ASTVผู้จัดการรายวัน - “ขุนค้อน” อ่วมถูกรุมถอนหงอกตัวการทำสภาล่ม ซัดใช้อำนาจตามอำเภอใจ ฟันธงครองเก้าอี้ประมุขสภาไม่ครบเทอม “ยิ่งลักษณ์”สรุปเดินหน้าทุกนโยบายที่หาเสียง ปชป.เหน็บ “แก้บนขนกับปีก”
การประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายนโยบาย วานนี้ (25 ส.ค.) เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น.โดยมีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.เพื่อไทย ได้ขอถอนญัตติที่เสนอให้ปิดอภิปราย ที่ค้างจากเมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา เมื่อจะเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายนโยบายกันต่อไป แต่ส.ส.จากฝ่ายค้านได้พากันอภิปรายตำหนิการทำหน้าที่ประธานการประชุมของนายสมศักดิ์ว่ามีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง
ด้าน ส.ว.บางส่วนได้แสดงความอึดอัดต่อบรรยากาศในห้องประชุม โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่าในการประชุมร่วม ส.ว.จะเข้ามาเป็นองค์ประกอบ แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาสิ่งที่สว.ส่วนใหญ่เผชิญคือ ความสำคัญในมุมมองของ ส.ส. โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลมักเห็นความสำคัญของ ส.ว.แค่ช่วงนับองค์ประชุม การประชุมวิป 3 ฝ่ายในลักษณะขอความเห็นจริงจังนั้นเกิดบ้างแต่น้อย สิ่งที่วิป ส.ว.ได้รับการแจ้ง คือ ฝ่ายค้านและ รัฐบาลตกลงแล้วเอาแบบนี้ ตัวแทนวุฒิหลายคนทำหน้าต่ำกว่าศักยภาพ คือแค่นำสาสน์มาแจ้งเพื่อน
“ เรามีค่าเพียงแค่ให้องค์ครบหรือ ทั้งสองฝ่ายอาจคิดว่าตันเป็นผู้เล่น บางครั้งการแก้ปัญหาอาจง่ายกว่าถ้าให้ส่วนที่สามคือ ส.ว มีส่วนร่วมด้วย แม้จะมีความขัดแย้งกันบ้างแต่บางครั้งก็ควรจะยอมให้เกิดต่อไปไม่ใช่เพราะแค่ประเด็นองค์ประชุม อยากให้พูดคุยให้เป็นระบบระหว่างประธาน กับตัวแทนวิป 3 ฝ่าย อยากให้รับรู้กับสิ่งที่อยู่ในใจพวกเรา ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ระหว่างยังไม่แก้ในช่วงที่ทำงานร่วมกัน อย่างน้อย ส.ว.ก็ยังต้องมาเกี่ยวข้องอย่างเรื่องมาตรา190 หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่ดีที่ประธานจะทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการบางอย่าง และยอมรับฟังข้อเสนอแนะ ส.ว.บ้าง”
ต่อมานายขจิต ชัยนิคม ส.ส.มหาสารคาม ส.ส.เพื่อไทย กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายจุรินทร์ที่ทำท่าวอล์คเอ้าต์ แต่ก็ไม่ออก ยังกวักมือเรียกสมาชิกให้อยู่ในห้อง ทั้งที่เมื่อคืนจริงๆ แล้วองค์ประชุมอยู่ครบไม่ได้ล่ม และหากฝ่ายค้านช่วยกดบัตรแสดงตนองค์ประชุมก็จะครบ และที่บอกว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกก็ขออย่าให้ทำอีกไป
การอภิปรายของนายขจิตสร้างความไม่พอใจให้ฝ่ายค้านและหากันโห่ลั่นห้องประชุม โดย น.ส. รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ได้ประท้วงที่ว่า หากซีกฝ่ายค้านกดบัตรก็จะครบองค์ประชุม แต่ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็บอกว่าองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ถือเป็นการใส่ร้ายจึงขอให้ถอนคำพูด เหตุที่สภาล่มต้องโทษประธาน และคนเสนอญัตติขอปิดอภิปราย และประธานไม่เห็นความสำคัญของฝ่ายค้านและ ส.ว. ไม่มองมาทางนี้เลย ตาเหล่หรืออย่างไร เวลาแข็งก็แข็งเกินไป ต้องฟังความเห็นของคนอื่นสภาก็จะเดินหน้าได้ แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้สภาจะเดินไม่ได้ และประธานจะอยู่ไม่ครบ4 ปีแน่นอน
