“You can fool some of the people all of the time, and all of the people some of the time, but you can not fool all the people all the time ท่านอาจจะโกหกคนบางคนได้ตลอดเวลา และท่านอาจจะโกหกคนทุกคนได้บางเวลา แต่ท่านไม่อาจจะโกหกคนทุกคนได้ทุกเวลา”
ผมยกวาทกรรมของ Abraham Lincoln (1809-1865) มาอ้างเพราะมีพรรคการเมืองหนึ่งที่อาจจะชมชอบผู้นำแบบประธานาธิบดียกคำพูดของลินคอล์นมาอ้างบ่อยๆ ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ( http://en.wikipedia.org/wiki/ Gettysburg_Address)โดยหาเข้าใจความหมายและภาคปฏิบัติที่แท้จริงของมันไม่
ลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา (1861-1865) ( http://en.wikipedia.org/wiki/Abraham_Lincoln) ผู้ทำสงครามเลิกทาส และถูกยิงตายในโรงละคร อาจจะเป็นประธานาธิบดีคนหนึ่งของอเมริกาที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ถึงแม้จะรู้จักอย่างฉาบฉวยก็ตาม
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขออภัยที่วันนี้มีเวลาจำกัด ตั้งใจจะนำเรื่องการแถลงนโยบายของรัฐบาลมาเขียนต่อ เพื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เขาเป็นประชาธิปไตยจริง และแม้แต่รัฐบาลไทยในอดีตที่ประเทศไทยยังไม่คลั่งประชานิยม
รัฐบาลประชานิยมเท่าที่เคยมีมาในโลกนี้ พูดอย่าง-ทำอย่าง พูดง่ายๆ คือโกหกเป็นไฟ ในที่สุดก็จะไปไม่รอดสักรัฐบาล( http://score.rims.k12.ca.us/activity/populist/pages/historical.html)
ผมเคยพูดและเขียนถึงประธานาธิบดีเรแกน ประธานาธิบดีคนที่ 40 ของอเมริกาหลายครั้ง ( http://en.wikipedia.org/wiki/Ronald_Reagan ) แต่ไม่เคยบอกและกำลังจะบอกว่าเรแกนเป็นเจ้าของมหาวาทกรรมประชานิยมชั้นนำของโลก เรแกนเคยพูดหลายแห่งหลายครั้งว่า อาชีพเก่าแก่ที่สุดในโลกรองจากโสเภณีคืออาชีพนักการเมือง โสเภณีขายร่างกาย แต่นักการเมืองขายโกหก(http://www.naewna.com/news. asp? ID=226806) เรแกนเป็นยอดนักสื่อสาร ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรคนฟังชอบใจไปหมด รวมทั้งการด่ารัฐบาล ด่าอำมาตย์หรือระบบราชการของอเมริกัน เรื่องรัฐบาลผลาญงบประมาณ ต่อต้านการกู้ยืมและการใช้งบประมาณเกินดุลแบบอเมริกัน แต่ในความเป็นจริงเรแกนทำตรงกันข้ามกับที่เขาพูดหมดทุกอย่าง และทำแบบทำลายสถิติคนอื่นอย่างยับเยินทั้งหมดทั้งสิ้น
เรื่องรัฐบาลและผู้นำโกหก พูดอย่าง ทำอย่าง ปากบอกว่าต้องประหยัด ต้องใช้งบประมาณสมดุล แต่กลับใช้เงินท้องพระคลังเป็นว่าเล่น จนกระทั่งงบประมาณขาดดุลอย่างมหาศาล ปากว่ารัฐบาลและอัตรากำลังข้าราชการต้องเล็กพอเหมาะพอสมกับปริมาณของงานอย่างแท้จริง แต่กลับตะบันสร้างองค์กร ขยายหน่วยราชการ และบรรจุพวกพ้องลูกน้องบริวารเข้าไป จนหน่วยราชการกลายเป็นยักษ์ออกจากขวด ยิ่งสัมผัสกับอากาศมากเท่าไรก็ยิ่งโตขึ้น เป็นเรื่องน่าสังวรสำหรับประเทศไทย
ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงเทียบเคียงคิดเอาได้ว่าตัวอย่างของไทยต่างกับของอเมริกาหรือไม่ และรัฐบาลทักษิณ-อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกกะโล่ของอเมริกันปากว่าตาขยิบเหมือนกันอย่างไร ทำให้เกิดผลทางด้านงบประมาณ การกู้หนี้สินของรัฐบาล และการขยายหน่วยงานอย่างไร
