“บิ๊กโอ๋”เร่งร.ฟ.ท.พัฒนามักกะสันคอมเพล็กซ์ดึงรายได้ลงทุนส่วนต่อขยายแอร์พอร์ตลิ้งค์ แทนงบประมาณ ผุดรถไฟเร็วสูงเฟสแรกและทางคู่ 3,000กม.ใน 3 ปี ส่วนรถไฟฟ้า20บาทขอเวลาศึกษาและทดลองประเมินผู้โดยสารก่อนใช้จริง ดันออกแบบสุวรรณภูมิเฟส 2 ในปี 55 ฟุ้งเงินพร้อมลงทุน แบ่งงาน 2 รมช. “ชัจจ์”คุมร.ฟ.ท.-ทช.ส่วน”กิตติศักดิ์”ดูแอร์พอร์ตลิ้งค์-เจ้าท่า ที่เหลือ คุมเองทั้งการบินไทย,ทอท.,กรมทางหลวง,กทท.
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและแนวทางทางปฏิบัติงานของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจในสังกัดวานนี้(29 ส.ค.) ว่า โครงการสำคัญที่จะเร่งดำเนินการคือ โครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ส่วนต่อขยาย ช่วง พญาไท-บางซื่อ-ดอนเมืองและช่วงสุวรรณภูมิ-สนามบินอ่าตะเภา-ระยอง โดยใช้เงินลงทุนจากการการพัฒนาที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)ที่มีจำนวนมาก เช่น โครงการมักกะสันคอมเพล็กซ์ พื้นที่กว่า 400 ไร่มาลงทุนเองโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ และผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยระยะแรก คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเส้นทางกรุงเทพ-โคราช,กรุงเทพ-หัวหิน และกรุงเทพ-เชียงใหม่ และระยะที่ 2 จะขยายจากโคราช-หนองคายและหัวหิน-บาดังเบซาร์ ส่วนรถไทฟางคู่ นั้นเป้าหมายใน 3 ปี จะก่อสร้างเพิ่มจาก 300 กิโลเมตรเป็น 3,000 กิโลเมตร
ส่วนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้นถือเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ขอเวลาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมก่อน โดยได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเร่งสรุปข้อมูลในส่วนของโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว คือ รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ รวมถึงเจรจากับรถไฟฟ้าบีทีเอส หากตกลงกันได้ก็สามารถเริ่มดำเนินการได้ก่อน เนื่องจากคงไม่สามารถรอให้การก่อสร้างรถไฟฟ้าแล้วเสร็จทั้ง 10 สายก่อนได้เพราะต้องใช้เวลาอีก 7-8 ปี โดยในช่วงแรกที่ยังมีรถไฟฟ้าให้บริการไม่ครบ10 สายอาจจะยังขาดทุน เพราะรายได้ไม่มากและรัฐอาจจะต้องชดเชยส่วนต่างให้เอกชนอยู่
ทั้งนี้ เบื้องต้น หากดำเนินการก่อสร้างครบ 10 สาย แล้วเสร็จแล้วใช้นโยบาย 20 บาท ตลอดสายนั้น คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมทั้งระบบประมาณ 7 ล้านเที่ยวต่อวัน คิดเป็นรายได้ 140 ล้านบาทต่อวัน ในขณะที่จะมีค่าใช้ค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงประมาณ 90 ล้านบาทต่อวัน เหลือรายได้จริงถึง 50 ล้านบาทต่อวัน นอกจากนี้ ยังจะมีรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์และโฆษณาเพิ่มเติมอีกด้วยรวมแล้วคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี
พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า รถไฟฟ้าทั้ง 10 สายตามนโยบายของรัฐบาล จะเร่งดำเนินการให้เซ็นสัญญาก่อสร้างให้ได้ภายใน 4 ปี โดยในปีนี้จะเซ็นสัญญาได้ 2 สาย คือ สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการและหมอชิต-สะพานใหม่ ส่วนปี 2555 จะเซ็นสัญญาอีก 5 สาย คือ 1.สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี 2.สายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี 3.สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง4.ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และ5. ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ ส่วนที่เหลือจะเซ็นสัญญาภายในปี 2556
***เร่งออกแบบผุดสุวรรณภูมิเฟส2ในปี 55
นอกจากนี้จะเร่งรัดการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อขยายขีดความสามารถตามผลศึกษาขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic Terminal) แยกจากอาคารหลังเดิมและทางวิ่งเส้นที่ 3 (Runway 3) รองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 65 ล้านคนต่อปี ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมด้านเงินลงทุนแล้วดังนั้นจะเร่งเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเริ่มออกแบบในปี2555