**“ขุนค้อน” อ้างทำตรงไปตรงมา
ช่วงเช้าก่อนการประชุมฯ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีสภาล่มเมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า เกิดจากความเข้าใจผิดของ ส.ส.บางส่วนคิดว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร จึงกลับไปก่อน ยืนยันจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ยึดหลักข้อบังคับของการประชุมรัฐสภาอย่างเคร่งครัดไม่ให้ใครมองว่าเข้าข้างฝ่ายใด ทั้งนี้หวังให้ เป็นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ก็ยังไม่สบายใจกับภาพพจน์ของสภา
**ปชป.รุมอัด“ขุนค้อน”ไม่เป็นกลาง
นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงภายหลังการประชุมวิปฝ่ายค้านว่า ปัญหาประชุมล่มป็นเพราะรัฐบาลไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้ในที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย ขณะที่ฝ่ายค้านยังอภิปรายไม่หมดเวลาที่ได้ตกลงไว้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลกลับขอให้ปิดการอภิปราย ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้
นอกจากนี้ พฤติกรรมการควบคุมการประชุมของประธานสภาฯ ยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเสนอแนะความเห็น ไม่มีใครปฏิเสธว่าการดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมเป็นหน้าที่และเป็นสิ่งที่ประธานต้องปฏิบัติ แต่ประธานต้องไม่ปฏิบัติตามอำเภอใจ
ทั้งนี้ ขอให้ประธานสภาฯยอมรับความจริงว่าสภาล่มเมื่อวันที่ 24 ส.ค.นี้ ประธานสภาฯมีส่วน ซึ่งอาจเป็นเพราะประธานสภาฯมั่นใจในเสียงข้างมากของตนเองก็ได้ ถึงเร่งรัดให้มีการปิดอภิปรายแบบนี้ ขณะเดียวกัน ไม่ทราบว่าประธานรัฐสภาจะรับผิดชอบหรือไม่ และจะรับผิดชอบอย่างไร แต่ประธานสภาฯจะต้องปรับปรุงตัวเองไม่อย่างนั้นจะทำให้การประชุมสภาฯครั้งต่อไปมีปัญหาตลอด และพรรคก็ยังไม่คิดถึงมาตรการรุนแรงกว่าการวอล์กเอาว์เพราะหวังว่าการประชุมสภาฯครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างราบรื่น และขอปฏิเสธว่าฝ่ายค้านไม่เคยคิดตีรวนแต่อย่างใด
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วิธีการเดินออกห้องประชุมนั้นจะใช้ในกรณีจำเป็นจริงๆ เท่านั้น อาทิ มีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ, ขัดประเพณีปฏิบัติของสภาอย่างชัดเจน และการวางตัวไม่เป็นกลางอย่างชัดแจ้งของผู้ที่ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยยืนยันจะไม่ทำเหมือนอย่างที่พรรคเพื่อไทยสมัยเป็นฝ่ายค้านได้ทำกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าประธานสภาต้องปรับปรุงตัวท่านเองอย่างมาก โดยเฉพาะการวางตัวให้เป็นกลาง ไม่เช่นนั้นงานสภาและตัวท่านเองก็จะมีปัญหาในการทำงาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาต้องถือว่าตัวประธานไม่ประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่และทำให้การแถลงนโยบายของรัฐบาลมีปัญหาและอุปสรรค ไม่ราบรื่น ที่จริงแล้วประธานสภาหรือสมาชิกฝ่ายรัฐบาลไม่ควรที่จะออกอาการมากเกินเหตุ เพราะนายกฯและรัฐมนตรีต่างๆสามารถที่จะลุกขึ้นชี้แจงหรืออธิบายข้อสงสัย ข้อสังเกตของฝ่ายค้านได้
