ชาติไทยเป็นชาติหนึ่งที่ร่ำรวยภาษา มีลูกเล่นลูกฮาให้ได้คิด แต่จะมีจิตสำนึกรับผิดชอบร่วมกับสังคมโดยรวมหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างสำนวนที่เราได้ยินมานมนานแล้วเช่น “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” “กาไม่จิกตากา” “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” สำนวนเหล่านี้ต่างมีที่มา ซึ่งสามารถแยกกันอธิบายหรือนำมาอธิบายรวมกันได้แบบไทยเช่นกัน
“หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” มีให้เห็นเป็นแบบอย่างของสมาชิกพรรคการเมืองที่มีหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคทุจริตคอร์รัปชัน ก็จะปิดปากเงียบ เพราะเปิดปากเมื่อใดจะทำให้เสียภาพลักษณ์ของพรรค และที่สำคัญยังขาดรายได้หรือเงินพิเศษรายเดือนที่พรรคจัดให้ รวมทั้งการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีก็อยู่ในอำนาจหัวหน้าหรือเลขาธิการพรรค สมาชิกคนใดไปพูดเห็นด้วยว่ามีการโกงกับสาธาณชนก็จะอยู่ในพรรคไม่ได้หรืออยู่ได้ก็ไม่เจริญ “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” จึงมีความหมายสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายว่า หยิกหัวหน้าหรือเลขาธิการพรรคแล้วเจ็บตัวเอง
ส่วน “กาไม่จิกตากา” หรือ “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” มีความหมายในทางเดียวกันคือพวกเดียวกันไม่ทำร้ายกัน ซึ่ง “กาไม่จิกตากา” เป็นสำนวนที่ใช้ทั่วไป แต่ “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” เป็นสำนวนที่สื่อมวลชนนักหนังสือพิมพ์ใช้มากกว่าซึ่งหมายถึงสถานะนักหนังสือพิมพ์ในยุคสมัยหนึ่ง จะไม่มีการตรวจสอบกันเอง ค่ายใครค่ายมัน จึงทำให้นักธุรกิจการเมืองเข้าไปเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ แล้วเข้าไปยึดเข้าไปผูกขาดสัมปทานรัฐแบบเนียนๆ ก็โดยอาศัยคราบความเป็นเจ้าของนักหนังสือพิมพ์
เมื่อรวมสองสำนวนแล้วมาดูบ้านเมืองไทยในวันนี้ เราจะเห็นปรากฏการณ์ของสังคมที่มีโรคสั่งสม โรคอ้วนของการทุจริตคอร์รัปชัน ตั้งแต่โกงการทำปะการังเทียมในน้ำ เรือขุดที่มีแต่วิญญาณเรือบนน้ำ กินหินกินทรายบนดิน กินเรือเหาะ (บอลลูน) เรือบินในอากาศ ยันดาวเทียมในห่วงอวกาศ ถ้าวันนี้โกงกินข้ามโลกพระจันทร์ได้นักการเมืองไทยคงทำไปแล้ว ทั้งยังมีคำโสมมเป็นคำอธิบายได้หมดตั้งแต่กฎหมายไม่ได้เขียนห้ามไว้ ทำแบบเข้าใจผิดจึงไม่ถือว่าเป็นเจตนาโกงหรือบกพร่องโดยสุจริต ฯลฯ
เมื่อเกิดคำถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้???