ส่วนทางน้ำนั้น จะผลักดัน โครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่า 14,000 ล้านบาท เพื่อช่วยในการเดินเรือสินค้า และแก้ไขสภาพตื้นเขินในช่วงหน้าแล้ง โครงการท่าเรือปากบารา จ.สตูล ท่าเรือสงขลา 2 และโครงการแลนด์บริดจ์ โดยจะเน้นการทำความเข้าใจในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมกับประชาชนในพื้นที่เพราะโครงการจะเกิดประโยชน์ต่อการส่งออกของประเทศโดยเฉพาะยางพาราที่ไทยเป็นผู้ผลิตมากที่สุดในโลกแต่กลับเป็นมาเลเซียที่ส่งออกได้มากกว่าเนื่องจาก ผู้ผลิตไทยต้องไปส่งออกที่ท่าเรือปีนังของมาเลเซียแทน
“โครงการท่าเรือใช้เงินลงทุนสูง แต่ถ้าเปิดให้นักลงทุนต่างชาติ เช่น จีน,ญี่ปุ่นหรือตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการโดยตรงเข้ามาลงทุนด้วยจะมีความเป็นไปได้มาก เพราะใช้เองเมื่อลงทุนเองก็คงต้องทำให้เกิดความคุ้มค่า และการขนส่งผ่านท่าเรือปากบาราไปจีน จะใช้เวลาสั้นกว่าผ่านช่องแคบมะละกามาก
*** ทดลอง20 บ.ตลอดสายประเมินผู้โดยสารก่อนใช้จริง
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนศึกษารายละเอียดรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายแล้วเสร็จจากนั้นจะทดลองจัดเก็บราคา20 บาทประมาณ 1 เดือนเพื่อให้เห็นตัวเลขปริมาณผู้โดยสารที่แท้จริง ก่อนสรุปเสนอรมว.คมนาคมพิจารณาเพื่อเสนอครม.ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงไม่เกินต้นปีหน้า ซึ่งหากบีทีเอสไม่เข้าร่วมผู้โดยสารอาจจะหนีมาใช้ รถไฟฟ้าใต้ดินและแอร์พอร์ตลิ้งค์แทนเนื่องจากมีสถานีที่เชื่อมต่อกันได้
ส่วน การขยายสุวรรณภูมิแบ่งเป็น 2 ระยะโดย ช่วงที่ 1 ลงทุน 21,899.42 ล้านบาทแล้วเสร็จในปี 2558 จะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ 9,133.520 ล้านบาท ,ทางวิ่งเส้นที่ 3 (Runway 3) และทางขับ (Taxiway) วงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท และค่าชดเชยผลกระทบทางเสียอีก 7,000 ล้านบาทเป็นต้น รองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 65 ล้านคนต่อปี ซึ่งเท่ากับแผนเดิมที่ครม.อนุมัติไปแล้ว แต่ใช้เงินลงทุนถึง 6.2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจะมีการเสนอครม.เพื่อขอปรับแนวทางใหม่
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังมอบนโยบายและแนวทางทางปฏิบัติงานของหน่วยงานและรัฐวิสาหกิจในสังกัดวานนี้(29 ส.ค.) ว่า โครงการสำคัญที่จะเร่งดำเนินการคือ โครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์ส่วนต่อขยาย ช่วง พญาไท-บางซื่อ-ดอนเมืองและช่วงสุวรรณภูมิ-สนามบินอ่าตะเภา-ระยอง โดยใช้เงินลงทุนจากการการพัฒนาที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)ที่มีจำนวนมาก เช่น โครงการมักกะสันคอมเพล็กซ์ พื้นที่กว่า 400 ไร่มาลงทุนเองโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ และผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยระยะแรก คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเส้นทางกรุงเทพ-โคราช,กรุงเทพ-หัวหิน และกรุงเทพ-เชียงใหม่ และระยะที่ 2 จะขยายจากโคราช-หนองคายและหัวหิน-บาดังเบซาร์ ส่วนรถไทฟางคู่ นั้นเป้าหมายใน 3 ปี จะก่อสร้างเพิ่มจาก 300 กิโลเมตรเป็น 3,000 กิโลเมตร
ส่วนค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้นถือเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ขอเวลาศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมก่อน โดยได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเร่งสรุปข้อมูลในส่วนของโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว คือ รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ รวมถึงเจรจากับรถไฟฟ้าบีทีเอส หากตกลงกันได้ก็สามารถเริ่มดำเนินการได้ก่อน เนื่องจากคงไม่สามารถรอให้การก่อสร้างรถไฟฟ้าแล้วเสร็จทั้ง 10 สายก่อนได้เพราะต้องใช้เวลาอีก 7-8 ปี โดยในช่วงแรกที่ยังมีรถไฟฟ้าให้บริการไม่ครบ10 สายอาจจะยังขาดทุน เพราะรายได้ไม่มากและรัฐอาจจะต้องชดเชยส่วนต่างให้เอกชนอยู่