**พท.โวย ปชป. สร้างเกมจนสภาป่วน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยในการแถลงนโยบายอยากให้ฝ่ายค้านให้ข้อเสนอแนะอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่พาดพิง หรือนำสถาบันมากล่าวอ้าง จากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น ถือว่าฝ่ายค้านจงใจสร้างเกมทางการเมืองด้วยการใส่ร้ายป้ายสี กล่าวเท็จเพื่อให้เกิดการประท้วงโต้แย้งและกระทบต่อกรอบเวลาในการอภิปราย ซึ่งข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพวกตนยอมไม่ได้ หากนิ่งเฉยก็เหมือนเป็นการยอมรับทางกฎหมาย ดังนั้น จึงต้องใช้สิทธิพาดพิงเพื่อให้ทุกฝ่ายเคารพกระบวนการของสภา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากเรื่องของการเหลื่อมเวลามากกว่า และในการทำงานที่เกี่ยวกับเทคนิคในสภาฯ ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด นายกฯ กล่าวว่า ทั้งหมดวันนี้ถือว่า รัฐบาลได้ทำตามขั้นตอนครบหมดแล้ว เพราะขั้นตอนจริงๆ คือเริ่มตั้งแต่การอ่านนโยบายจนจบ แล้วเป็นการรับฟังความคิดเห็น
ส่วนประธานสภาฯแข็งกร้าวเกินไปหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขออนุญาตไม่แสดงความคิดเห็น ท่านเองก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว ในส่วนของประธานสภาฯต้องยึดกฎกติกา ทั้งนี้หากประธานสภาฯน่าจะยืดหยุ่นมากกว่านี้ เพื่อการเมืองเดินไปได้ นายกฯ กล่าวว่า บางอย่างก็เป็นเรื่องของข้อกฎหมายเทคนิค ท่านประธานสภาฯก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และดีที่สุดแล้ว
** “ยิ่งลักษณ์” ท้าให้ดูภาวะผู้นำจากนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีการมองว่า นายกฯไม่มีภาวะความเป็นผู้นำในการแถลงนโยบายครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการแถลงนโยบายรัฐบาลแต่ละสมัยก็จะเป็นอ่านโนบายในช่วงต้น และสองสมัยที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการอ่านปิดนโยบาย ฉะนั้นวันนี้การแถลงจะเป็นการยึดการแถลงนโยบายในเบื้องต้นแล้ว แล้วที่เหลือจะเป็นการฟังความคิดเห็น
“ส่วนที่บอกว่า ดิฉันไม่มีภาวะความเป็นผู้นำนั้น วันนี้ยังไม่ได้เริ่มงานเลย เริ่มงานแล้วรอดูการทำงานก่อนดีไหมคะ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว และเมื่อถามว่า จะใช้เวลากี่เดือนในการแสดงความเป็นผู้นำอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องถามว่า คำว่า ภาวะความเป็นผู้นำหมายความว่าอย่างไร ดูผลงานน่าจะเป็นคำตอบที่ตรงกว่า ถ้ามีภาวะผู้นำ แต่สุดท้ายไม่มีผลงาน พี่น้องประชาชนก็คงผิดหวัง
**ปชป.สรุปเหน็บ “แก้บนขนกับปีก”
ส่วนสาระในการการอภิปรายนโยบาย วันสุดท้าย มีการหยิบยกกรณีการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาพูด โดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่ทันได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ไปแถลงต่อทูต เกี่ยวกับนโยบายให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศญี่ปุ่น ว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายห้าม ตนไม่สบายใจเพราะตามมาตรา178 รัฐบาลจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน ดังนั้นเรื่งอที่เกิดขึ้นในขณะที่ยังไม่แถลงนโยบาย รมว.ต่างประเทศใช้สิทธิ์ เลือกทูตญี่ปุ่นมาพบ และใช้สิทธิ์ช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทางญี่ปุ่นก็ไม่สบายใจ ตนเห็นว่าถ้าเราไม่ยึดกฎหมาย ยึดตามรัฐธรรมนูญบ้านเมืองจะอยู่อย่างไรเพราะเราปกครองโดยหลักนิติรัฐ และหลักนิติธรรม เพราะถ้าไม่คำนึงถึงก็จะเกิดการอุ้มฆ่าและเหตการณ์ไม่พึงประสงค์มากมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานหลังจากเปิดโอกาสให้สมาชิกสลับกันอภิปรายกว่า 3ชั่วโมง จนมาถึงช่วงสุดท้าย นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้ อภิปรายสรุปว่า จากที่ติดตามการแถลงนโยบายตลอด 3 วันมา โดยเฉพาะก่อนการอภิปรายรัฐบาลมีนโยบายที่หาเสียงไว้ แต่พอเอาเข้าจริงรัฐบาลกลับๆลำ 360 องศา นี่คือนโยบายแก้บนจริงๆ คือ เวลาไปแก้บนแก้บนไม่ครบ เหมือนตอนบน บนไก่ทั้งตัว แต่ตอนแก้บนเหลือแต่ขนกับปีก