ที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านตั้งข้อสังเกตไว้ให้ดีก็คือ ระบบการปกครองของไทยเป็นระบบรัฐสภา ของอเมริกาเป็นแบบประธานาธิบดีซึ่งเลือกมาแบบทางอ้อมโดยตรงจากประชาชน และไม่จำเป็นต้องขอรับความไว้วางใจจากสภา และอยู่ได้จนครบเทอมหากไม่มีเหตุถูกสังหารอย่างลินคอล์น หรือถูกสภาลงมติให้ออกเพราะกระทำผิดกฎหมายรุนแรง (ซึ่งยังไม่มี นอกจากนิกสัน ที่ทำท่าจะ และชิงลาออกเสียก่อนเป็นรายแรก)
เพราะฉะนั้นต้องสังเกตความควรไม่ควรที่นายกรัฐมนตรีไทยจะมีวาทกรรมและสัญญาอันพร่ำเพ้อว่าเรื่องจับจ่ายและใช้เงินทองให้ประชาชนราวกับว่าตนเป็นประธานาธิบดี (เผด็จการ)
ด้วยผมไม่มีเวลาวันนี้ แทนที่จะเปรียบเทียบการแถลงนโยบายโกหก ผมขอเปรียบเทียบประธานาธิบดีโกหกกับนายกรัฐมนตรีโกไหว้ไปก่อน
เรื่องทักษิณโกหกนั้นเป็นที่ประจักษ์ดี มหัศจรรย์แต่คนไทยพากันลืม เริ่มตั้งแต่เรื่องจะแก้ไขจราจรกรุงเทพฯ ให้สำเร็จใน 6 เดือน เป็นรัฐบาลแล้วเกือบ 5 ปีกลับหนักขึ้น ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ผมได้เขียนไว้มากพอสมควร แต่ก็ยังสู้ของคุณสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ไม่ได้ ผมตั้งใจจะไปลอกมา เจ้ากรรมหาไม่เจอ เลยขอให้เจ้าเก่าลองนำมาเล่าใหม่ ก็ประสบปัญหาเรื่องเวลาอีก เลยต้องขายผ้าเอาหน้ารอด สรุปวาทกรรมกับความเป็นจริงว่าเรแกนเป็นประธานาธิบดีคนแรกในเรื่องดังต่อไปนี้
คนแรกที่ทำให้อเมริกันเป็นประเทศลูกหนี้
ทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ใน 8 ปี
ทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเร็วกว่า GDPใน 8 ปี
ทำให้งบขาดดุลเพิ่มเป็น 2 เท่าใน 8 ปี
ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มเกือบ 3 เท่าใน 8 ปี
เพิ่มการใช้งบประมาณ 80% ใน 8 ปี
ใช้เงินใน 8 ปีมากกว่าที่ใช้มาใน 50 ปีก่อนหน้า
ทำให้อัตราดอกเบี้ยจริงเพิ่มจาก 1% มาตลอด 35 ปีเป็น 8%
ทำให้ไพรม์เรตหรืออัตราดอกเบี้ย(ลด)พิเศษสำหรับลูกค้าชั้นดีทยานขึ้นไปถึง 20% ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนของญี่ปุ่นต่อดอลลาร์ขึ้นถึง 262 เยนต่อ 1 ดอลลาร์
ทั้งหมดนี้ถักทอต่อยอดกันมาเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นอเมริกันเกือบล่มสลายถึง 2 ครั้ง และอเมริกาเกือบจะต้องกู้ไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรกในเดือนที่แล้ว ประเทศไทยก็เกือบฉิบหายเพราะเหตุนี้
ส่วนทักษิณ และทักษิณคิดเพื่อไทยทำ
“นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2001 (2544)
สินทรัพย์ของทักษิณ ตามที่รายงานไว้กับ ป.ป.ช.เมื่อปี 2544 เท่ากับ 49,000 ล้านบาท ปี 2549 มี 73,000 ล้านบาท แต่เมื่ออังกฤษถอนวีซ่าไม่ให้เข้าประเทศ ทักษิณให้ข่าวสื่ออังกฤษว่า ทางอังกฤษอายัดทรัพย์สินของเขา 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 150,000 ล้านบาท สื่อมาเลเซียเสนอข่าวทักษิณมีเงิน 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 192,500 ล้านบาท รวมแล้วทักษิณมีเงินประมาณ 415,500 ล้านบาท เขาใช้เงินทำงานได้อย่างเต็มที่