ทั้งนี้ เบื้องต้น หากดำเนินการก่อสร้างครบ 10 สาย แล้วเสร็จแล้วใช้นโยบาย 20 บาท ตลอดสายนั้น คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมทั้งระบบประมาณ 7 ล้านเที่ยวต่อวัน คิดเป็นรายได้ 140 ล้านบาทต่อวัน ในขณะที่จะมีค่าใช้ค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงประมาณ 90 ล้านบาทต่อวัน เหลือรายได้จริงถึง 50 ล้านบาทต่อวัน นอกจากนี้ ยังจะมีรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์และโฆษณาเพิ่มเติมอีกด้วยรวมแล้วคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี
พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า รถไฟฟ้าทั้ง 10 สายตามนโยบายของรัฐบาล จะเร่งดำเนินการให้เซ็นสัญญาก่อสร้างให้ได้ภายใน 4 ปี โดยในปีนี้จะเซ็นสัญญาได้ 2 สาย คือ สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการและหมอชิต-สะพานใหม่ ส่วนปี 2555 จะเซ็นสัญญาอีก 5 สาย คือ 1.สายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี 2.สายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี 3.สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง4.ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ และ5. ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ ส่วนที่เหลือจะเซ็นสัญญาภายในปี 2556
***เร่งออกแบบผุดสุวรรณภูมิเฟส2ในปี 55
นอกจากนี้จะเร่งรัดการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อขยายขีดความสามารถตามผลศึกษาขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งจะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic Terminal) แยกจากอาคารหลังเดิมและทางวิ่งเส้นที่ 3 (Runway 3) รองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 65 ล้านคนต่อปี ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมด้านเงินลงทุนแล้วดังนั้นจะเร่งเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเริ่มออกแบบในปี2555
ส่วนทางน้ำนั้น จะผลักดัน โครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่า 14,000 ล้านบาท เพื่อช่วยในการเดินเรือสินค้า และแก้ไขสภาพตื้นเขินในช่วงหน้าแล้ง โครงการท่าเรือปากบารา จ.สตูล ท่าเรือสงขลา 2 และโครงการแลนด์บริดจ์ โดยจะเน้นการทำความเข้าใจในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมกับประชาชนในพื้นที่เพราะโครงการจะเกิดประโยชน์ต่อการส่งออกของประเทศโดยเฉพาะยางพาราที่ไทยเป็นผู้ผลิตมากที่สุดในโลกแต่กลับเป็นมาเลเซียที่ส่งออกได้มากกว่าเนื่องจาก ผู้ผลิตไทยต้องไปส่งออกที่ท่าเรือปีนังของมาเลเซียแทน
“โครงการท่าเรือใช้เงินลงทุนสูง แต่ถ้าเปิดให้นักลงทุนต่างชาติ เช่น จีน,ญี่ปุ่นหรือตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นผู้ใช้บริการโดยตรงเข้ามาลงทุนด้วยจะมีความเป็นไปได้มาก เพราะใช้เองเมื่อลงทุนเองก็คงต้องทำให้เกิดความคุ้มค่า และการขนส่งผ่านท่าเรือปากบาราไปจีน จะใช้เวลาสั้นกว่าผ่านช่องแคบมะละกามาก
*** ทดลอง20 บ.ตลอดสายประเมินผู้โดยสารก่อนใช้จริง
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมกล่าวว่า คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนศึกษารายละเอียดรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายแล้วเสร็จจากนั้นจะทดลองจัดเก็บราคา20 บาทประมาณ 1 เดือนเพื่อให้เห็นตัวเลขปริมาณผู้โดยสารที่แท้จริง ก่อนสรุปเสนอรมว.คมนาคมพิจารณาเพื่อเสนอครม.ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้จริงไม่เกินต้นปีหน้า ซึ่งหากบีทีเอสไม่เข้าร่วมผู้โดยสารอาจจะหนีมาใช้ รถไฟฟ้าใต้ดินและแอร์พอร์ตลิ้งค์แทนเนื่องจากมีสถานีที่เชื่อมต่อกันได้
ส่วน การขยายสุวรรณภูมิแบ่งเป็น 2 ระยะโดย ช่วงที่ 1 ลงทุน 21,899.42 ล้านบาทแล้วเสร็จในปี 2558 จะก่อสร้างอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ 9,133.520 ล้านบาท ,ทางวิ่งเส้นที่ 3 (Runway 3) และทางขับ (Taxiway) วงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท และค่าชดเชยผลกระทบทางเสียอีก 7,000 ล้านบาทเป็นต้น รองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 65 ล้านคนต่อปี ซึ่งเท่ากับแผนเดิมที่ครม.อนุมัติไปแล้ว แต่ใช้เงินลงทุนถึง 6.2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจะมีการเสนอครม.เพื่อขอปรับแนวทางใหม่