“มีเรื่องเดียวที่รัฐบาลนี้ทำตามที่พูดไว้ตอนหาเสียงคือนายกฯประกาศว่าจะแก้ไขไม่แก้แค้น ซึ่งตนคิดอยู่นาน ก็ทราบว่าคือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง ตอนหาเสียงบอกเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นเรื่องของสภา ซึ่งนายกฯ พูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องของสภา แล้วเอาไปใส่ไว้ในนโยบายเร่งด่วนทำไม แสดงงว่าเรื่องนี้เป็นทั้งนโยบายรัฐบาลและนโยบายเร่งด่วน ซึ่งเป็นห่วงว่านโยบายนี้จะกระทบกับนโยบายปรองดอง เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัดแย้งอีกรอบหนึ่ง”
**ปูสรุปเดินหน้าทุกนโยบายที่หาเสียง
ต่อมาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวขอบคุณสมาชิก โดยยินดีรับฟังข้อเสนอ ข้อคิดเห็น ข้อติติง ทุกนโยบายที่นำเสนอไม่ได้บิดเบือน ไม่หลอกลวง อย่างที่สมาชิกกล่าวหา เพราะไม่มีเหตุใดผลรัฐบาลที่มาจากประชาชนจะไม่ซื่อสัตย์กับประชาชน การทำนโยบาย หรือการนำเสนอในการหาเสียงไม่ใช่มุ่งตีความเป็นลายลักษณ์อักษร เรามุ่งถึงเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการเรพาะขณะนั้นเรายังไม่ได้เข้าไปทำงาน
ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ300บาท ยืนยันว่าการให้แรงงานวันละไม่น้อยกว่า 300 บาท มีความหมายเดียวกับนโยบายพรรคเพื่อไทยที่ใช้ในการหาเสียง การใช้ถ้อยคำว่า รายได้ 300 บาทเพราะต้องการให้หมายรวมภึงลูกจ้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั้งหมด แต่เรามุ่งผลลัพท์ว่าทำอย่างไรให้ผู้ใช้แรงงานได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น ส่วนเอกชนที่มีผลกระทบ และไม่สามารถปรับตัวได้ รัฐบาลพร้อมจะให้คำปรึกษา
ส่วนเงินเดือน 15,000 บาท โดยหลักการเราจะปรับค่าตอบแทนกับข้าราชการที่จบปริญญาตรี แต่จะต้องดำเนินการทันที่หลังจากที่งบประมาณปี 2555 มีผลบังคับใช้ นั่นคือคำว่าทันที
สำหรับนโยบายแจกแท็ปเล็ตพีซี ผลลัพท์ที่อยากได้ไม่ได้มองแค่การแจกให้กับเด็กป.1 ที่ใช้คำพูดว่า”นำร่อง”เรามองถึงเนื้อหาสาระบรรจุไว้ในเครื่อง เราจะระวังเรื่องการเอาแท็ปเลตไปเล่นเกม
สำหรับนโยบายปรองดอง ยินดีที่อยากเห็นสามัคคีปรองดองเกิดขึ้นในสภาก่อน รัฐบาลได้มอบให้คอป. โดยจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวทำงานได้อย่างอิสระเต็มที่ ส่วนการเยียวยาจะมีการดำเนินการในส่วนผลกระทบที่เกิดจากการเมือง และความไม่สงบในภาคใต้
รวมทั้งไม่ต้องห่วงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สำหรับเรื่องวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นขณะนั้นตนไม่มีอำนาจตามกฏหมายการอนุมัติเรื่องวีซ่านั้นเป็นเอกสิทธิ์ของประเทศญี่ปุ่น
“คงไม่มีใครหมายความว่าการทำงานเปรียบเสมือนการทำข้อสอบ ไม่มีใครบอกว่าข้อสอบนั้นจะต้องได้ 100 เปอร์เซนต์ทุกวิชา เชื่อมั่นว่าดิฉันจะสอบผ่านทุกวิชา” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวท่ามกลางเสียงปรบมือจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสภาอย่างกึกก้อง จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้สั่งปิดการประชุมทันที.