กรณีถุงขนม 2 ล้านบาท เป็นตัวอย่างแสดงว่ามีการติดสินบนอย่างกว้างขวาง
รายการทัวร์นกขมิ้น เป็นรายการทัวร์หว่านเงิน ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ขยันเดินทางไปต่างจังหวัดมากที่สุด ไปค้างแรมที่ศีรษะอโศก ก่อนนมัสการลากลับ ได้แจ้งความประสงค์จะทำบุญถวายเงินจำนวน 1 แสนบาทให้กับสมณะโพธิรักษ์ แต่ติดขัดด้วยกฎแห่งบุญนิยม ฯลฯ จึงไม่สามารถบริจาคได้ สุดท้ายได้เลี่ยงไปมอบเงินดังกล่าว ให้เป็นทุนการศึกษาของนักเรียนสัมมาสิกขา จึงทำให้ทราบว่าทัวร์นกขมิ้น ก็เป็นการเดินทางไปหว่านเงินให้ชุมชน และองค์กรต่างๆนั่นเอง
ใครครองสื่อ คนนั้นครองโลก ทักษิณเป็นผู้ที่มีมิจฉาวาจาทางการใช้สื่อสูง
รายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันอาทิตย์ เป็นช่วงที่ทำให้ผู้คนหลงใหลเขามากที่สุด แปลงความฝันและความทะเยอทะยานส่วนตน มาพูดเป็นความฝันความทะเยอทะยานของคนในชาติ คนไทยจะมั่งคั่ง จะไม่มีคนจน พูดถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้น พูดถึงการชำระหนี้งวดสุดท้าย IMF พูดถึงการสูงขึ้นของตลาดหุ้น ค่าเงินบาท และทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศ บอกสนามบินสุวรรณภูมิใหญ่ที่สุดในโลก แม้จะหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ เขาก็ยังใช้วิธีการคล้ายรายการนายกฯ พบประชาชนทุกวันอาทิตย์ โดยวิธี Phone in หรือ Video in คนมีตำแหน่ง มีเงิน มีชื่อเสียง พูดอย่างไร คนก็เชื่อ ยิ่งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เชื่อแบบไม่มีข้อแม้ ทีมงาน “สร้างเหตุการณ์สร้างภาพทักษิณ” ให้เขาเป็นคนเก่ง เป็นคนใจบุญ
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปตามทัน อย่าว่าแต่ชาวบ้านระดับด็อกเตอร์ ศาสตราจารย์ยังหลงใหลเรื่องที่ทักษิณพูด แม้จะมุสาก็ไม่มีใครรู้ว่ามุสา ไม่ว่าเรื่องการสูงขึ้นของตลาดเงิน ตลาดหุ้น และทุนสำรอง และการได้ใช้หนี้ IMF งวดสุดท้าย ก็ไม่ใช่ฝีมือทักษิณ แต่เป็นเพราะเงินไหลเขาจากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ
ทักษิณเป็นคนที่ปลุกระดมทำให้คนในชาติเชื่อเขาได้อย่างเด็ดขาด สร้างแกนนำให้เชื่อเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างไว้ใจได้ เป็นมือช่วยปลุกระดมต่อ ผู้คนโดยปกติที่ไม่มีทักษิณก็เต็มไปด้วยกิเลสอยู่แล้ว ยิ่งทักษิณมาเติมกิเลสเข้าไปอีก ยิ่งยากที่จะสงบได้ พระเทศน์ 40 ปี ยังทำให้คนเชื่อไม่ได้เท่าทักษิณปลุกระดม 4 ปี นอกจากพระจะไม่เทศน์ให้ทักษิณฟัง พระกลับไปฟังทักษิณเทศน์แทน สิ่งที่เกิดกับประเทศจึงเป็นไปตามน้ำลายและเงินของทักษิณทั้งสิ้น
การมาของทักษิณเป็นเรื่องที่น่าห่วง สำหรับข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจของคนในชาติ ยากที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อของคนที่เชื่อทักษิณ แต่หากสามารถเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นวิถีพุทธได้ จะช่วยหยุดอวิชชา หยุดความแตกแยก หยุดความเสื่อมของคนในชาติได้” จบข้อความของคุณสุทธิพงษ์ ซึ่งอ่านแล้วยิ้มไม่ออก ได้แต่กรอกหน้าระลึกถึงคำพระว่า “ไม่มีความชั่วใดๆ ที่คนโกหกจะกระทำมิได้” รวมทั้งกโลบายขายโกหก นายกรัฐมนตรีไทย