คำตอบก็มีให้เห็นคือสังคมไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ นักการเมืองฝ่ายค้านเมื่อมาเป็นรัฐบาลไม่ต่างกว่าเปรตเดือนสิบที่รอรับส่วนบุญ ซึ่งคำพูดที่ว่าเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้งเป็นเครื่องยืนยันได้ ฝ่ายมาเป็นรัฐบาลเมื่อมาเป็นก็เกิดอาการแบบพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ที่ให้สัมภาษณ์ว่า “จะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลเก่าติดคุก” ซึ่งถ้าไม่ใช่คนขี้โม้ก็ขอให้ทำจริงสักครั้ง จะได้มีคนศรัทธาการเมืองมากขึ้น
ในด้านนักหนังสือพิมพ์เองตั้งแต่ยุคทุนสามานย์เข้ามาก็ถูกทำลายลงเรื่อยๆ เหมือนคำสัมภาษณ์ของประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อดีตนักหนังสือพิมพ์ที่เปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันว่า รอยแบ่งระหว่างวิชาชีพสื่อกับธุรกิจโฆษณาวันนี้บางที่บางแห่งได้ขาดสะบั้นไปแล้ว อุดมการณ์สื่อหลายฉบับจึงเก็บเข้าลิ้นชักเปลี่ยนเป็นเงินไปเรียบร้อยแล้ว การตรวจสอบจึงบกพร่อง
เมื่อไม่มีการตรวจสอบจากนักการเมืองด้วยกันเอง ไม่มีการตรวจสอบจากสื่อมวลชนปรากฏการณ์ข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอในสังคมไทยที่ถูกครอบงำมาจากนักโกงเมืองที่มีอำนาจ มีอิทธิพล มีเงินเข้ามาฉ้อฉล บิดเบือนความถูกต้องดีงาม เมื่อมีอำนาจรัฐก็ใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าหาผลประโยชน์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าทุจริตโครงการการลงทุนของรัฐ สร้างอิทธิพลโยกย้ายข้าราชการ สร้างรัฐตำรวจหรือสร้างกองกำลังซ้อนอำนาจรัฐ จนถึงอยู่เบื้องหลังธุรกิจการพนัน ยาเสพติด ฯลฯ
ซึ่งความเลวร้ายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นในประเทศ มันก็ไม่ต่างกับร่างกายที่มีบาดแผลติดเชื้อเป็นฝีเป็นหนอง จึงอยู่ที่ว่าเราซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ เป็นคนเสียภาษีให้เป็นเงินเดือนแก่นักการเมือง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจนถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่างเป็นลูกจ้างของเรา เราจะตรวจสอบอย่างไร ร่างกายที่ติดเชื้อมีฝีหนองนี้จะแก้อย่างไร ซึ่งโดยปกติการจะรักษาคนที่เป็นฝีเป็นหนองนั้นจะต้องรอให้ฝีนั้นพองเต็มที่ก่อนที่จะรีดหนองออกมา ไม่เช่นนั้นถ้าบีบเร็วเกินไป เนื้อจะช้ำ จะเพิ่มการอักเสบมากขึ้นอีก ในทางการเมืองก็เช่นกันการบีบหนองไม่ใช่เรื่องยากแต่จังหวะของการบีบหนองนั่นต่างหากที่ต้องช่วยกันคิด
ประชาชนชาวไทยร่วมบีบหนองทางการเมืองในระบอบทักษิณออกไปแล้ว แต่ไม่มีการเยียวยารักษาแผล รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็รักษาโดยไม่กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากหรือพูดโดยไม่มีการกระทำ แผลเก่าก็เกิดปริผลิเป็นรัฐบาลปู ซึ่งเมื่อมาใหม่ก็ต้องคอยดูอาการ ประชาชนออกมาบีบหนองเร็วก็เปรียบเสมือนการออกมาต่อต้านเร็วเกินไปก็จะถูกหาว่าเป็นแก๊งข้างถนนพวกกวนเมือง เพราะลูกหาบฝ่ายรัฐบาลคอยกระหน่ำอยู่แล้วว่า “เห็นไหม ปูยังไม่ทำงานเลย มันหาเรื่องด่าแล้ว...” ประชาชนที่รักชาติรักความเป็นธรรมจึงต้องรออีกสักระยะดูพฤติกรรมของนักการเมืองทั้งสองฝ่ายว่าเล่นปาหี่หรือลิเกทางการเมืองหรือไม่ ปล่อยให้โกงแล้วแบ่งผลประโยชน์กันข้างหลังหรือเปล่า ซึ่งคนทำชั่วก็เหมือนเอาใบบัวไปปิดช้างตาย ปิดไม่มิดหรอกครับ