การประชุมรัฐสภาเพื่ออภิปรายนโยบาย วานนี้ (25 ส.ค.) เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.00 น.โดยมีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.เพื่อไทย ได้ขอถอนญัตติที่เสนอให้ปิดอภิปราย ที่ค้างจากเมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค. ที่ผ่านมา เมื่อจะเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายนโยบายกันต่อไป แต่ส.ส.จากฝ่ายค้านได้พากันอภิปรายตำหนิการทำหน้าที่ประธานการประชุมของนายสมศักดิ์ว่ามีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง
ด้าน ส.ว.บางส่วนได้แสดงความอึดอัดต่อบรรยากาศในห้องประชุม โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวว่าในการประชุมร่วม ส.ว.จะเข้ามาเป็นองค์ประกอบ แต่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาสิ่งที่สว.ส่วนใหญ่เผชิญคือ ความสำคัญในมุมมองของ ส.ส. โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลมักเห็นความสำคัญของ ส.ว.แค่ช่วงนับองค์ประชุม การประชุมวิป 3 ฝ่ายในลักษณะขอความเห็นจริงจังนั้นเกิดบ้างแต่น้อย สิ่งที่วิป ส.ว.ได้รับการแจ้ง คือ ฝ่ายค้านและ รัฐบาลตกลงแล้วเอาแบบนี้ ตัวแทนวุฒิหลายคนทำหน้าต่ำกว่าศักยภาพ คือแค่นำสาสน์มาแจ้งเพื่อน
“ เรามีค่าเพียงแค่ให้องค์ครบหรือ ทั้งสองฝ่ายอาจคิดว่าตันเป็นผู้เล่น บางครั้งการแก้ปัญหาอาจง่ายกว่าถ้าให้ส่วนที่สามคือ ส.ว มีส่วนร่วมด้วย แม้จะมีความขัดแย้งกันบ้างแต่บางครั้งก็ควรจะยอมให้เกิดต่อไปไม่ใช่เพราะแค่ประเด็นองค์ประชุม อยากให้พูดคุยให้เป็นระบบระหว่างประธาน กับตัวแทนวิป 3 ฝ่าย อยากให้รับรู้กับสิ่งที่อยู่ในใจพวกเรา ไม่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ระหว่างยังไม่แก้ในช่วงที่ทำงานร่วมกัน อย่างน้อย ส.ว.ก็ยังต้องมาเกี่ยวข้องอย่างเรื่องมาตรา190 หวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่ดีที่ประธานจะทบทวนและปรับเปลี่ยนวิธีการบางอย่าง และยอมรับฟังข้อเสนอแนะ ส.ว.บ้าง”
ต่อมานายขจิต ชัยนิคม ส.ส.มหาสารคาม ส.ส.เพื่อไทย กล่าวว่า ต้องขอบคุณนายจุรินทร์ที่ทำท่าวอล์คเอ้าต์ แต่ก็ไม่ออก ยังกวักมือเรียกสมาชิกให้อยู่ในห้อง ทั้งที่เมื่อคืนจริงๆ แล้วองค์ประชุมอยู่ครบไม่ได้ล่ม และหากฝ่ายค้านช่วยกดบัตรแสดงตนองค์ประชุมก็จะครบ และที่บอกว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกก็ขออย่าให้ทำอีกไป
การอภิปรายของนายขจิตสร้างความไม่พอใจให้ฝ่ายค้านและหากันโห่ลั่นห้องประชุม โดย น.ส. รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ได้ประท้วงที่ว่า หากซีกฝ่ายค้านกดบัตรก็จะครบองค์ประชุม แต่ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็บอกว่าองค์ประชุมเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ถือเป็นการใส่ร้ายจึงขอให้ถอนคำพูด เหตุที่สภาล่มต้องโทษประธาน และคนเสนอญัตติขอปิดอภิปราย และประธานไม่เห็นความสำคัญของฝ่ายค้านและ ส.ว. ไม่มองมาทางนี้เลย ตาเหล่หรืออย่างไร เวลาแข็งก็แข็งเกินไป ต้องฟังความเห็นของคนอื่นสภาก็จะเดินหน้าได้ แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้สภาจะเดินไม่ได้ และประธานจะอยู่ไม่ครบ4 ปีแน่นอน