ผมยกวาทกรรมของ Abraham Lincoln (1809-1865) มาอ้างเพราะมีพรรคการเมืองหนึ่งที่อาจจะชมชอบผู้นำแบบประธานาธิบดียกคำพูดของลินคอล์นมาอ้างบ่อยๆ ว่า “รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” ( http://en.wikipedia.org/wiki/ Gettysburg_Address)โดยหาเข้าใจความหมายและภาคปฏิบัติที่แท้จริงของมันไม่
ลินคอล์นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา (1861-1865) ( http://en.wikipedia.org/wiki/Abraham_Lincoln) ผู้ทำสงครามเลิกทาส และถูกยิงตายในโรงละคร อาจจะเป็นประธานาธิบดีคนหนึ่งของอเมริกาที่คนไทยรู้จักมากที่สุด ถึงแม้จะรู้จักอย่างฉาบฉวยก็ตาม
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขออภัยที่วันนี้มีเวลาจำกัด ตั้งใจจะนำเรื่องการแถลงนโยบายของรัฐบาลมาเขียนต่อ เพื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่เขาเป็นประชาธิปไตยจริง และแม้แต่รัฐบาลไทยในอดีตที่ประเทศไทยยังไม่คลั่งประชานิยม
รัฐบาลประชานิยมเท่าที่เคยมีมาในโลกนี้ พูดอย่าง-ทำอย่าง พูดง่ายๆ คือโกหกเป็นไฟ ในที่สุดก็จะไปไม่รอดสักรัฐบาล( http://score.rims.k12.ca.us/activity/populist/pages/historical.html)
ผมเคยพูดและเขียนถึงประธานาธิบดีเรแกน ประธานาธิบดีคนที่ 40 ของอเมริกาหลายครั้ง ( http://en.wikipedia.org/wiki/Ronald_Reagan ) แต่ไม่เคยบอกและกำลังจะบอกว่าเรแกนเป็นเจ้าของมหาวาทกรรมประชานิยมชั้นนำของโลก เรแกนเคยพูดหลายแห่งหลายครั้งว่า อาชีพเก่าแก่ที่สุดในโลกรองจากโสเภณีคืออาชีพนักการเมือง โสเภณีขายร่างกาย แต่นักการเมืองขายโกหก(http://www.naewna.com/news. asp? ID=226806) เรแกนเป็นยอดนักสื่อสาร ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรคนฟังชอบใจไปหมด รวมทั้งการด่ารัฐบาล ด่าอำมาตย์หรือระบบราชการของอเมริกัน เรื่องรัฐบาลผลาญงบประมาณ ต่อต้านการกู้ยืมและการใช้งบประมาณเกินดุลแบบอเมริกัน แต่ในความเป็นจริงเรแกนทำตรงกันข้ามกับที่เขาพูดหมดทุกอย่าง และทำแบบทำลายสถิติคนอื่นอย่างยับเยินทั้งหมดทั้งสิ้น
เรื่องรัฐบาลและผู้นำโกหก พูดอย่าง ทำอย่าง ปากบอกว่าต้องประหยัด ต้องใช้งบประมาณสมดุล แต่กลับใช้เงินท้องพระคลังเป็นว่าเล่น จนกระทั่งงบประมาณขาดดุลอย่างมหาศาล ปากว่ารัฐบาลและอัตรากำลังข้าราชการต้องเล็กพอเหมาะพอสมกับปริมาณของงานอย่างแท้จริง แต่กลับตะบันสร้างองค์กร ขยายหน่วยราชการ และบรรจุพวกพ้องลูกน้องบริวารเข้าไป จนหน่วยราชการกลายเป็นยักษ์ออกจากขวด ยิ่งสัมผัสกับอากาศมากเท่าไรก็ยิ่งโตขึ้น เป็นเรื่องน่าสังวรสำหรับประเทศไทย
ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงเทียบเคียงคิดเอาได้ว่าตัวอย่างของไทยต่างกับของอเมริกาหรือไม่ และรัฐบาลทักษิณ-อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นลูกกะโล่ของอเมริกันปากว่าตาขยิบเหมือนกันอย่างไร ทำให้เกิดผลทางด้านงบประมาณ การกู้หนี้สินของรัฐบาล และการขยายหน่วยงานอย่างไร
