ประกอบการพิจารณาร่วมกับต้นทุนน้ำมันด้วย อย่างไรก็ตาม สมาคมเรือไทยยืนยันที่จะปฏิบัติตามมติเดิมที่คณะกรรมการเรือประจำทางกำหนดไว้ว่า หากราคาน้ำมันปรับลดลงมามากกว่า 29 บาทต่อลิตรแน่นอน
ปัจจุบันค่าโดยสารเรือด่วนเจ้าพระยาธงประจำทางอยู่ที่ 10-14 บาท ,เรือด่วนพิเศษธงส้มเก็บ 15 บาทตลอดสาย ,เรือด่วนพิเศษธงเหลืองเก็บ 19 บาท และ28 บาทตลอดสาย , เรือด่วนพิเศษธงเขียวเก็บ 13 บาท 20 บาทและ 32 บาทตลอดสาย ส่วนเรือคลองแสนแสบ ปรับขึ้นเป็น 10-20 บาท ขณะที่เรือข้ามฟากนั้น ท่าเรือสี่พระยา-คลองสาน,ท่าเรือสะพานสาธร-แป๊บซี่ เก็บ 3.50 บาท และท่าเรือพระสมุทรเจดีย์-ปากน้ำ.