**“ขุนค้อน” อ้างทำตรงไปตรงมา
ช่วงเช้าก่อนการประชุมฯ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีสภาล่มเมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่า เกิดจากความเข้าใจผิดของ ส.ส.บางส่วนคิดว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร จึงกลับไปก่อน ยืนยันจะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ยึดหลักข้อบังคับของการประชุมรัฐสภาอย่างเคร่งครัดไม่ให้ใครมองว่าเข้าข้างฝ่ายใด ทั้งนี้หวังให้ เป็นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ก็ยังไม่สบายใจกับภาพพจน์ของสภา
**ปชป.รุมอัด“ขุนค้อน”ไม่เป็นกลาง
นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงภายหลังการประชุมวิปฝ่ายค้านว่า ปัญหาประชุมล่มป็นเพราะรัฐบาลไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้ในที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย ขณะที่ฝ่ายค้านยังอภิปรายไม่หมดเวลาที่ได้ตกลงไว้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลกลับขอให้ปิดการอภิปราย ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้
นอกจากนี้ พฤติกรรมการควบคุมการประชุมของประธานสภาฯ ยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเสนอแนะความเห็น ไม่มีใครปฏิเสธว่าการดำเนินการตามข้อบังคับการประชุมเป็นหน้าที่และเป็นสิ่งที่ประธานต้องปฏิบัติ แต่ประธานต้องไม่ปฏิบัติตามอำเภอใจ
ทั้งนี้ ขอให้ประธานสภาฯยอมรับความจริงว่าสภาล่มเมื่อวันที่ 24 ส.ค.นี้ ประธานสภาฯมีส่วน ซึ่งอาจเป็นเพราะประธานสภาฯมั่นใจในเสียงข้างมากของตนเองก็ได้ ถึงเร่งรัดให้มีการปิดอภิปรายแบบนี้ ขณะเดียวกัน ไม่ทราบว่าประธานรัฐสภาจะรับผิดชอบหรือไม่ และจะรับผิดชอบอย่างไร แต่ประธานสภาฯจะต้องปรับปรุงตัวเองไม่อย่างนั้นจะทำให้การประชุมสภาฯครั้งต่อไปมีปัญหาตลอด และพรรคก็ยังไม่คิดถึงมาตรการรุนแรงกว่าการวอล์กเอาว์เพราะหวังว่าการประชุมสภาฯครั้งต่อไปจะเป็นไปอย่างราบรื่น และขอปฏิเสธว่าฝ่ายค้านไม่เคยคิดตีรวนแต่อย่างใด
นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วิธีการเดินออกห้องประชุมนั้นจะใช้ในกรณีจำเป็นจริงๆ เท่านั้น อาทิ มีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ, ขัดประเพณีปฏิบัติของสภาอย่างชัดเจน และการวางตัวไม่เป็นกลางอย่างชัดแจ้งของผู้ที่ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยยืนยันจะไม่ทำเหมือนอย่างที่พรรคเพื่อไทยสมัยเป็นฝ่ายค้านได้ทำกับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าประธานสภาต้องปรับปรุงตัวท่านเองอย่างมาก โดยเฉพาะการวางตัวให้เป็นกลาง ไม่เช่นนั้นงานสภาและตัวท่านเองก็จะมีปัญหาในการทำงาน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาต้องถือว่าตัวประธานไม่ประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่และทำให้การแถลงนโยบายของรัฐบาลมีปัญหาและอุปสรรค ไม่ราบรื่น ที่จริงแล้วประธานสภาหรือสมาชิกฝ่ายรัฐบาลไม่ควรที่จะออกอาการมากเกินเหตุ เพราะนายกฯและรัฐมนตรีต่างๆสามารถที่จะลุกขึ้นชี้แจงหรืออธิบายข้อสงสัย ข้อสังเกตของฝ่ายค้านได้
**พท.โวย ปชป. สร้างเกมจนสภาป่วน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเล่นการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยในการแถลงนโยบายอยากให้ฝ่ายค้านให้ข้อเสนอแนะอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่พาดพิง หรือนำสถาบันมากล่าวอ้าง จากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้น ถือว่าฝ่ายค้านจงใจสร้างเกมทางการเมืองด้วยการใส่ร้ายป้ายสี กล่าวเท็จเพื่อให้เกิดการประท้วงโต้แย้งและกระทบต่อกรอบเวลาในการอภิปราย