ที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านตั้งข้อสังเกตไว้ให้ดีก็คือ ระบบการปกครองของไทยเป็นระบบรัฐสภา ของอเมริกาเป็นแบบประธานาธิบดีซึ่งเลือกมาแบบทางอ้อมโดยตรงจากประชาชน และไม่จำเป็นต้องขอรับความไว้วางใจจากสภา และอยู่ได้จนครบเทอมหากไม่มีเหตุถูกสังหารอย่างลินคอล์น หรือถูกสภาลงมติให้ออกเพราะกระทำผิดกฎหมายรุนแรง (ซึ่งยังไม่มี นอกจากนิกสัน ที่ทำท่าจะ และชิงลาออกเสียก่อนเป็นรายแรก)
เพราะฉะนั้นต้องสังเกตความควรไม่ควรที่นายกรัฐมนตรีไทยจะมีวาทกรรมและสัญญาอันพร่ำเพ้อว่าเรื่องจับจ่ายและใช้เงินทองให้ประชาชนราวกับว่าตนเป็นประธานาธิบดี (เผด็จการ)
ด้วยผมไม่มีเวลาวันนี้ แทนที่จะเปรียบเทียบการแถลงนโยบายโกหก ผมขอเปรียบเทียบประธานาธิบดีโกหกกับนายกรัฐมนตรีโกไหว้ไปก่อน
เรื่องทักษิณโกหกนั้นเป็นที่ประจักษ์ดี มหัศจรรย์แต่คนไทยพากันลืม เริ่มตั้งแต่เรื่องจะแก้ไขจราจรกรุงเทพฯ ให้สำเร็จใน 6 เดือน เป็นรัฐบาลแล้วเกือบ 5 ปีกลับหนักขึ้น ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ผมได้เขียนไว้มากพอสมควร แต่ก็ยังสู้ของคุณสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ไม่ได้ ผมตั้งใจจะไปลอกมา เจ้ากรรมหาไม่เจอ เลยขอให้เจ้าเก่าลองนำมาเล่าใหม่ ก็ประสบปัญหาเรื่องเวลาอีก เลยต้องขายผ้าเอาหน้ารอด สรุปวาทกรรมกับความเป็นจริงว่าเรแกนเป็นประธานาธิบดีคนแรกในเรื่องดังต่อไปนี้
คนแรกที่ทำให้อเมริกันเป็นประเทศลูกหนี้
ทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ใน 8 ปี
ทำให้หนี้ของประเทศเพิ่มขึ้นเร็วกว่า GDPใน 8 ปี
ทำให้งบขาดดุลเพิ่มเป็น 2 เท่าใน 8 ปี
ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มเกือบ 3 เท่าใน 8 ปี
เพิ่มการใช้งบประมาณ 80% ใน 8 ปี
ใช้เงินใน 8 ปีมากกว่าที่ใช้มาใน 50 ปีก่อนหน้า
ทำให้อัตราดอกเบี้ยจริงเพิ่มจาก 1% มาตลอด 35 ปีเป็น 8%
ทำให้ไพรม์เรตหรืออัตราดอกเบี้ย(ลด)พิเศษสำหรับลูกค้าชั้นดีทยานขึ้นไปถึง 20% ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนของญี่ปุ่นต่อดอลลาร์ขึ้นถึง 262 เยนต่อ 1 ดอลลาร์
ทั้งหมดนี้ถักทอต่อยอดกันมาเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นอเมริกันเกือบล่มสลายถึง 2 ครั้ง และอเมริกาเกือบจะต้องกู้ไอเอ็มเอฟเป็นครั้งแรกในเดือนที่แล้ว ประเทศไทยก็เกือบฉิบหายเพราะเหตุนี้
ส่วนทักษิณ และทักษิณคิดเพื่อไทยทำ
“นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2001 (2544)
สินทรัพย์ของทักษิณ ตามที่รายงานไว้กับ ป.ป.ช.เมื่อปี 2544 เท่ากับ 49,000 ล้านบาท ปี 2549 มี 73,000 ล้านบาท แต่เมื่ออังกฤษถอนวีซ่าไม่ให้เข้าประเทศ ทักษิณให้ข่าวสื่ออังกฤษว่า ทางอังกฤษอายัดทรัพย์สินของเขา 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 150,000 ล้านบาท สื่อมาเลเซียเสนอข่าวทักษิณมีเงิน 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 192,500 ล้านบาท รวมแล้วทักษิณมีเงินประมาณ 415,500 ล้านบาท เขาใช้เงินทำงานได้อย่างเต็มที่
