xs
xsm
sm
md
lg

“พิชัย” คาด “เบนซิน-แก๊สโซฮอล์” ทุบโต๊ะวันนี้ ยันเดินหน้าแหล่งก๊าซ ไทย-เขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พิชัย นริพทะพันธุ์
“พิชัย” มั่นใจ กพช.วันนี้ได้ข้อสรุปลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ระบุ การแก้ปัญหาแก๊สโซฮอล์จะใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ 1.5 หมื่นล้านเข้าไปช่วยก่อน หากไม่พอพร้อมใช้วิธีกู้ ยันไม่ทบทวนลอยตัว “แอลพีจี” ภาคอุตฯ ลั่นเดินหน้าขุดแน่ แหล่งก๊าซพื้นที่ทับซ้อนไทย-เขมร ย้ำเป็นแผนกระจายความเสี่ยงด้านพลังงาน เพื่อเป็นฮับธุรกิจของภูมิภาค ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแน่นอน ขณะที่ ปตท.เร่งประกันความเสี่ยงน้ำมัน 50% หลังราคามีแนวโน้มผันผวนสูง

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 26 สิงหาคม 2554 (วันนี้) รัฐบาลจะหารือความชัดเจนนโยบายลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน 95 ที่เก็บอยู่ลิตรละ 7.54 บาท เบนซิน 91 ที่เก็บอยู่ 6.70 บาท และดีเซล 2.80 บาท เพื่อลดราคาน้ำมันตามที่รัฐบาลได้หาเสียงเอาไว้

นอกจากนี้ ตนเองจะรายงานให้ที่ประชุมทราบกรณีผู้ประกอบการกลุ่มเซรามิลำปางยื่นศาลปกครองสูงสุดให้ศาลมีคำสั่งชะลอปรับขึ้นราคาแก๊ส (แอลพีจี) ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งนโยบายใช้ไฟฟ้า 90 หน่วยต่อเดือนฟรีถาวร โดยให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยรับภาระด้วย 12 สตางค์ต่อหน่วยต่อเดือน

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่า นโยบายลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯจะกระทบยอดขายแก๊สโซฮอล์นั้น ตนเองได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวานนี้ โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะมีการหารือแนวทางช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นอาจใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมีเงินสดทางบัญชีอยู่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท มาดูแลไปก่อน แล้วค่อยใช้วิธีการกู้เงินในภายหลัง

ส่วนการปรับขึ้นราคาหุงต้ม (แอลพีจี) ในภาคอุตสาหกรรมนั้น จะยังไม่มีการทบทวนตอนนี้ เพราะอยากให้ภาคอุตสาหกรรมยอมรับความจริงเรื่องต้นทุน ไม่ใช่ให้ภาครัฐอุดหนุนตลอดเวลา และไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ที่จะเกิดการเคลื่อนไหวของเงินทุนมหาศาล ที่จะมีส่วนผลักดันให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) โตมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลชุดนี้มีเป้าหมายให้การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) เติบโต 9% ต่อปี และให้การค้าระหว่างประเทศขยายตัวจากปัจจุบันมีมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มเป็น 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

“การที่จีดีพีประเทศโตขึ้น ก็จะส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานต้องเพิ่มตามไปด้วย ส่วนเรื่องการไปเจรจาลงทุนในพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชาที่หลายคนพูดถึงนั้น มองว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเป็นการทำเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน เหมือนกรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย ซึ่งยืนยันว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมีหลายหน่วยงานที่เข้ามาดูด้วย”

นายพิชัยกล่าวอีกว่า รัฐบาลชุดนี้มีนโยบายด้านพลังงานโดยต้องการส่งเสริมและผลักดันให้อุตสาหกรรมพลังงานสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานของภูมิภาค ส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน โดยแสวงหาและพัฒนาแหล่งพลังงานและระบบไฟฟ้าจากทั้งในและต่างประเทศ กำกับดูแลราคาพลังงานให้เหมาะสมเป็นธรรม รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานอย่างเต็มรูปแบบ

“การลงทุนในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ ทำให้เกิดความมั่นคงพลังงาน ยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนแต่อย่างใด”

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจพลังงานและพัฒนาแหล่งพลังงาน ระบบไฟฟ้าจากทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานอย่างเต็มรูปแบบ

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีนโยบายลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน 91 เบนซิน 95 และดีเซล คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ที่ใช้เชื่อเพลิงธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (ก๊าซเอ็นจีวี) แต่อย่างใด เพราะส่วนต่างราคายังมีอยู่สูง โดยราคาก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และการใช้รถยนต์เอ็นจีวีก็ยังอยู่ในกลุ่มแท็กซี่ รถยนต์ในการขนส่ง โดยมีรถบ้านน้อยและจำกัดในกลุ่มคนเมืองเท่านั้น ขณะที่ต่างจังหวัดยังนิยมรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินอยู่

รายงานข่าวกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ระบุว่า ยอดรถยนต์ติดตั้งเครื่องยนต์ก๊าซเอ็นจีวีรวม 275,239 คันแล้ว และยอดการใช้ก๊าซเอ็นจีวีอยู่ที่ 6,399 ตันต่อวัน เพิ่มขึ้นสูงถึง 35% จากเดิมอยู่ที่ 4,740 ตันต่อวัน

นายปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายให้บริษัทในเครือ ปตท.ทำการบริหารความเสี่ยง (เฮดจิ้ง) ราคาน้ำมันอย่างน้อย 50% ของกำลังการผลิตทั้งหมดของ ปตท.ที่มีอยู่วันละ 7-8 แสนบาร์เรล แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละบริษัทด้วย เพราะปัจจุบันกลุ่ม ปตท.ก็มีการเฮดจิ้งเฉลี่ยอยู่ที่ 20-30%ของกำลังการผลิตอยู่แล้ว

“สาเหตุที่กลุ่ม ปตท.ต้องเพิ่มการทำเฮดจิ้ง เพราะสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ผันผวนมากในขณะนี้ และเชื่อว่าในช่วงปลายปีราคาพลังงานที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงจะปรับลดลงมาก จึงไม่อยากให้เกิดความเสียหายจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมันเหมือนช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา” นายปรัชญากล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น