ซึ่งข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพวกตนยอมไม่ได้ หากนิ่งเฉยก็เหมือนเป็นการยอมรับทางกฎหมาย ดังนั้น จึงต้องใช้สิทธิพาดพิงเพื่อให้ทุกฝ่ายเคารพกระบวนการของสภา
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากเรื่องของการเหลื่อมเวลามากกว่า และในการทำงานที่เกี่ยวกับเทคนิคในสภาฯ ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า การแถลงนโยบายรัฐบาลไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด นายกฯ กล่าวว่า ทั้งหมดวันนี้ถือว่า รัฐบาลได้ทำตามขั้นตอนครบหมดแล้ว เพราะขั้นตอนจริงๆ คือเริ่มตั้งแต่การอ่านนโยบายจนจบ แล้วเป็นการรับฟังความคิดเห็น
ส่วนประธานสภาฯแข็งกร้าวเกินไปหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขออนุญาตไม่แสดงความคิดเห็น ท่านเองก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว ในส่วนของประธานสภาฯต้องยึดกฎกติกา ทั้งนี้หากประธานสภาฯน่าจะยืดหยุ่นมากกว่านี้ เพื่อการเมืองเดินไปได้ นายกฯ กล่าวว่า บางอย่างก็เป็นเรื่องของข้อกฎหมายเทคนิค ท่านประธานสภาฯก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และดีที่สุดแล้ว
** “ยิ่งลักษณ์” ท้าให้ดูภาวะผู้นำจากนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีการมองว่า นายกฯไม่มีภาวะความเป็นผู้นำในการแถลงนโยบายครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการแถลงนโยบายรัฐบาลแต่ละสมัยก็จะเป็นอ่านโนบายในช่วงต้น และสองสมัยที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการอ่านปิดนโยบาย ฉะนั้นวันนี้การแถลงจะเป็นการยึดการแถลงนโยบายในเบื้องต้นแล้ว แล้วที่เหลือจะเป็นการฟังความคิดเห็น
“ส่วนที่บอกว่า ดิฉันไม่มีภาวะความเป็นผู้นำนั้น วันนี้ยังไม่ได้เริ่มงานเลย เริ่มงานแล้วรอดูการทำงานก่อนดีไหมคะ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว และเมื่อถามว่า จะใช้เวลากี่เดือนในการแสดงความเป็นผู้นำอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องถามว่า คำว่า ภาวะความเป็นผู้นำหมายความว่าอย่างไร ดูผลงานน่าจะเป็นคำตอบที่ตรงกว่า ถ้ามีภาวะผู้นำ แต่สุดท้ายไม่มีผลงาน พี่น้องประชาชนก็คงผิดหวัง
**ปชป.สรุปเหน็บ “แก้บนขนกับปีก”
ส่วนสาระในการการอภิปรายนโยบาย วันสุดท้าย มีการหยิบยกกรณีการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาพูด โดยนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่ทันได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ไปแถลงต่อทูต เกี่ยวกับนโยบายให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศญี่ปุ่น ว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายห้าม ตนไม่สบายใจเพราะตามมาตรา178 รัฐบาลจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน ดังนั้นเรื่งอที่เกิดขึ้นในขณะที่ยังไม่แถลงนโยบาย รมว.ต่างประเทศใช้สิทธิ์ เลือกทูตญี่ปุ่นมาพบ และใช้สิทธิ์ช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทางญี่ปุ่นก็ไม่สบายใจ ตนเห็นว่าถ้าเราไม่ยึดกฎหมาย ยึดตามรัฐธรรมนูญบ้านเมืองจะอยู่อย่างไรเพราะเราปกครองโดยหลักนิติรัฐ และหลักนิติธรรม เพราะถ้าไม่คำนึงถึงก็จะเกิดการอุ้มฆ่าและเหตการณ์ไม่พึงประสงค์มากมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานหลังจากเปิดโอกาสให้สมาชิกสลับกันอภิปรายกว่า 3ชั่วโมง จนมาถึงช่วงสุดท้าย นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้ อภิปรายสรุปว่า จากที่ติดตามการแถลงนโยบายตลอด 3 วันมา โดยเฉพาะก่อนการอภิปรายรัฐบาลมีนโยบายที่หาเสียงไว้ แต่พอเอาเข้าจริงรัฐบาลกลับๆลำ 360 องศา นี่คือนโยบายแก้บนจริงๆ คือ เวลาไปแก้บนแก้บนไม่ครบ เหมือนตอนบน บนไก่ทั้งตัว แต่ตอนแก้บนเหลือแต่ขนกับปีก