กรณีถุงขนม 2 ล้านบาท เป็นตัวอย่างแสดงว่ามีการติดสินบนอย่างกว้างขวาง
รายการทัวร์นกขมิ้น เป็นรายการทัวร์หว่านเงิน ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ขยันเดินทางไปต่างจังหวัดมากที่สุด ไปค้างแรมที่ศีรษะอโศก ก่อนนมัสการลากลับ ได้แจ้งความประสงค์จะทำบุญถวายเงินจำนวน 1 แสนบาทให้กับสมณะโพธิรักษ์ แต่ติดขัดด้วยกฎแห่งบุญนิยม ฯลฯ จึงไม่สามารถบริจาคได้ สุดท้ายได้เลี่ยงไปมอบเงินดังกล่าว ให้เป็นทุนการศึกษาของนักเรียนสัมมาสิกขา จึงทำให้ทราบว่าทัวร์นกขมิ้น ก็เป็นการเดินทางไปหว่านเงินให้ชุมชน และองค์กรต่างๆนั่นเอง
ใครครองสื่อ คนนั้นครองโลก ทักษิณเป็นผู้ที่มีมิจฉาวาจาทางการใช้สื่อสูง
รายการนายกฯ พบประชาชนทุกเช้าวันอาทิตย์ เป็นช่วงที่ทำให้ผู้คนหลงใหลเขามากที่สุด แปลงความฝันและความทะเยอทะยานส่วนตน มาพูดเป็นความฝันความทะเยอทะยานของคนในชาติ คนไทยจะมั่งคั่ง จะไม่มีคนจน พูดถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหุ้น พูดถึงการชำระหนี้งวดสุดท้าย IMF พูดถึงการสูงขึ้นของตลาดหุ้น ค่าเงินบาท และทุนสำรองการเงินระหว่างประเทศ บอกสนามบินสุวรรณภูมิใหญ่ที่สุดในโลก แม้จะหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ เขาก็ยังใช้วิธีการคล้ายรายการนายกฯ พบประชาชนทุกวันอาทิตย์ โดยวิธี Phone in หรือ Video in คนมีตำแหน่ง มีเงิน มีชื่อเสียง พูดอย่างไร คนก็เชื่อ ยิ่งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เชื่อแบบไม่มีข้อแม้ ทีมงาน “สร้างเหตุการณ์สร้างภาพทักษิณ” ให้เขาเป็นคนเก่ง เป็นคนใจบุญ
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปตามทัน อย่าว่าแต่ชาวบ้านระดับด็อกเตอร์ ศาสตราจารย์ยังหลงใหลเรื่องที่ทักษิณพูด แม้จะมุสาก็ไม่มีใครรู้ว่ามุสา ไม่ว่าเรื่องการสูงขึ้นของตลาดเงิน ตลาดหุ้น และทุนสำรอง และการได้ใช้หนี้ IMF งวดสุดท้าย ก็ไม่ใช่ฝีมือทักษิณ แต่เป็นเพราะเงินไหลเขาจากการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ
ทักษิณเป็นคนที่ปลุกระดมทำให้คนในชาติเชื่อเขาได้อย่างเด็ดขาด สร้างแกนนำให้เชื่อเขาแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างไว้ใจได้ เป็นมือช่วยปลุกระดมต่อ ผู้คนโดยปกติที่ไม่มีทักษิณก็เต็มไปด้วยกิเลสอยู่แล้ว ยิ่งทักษิณมาเติมกิเลสเข้าไปอีก ยิ่งยากที่จะสงบได้ พระเทศน์ 40 ปี ยังทำให้คนเชื่อไม่ได้เท่าทักษิณปลุกระดม 4 ปี นอกจากพระจะไม่เทศน์ให้ทักษิณฟัง พระกลับไปฟังทักษิณเทศน์แทน สิ่งที่เกิดกับประเทศจึงเป็นไปตามน้ำลายและเงินของทักษิณทั้งสิ้น
การมาของทักษิณเป็นเรื่องที่น่าห่วง สำหรับข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจของคนในชาติ ยากที่จะไปเปลี่ยนความเชื่อของคนที่เชื่อทักษิณ แต่หากสามารถเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นวิถีพุทธได้ จะช่วยหยุดอวิชชา หยุดความแตกแยก หยุดความเสื่อมของคนในชาติได้” จบข้อความของคุณสุทธิพงษ์ ซึ่งอ่านแล้วยิ้มไม่ออก ได้แต่กรอกหน้าระลึกถึงคำพระว่า “ไม่มีความชั่วใดๆ ที่คนโกหกจะกระทำมิได้” รวมทั้งกโลบายขายโกหก นายกรัฐมนตรีไทย