xs
xsm
sm
md
lg

ผลการตรวจสอบที่ขัดกันเองของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

เผยแพร่:   โดย: ราวี เวียงพยัคฆ์

นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แต่งตั้งนายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ดีแทคเป็นต่างด้าว หรือมิใช่นั้น ปลัดกระทรวงพาณิชย์รู้หรือไม่ว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์แต่งตั้งนายสัญญา สถิรบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นประธานตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วน่าจะรู้ แต่ ณ เวลานั้นเป็นช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง ใกล้เลือกตั้งเต็มที นกรู้ทั้งหลายรู้กันอยู่แล้วว่า พรรคใดจะชนะเลือกตั้งยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคเท่านั้นดอกที่ยังฝันกลางวันว่า พรรคประชาธิปัตย์จะชนะเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก

หาไม่แล้วนายยรรยง พวงราช ที่เคยเดินตามก้นนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ต้อยๆ เข้าสภาเพื่อไปให้นายอภิสิทธิ์ดูตัวก่อนที่จะแต่งตั้งให้เป็นปลัดกระทรวง ก็ต้องคุยกับนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เสียก่อนว่าจะเอาอย่างไรกันดี ใครมีอำนาจแต่งตั้ง และเพื่อประโยชน์ของราชการงานเมืองจะเอาอย่างไร

เขาไม่หักกันอย่างนั้นหรอกครับ

ยิ่งที่นายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อ้างว่า คณะทำงานมีอำนาจพิเศษและดุลพินิจอิสระซึ่งผู้บังคับบัญชาตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ไม่สามารถก้าวล่วงเข้ามาตรวจสอบหรือวินิจฉัยสั่งการให้เป็นอย่างอื่น นั่นเขาก็ไม่พูดกัน เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว เว้นเสียแต่รัฐมนตรีที่กำกับดูแลลงมาล้วงลูกต้องการให้ผลของการตรวจสอบเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

กรณีนี้ไม่ปรากฏว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าไปก้าวก่ายช่วยตรวจสอบให้เป็นไปตามที่ทรูมูฟต้องการ หรือขอให้ช่วยให้ดีแทคพ้นผิด หากแต่ผลออกมาอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น

ผลการตรวจสอบของคณะทำงานที่มีนายบรรยงค์ ลิ้มประยูรวงศ์ตรวจสอบเสียอีกที่มีลักษณะแทงกั๊ก โดยรายงานผลตรวจสอบในตอนต้นว่า “คณะทำงานมีความเห็นพ้องต้องกันว่า เอกสารหลักฐานที่ปรากฏยังไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะชี้ชัดได้ว่า ดีแทคมีสถานะเป็นคนต่างด้าวตาม พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542” แต่กลับรายงานในตอนท้ายว่า

“แต่มีเอกสารหลักฐานข้อมูล และข้อเท็จจริงรวมทั้งพฤติกรรมแวดล้อมต่างๆ ที่คณะทำงานเห็นว่า มีมูลอันน่าเชื่อได้ว่า นิติบุคคลที่ถือหุ้นตามลำดับชั้นของดีแทคที่ได้จดทะเบียนและแสดงสถานะเป็นนิติบุคคลไทยรวม 7 บริษัทน่าจะมีการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ซึ่งจะทำให้แต่ละบริษัทดังกล่าวมีสัดส่วนของหุ้นที่ถือโดยคนต่างด้าว รวมกันได้ตั้งแต่ครึ่งหนึ่งขึ้นไปของหุ้นทั้งหมดของบริษัท (หุ้นที่คนต่างด้าวถือโดยตรงรวมกับหุ้นที่ให้ผู้อื่นถือแทน อันจะส่งผลให้บริษัทดังกล่าวมีสถานะเป็นคนต่างด้าว และจะมีผลกระทบทำให้ดีแทคมีสถานะเป็นคนต่างด้าวตามไปด้วย”

ความเห็นตอนต้นของรายงานกับความเห็นตอนท้ายนี้ขัดกันเองอย่างสิ้นเชิง

ด้วยเหตุนี้กระมังที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จึงได้มอบหมายและแต่งตั้งให้นายสัญญา สถิรบุตร ที่ปรึกษาเข้ามาตรวจสอบหรือสอบทานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะทำงาน รวมทั้งการที่นายอลงกรณ์ พลบุตร ได้สั่งให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการต่อกรณีดีแทคแตกต่างไปจากผลการตรวจสอบความเห็น และข้อเสนอของคณะทำงาน เพราะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นผู้บังคับบัญชาสั่งการ และปฏิบัติราชการในกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์มีอำนาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริง พิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง และสั่งการใดๆ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542

และแม้ว่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์จะวินิจฉัยแตกต่างไปจากผลการตรวจสอบความเห็นข้อเสนอของคณะทำงาน และมีคำสั่งให้ดำเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษกับดีแทค และผู้ถือหุ้นรายสำคัญที่เกี่ยวข้องต่อพนักงานสอบสวนข้อเท็จจริง หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นการวินิจฉัยสั่งการตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คณะทำงานได้ตรวจสอบและมีข้อสรุปไว้ว่า

“มีเอกสารหลักฐาน ข้อมูลและข้อเท็จจริง รวมทั้งพฤติกรรมแวดล้อมต่างๆ ที่คณะทำงานเห็นว่า มีข้อมูลอันน่าเชื่อได้ว่า นิติบุคคลที่ถือหุ้นตามลำดับชั้นของดีแทคที่ได้จดทะเบียนและแสดงสถานะเป็นนิติบุคคลไทยรวม 7 บริษัท น่าจะมีการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ซึ่งจะทำให้แต่ละบริษัทดังกล่าวมีสัดส่วนของหุ้นที่ถือโดยคนต่างด้าวรวมกันได้ตั้งแต่ครึ่งหนึ่งขึ้นไปของหุ้นทั้งหมดของบริษัท (หุ้นที่คนต่างด้าวถือโดยตรงรวมกับหุ้นที่ให้ผู้อื่นถือแทน) อันจะส่งผลให้บริษัทดังกล่าวมีสถานะเป็นคนต่างด้าว และจะมีผลกระทบให้ดีแทคมีสถานะเป็นคนต่างด้าวตามไปด้วย”

การที่คณะกรรมการได้ข้อสรุปในตอนท้ายดังกล่าวนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ดีแทคมีสถานะเป็นคนต่างด้าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 36 และ 37 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 แต่กลับไม่ดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้กระทำความผิดดังกล่าว การกระทำของอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นอกจากจะเกิดความไม่เป็นธรรมต่อผู้ร้องเรียนแล้ว ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมายย่อมได้รับความเสียหาย ขาดความน่าเชื่อถือไว้วางใจ

นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และอธิบดีตลอดจนข้าราชการที่เกี่ยวข้องอาจต้องรับโทษทางอาญาอีกด้วย เข้าใจไหมครับ?
กำลังโหลดความคิดเห็น