“มีเรื่องเดียวที่รัฐบาลนี้ทำตามที่พูดไว้ตอนหาเสียงคือนายกฯประกาศว่าจะแก้ไขไม่แก้แค้น ซึ่งตนคิดอยู่นาน ก็ทราบว่าคือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง ตอนหาเสียงบอกเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นเรื่องของสภา ซึ่งนายกฯ พูดไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องของสภา แล้วเอาไปใส่ไว้ในนโยบายเร่งด่วนทำไม แสดงงว่าเรื่องนี้เป็นทั้งนโยบายรัฐบาลและนโยบายเร่งด่วน ซึ่งเป็นห่วงว่านโยบายนี้จะกระทบกับนโยบายปรองดอง เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัดแย้งอีกรอบหนึ่ง”
**ปูสรุปเดินหน้าทุกนโยบายที่หาเสียง
ต่อมาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวขอบคุณสมาชิก โดยยินดีรับฟังข้อเสนอ ข้อคิดเห็น ข้อติติง ทุกนโยบายที่นำเสนอไม่ได้บิดเบือน ไม่หลอกลวง อย่างที่สมาชิกกล่าวหา เพราะไม่มีเหตุใดผลรัฐบาลที่มาจากประชาชนจะไม่ซื่อสัตย์กับประชาชน การทำนโยบาย หรือการนำเสนอในการหาเสียงไม่ใช่มุ่งตีความเป็นลายลักษณ์อักษร เรามุ่งถึงเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการเรพาะขณะนั้นเรายังไม่ได้เข้าไปทำงาน
ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ300บาท ยืนยันว่าการให้แรงงานวันละไม่น้อยกว่า 300 บาท มีความหมายเดียวกับนโยบายพรรคเพื่อไทยที่ใช้ในการหาเสียง การใช้ถ้อยคำว่า รายได้ 300 บาทเพราะต้องการให้หมายรวมภึงลูกจ้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทั้งหมด แต่เรามุ่งผลลัพท์ว่าทำอย่างไรให้ผู้ใช้แรงงานได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น ส่วนเอกชนที่มีผลกระทบ และไม่สามารถปรับตัวได้ รัฐบาลพร้อมจะให้คำปรึกษา
ส่วนเงินเดือน 15,000 บาท โดยหลักการเราจะปรับค่าตอบแทนกับข้าราชการที่จบปริญญาตรี แต่จะต้องดำเนินการทันที่หลังจากที่งบประมาณปี 2555 มีผลบังคับใช้ นั่นคือคำว่าทันที
สำหรับนโยบายแจกแท็ปเล็ตพีซี ผลลัพท์ที่อยากได้ไม่ได้มองแค่การแจกให้กับเด็กป.1 ที่ใช้คำพูดว่า”นำร่อง”เรามองถึงเนื้อหาสาระบรรจุไว้ในเครื่อง เราจะระวังเรื่องการเอาแท็ปเลตไปเล่นเกม
สำหรับนโยบายปรองดอง ยินดีที่อยากเห็นสามัคคีปรองดองเกิดขึ้นในสภาก่อน รัฐบาลได้มอบให้คอป. โดยจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวทำงานได้อย่างอิสระเต็มที่ ส่วนการเยียวยาจะมีการดำเนินการในส่วนผลกระทบที่เกิดจากการเมือง และความไม่สงบในภาคใต้
รวมทั้งไม่ต้องห่วงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สำหรับเรื่องวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นขณะนั้นตนไม่มีอำนาจตามกฏหมายการอนุมัติเรื่องวีซ่านั้นเป็นเอกสิทธิ์ของประเทศญี่ปุ่น
“คงไม่มีใครหมายความว่าการทำงานเปรียบเสมือนการทำข้อสอบ ไม่มีใครบอกว่าข้อสอบนั้นจะต้องได้ 100 เปอร์เซนต์ทุกวิชา เชื่อมั่นว่าดิฉันจะสอบผ่านทุกวิชา” น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวท่ามกลางเสียงปรบมือจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทยในสภาอย่างกึกก้อง จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้สั่งปิดการประชุมทันที.