หน้าที่ของเราวันนี้ก็คือการสร้างเงื่อนไขให้นักการเมืองทั้งสองฝ่ายทำงาน และต้องให้นักการเมืองที่เป็นลูกจ้างของประชาชนจดจำท่องให้ขึ้นใจ “ฝีหนองเป็นของไม่ดีต้องเอาออกไปจากร่างกายฉันใด ลูกจ้างทำเลวถูกไล่ออกได้เสมอฉันนั้น”
“หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” มีให้เห็นเป็นแบบอย่างของสมาชิกพรรคการเมืองที่มีหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคทุจริตคอร์รัปชัน ก็จะปิดปากเงียบ เพราะเปิดปากเมื่อใดจะทำให้เสียภาพลักษณ์ของพรรค และที่สำคัญยังขาดรายได้หรือเงินพิเศษรายเดือนที่พรรคจัดให้ รวมทั้งการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีก็อยู่ในอำนาจหัวหน้าหรือเลขาธิการพรรค สมาชิกคนใดไปพูดเห็นด้วยว่ามีการโกงกับสาธาณชนก็จะอยู่ในพรรคไม่ได้หรืออยู่ได้ก็ไม่เจริญ “หยิกเล็บเจ็บเนื้อ” จึงมีความหมายสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายว่า หยิกหัวหน้าหรือเลขาธิการพรรคแล้วเจ็บตัวเอง
ส่วน “กาไม่จิกตากา” หรือ “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” มีความหมายในทางเดียวกันคือพวกเดียวกันไม่ทำร้ายกัน ซึ่ง “กาไม่จิกตากา” เป็นสำนวนที่ใช้ทั่วไป แต่ “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” เป็นสำนวนที่สื่อมวลชนนักหนังสือพิมพ์ใช้มากกว่าซึ่งหมายถึงสถานะนักหนังสือพิมพ์ในยุคสมัยหนึ่ง จะไม่มีการตรวจสอบกันเอง ค่ายใครค่ายมัน จึงทำให้นักธุรกิจการเมืองเข้าไปเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ แล้วเข้าไปยึดเข้าไปผูกขาดสัมปทานรัฐแบบเนียนๆ ก็โดยอาศัยคราบความเป็นเจ้าของนักหนังสือพิมพ์
เมื่อรวมสองสำนวนแล้วมาดูบ้านเมืองไทยในวันนี้ เราจะเห็นปรากฏการณ์ของสังคมที่มีโรคสั่งสม โรคอ้วนของการทุจริตคอร์รัปชัน ตั้งแต่โกงการทำปะการังเทียมในน้ำ เรือขุดที่มีแต่วิญญาณเรือบนน้ำ กินหินกินทรายบนดิน กินเรือเหาะ (บอลลูน) เรือบินในอากาศ ยันดาวเทียมในห่วงอวกาศ ถ้าวันนี้โกงกินข้ามโลกพระจันทร์ได้นักการเมืองไทยคงทำไปแล้ว ทั้งยังมีคำโสมมเป็นคำอธิบายได้หมดตั้งแต่กฎหมายไม่ได้เขียนห้ามไว้ ทำแบบเข้าใจผิดจึงไม่ถือว่าเป็นเจตนาโกงหรือบกพร่องโดยสุจริต ฯลฯ
เมื่อเกิดคำถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้???
คำตอบก็มีให้เห็นคือสังคมไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ นักการเมืองฝ่ายค้านเมื่อมาเป็นรัฐบาลไม่ต่างกว่าเปรตเดือนสิบที่รอรับส่วนบุญ ซึ่งคำพูดที่ว่าเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้งเป็นเครื่องยืนยันได้ ฝ่ายมาเป็นรัฐบาลเมื่อมาเป็นก็เกิดอาการแบบพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ที่ให้สัมภาษณ์ว่า “จะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลเก่าติดคุก” ซึ่งถ้าไม่ใช่คนขี้โม้ก็ขอให้ทำจริงสักครั้ง จะได้มีคนศรัทธาการเมืองมากขึ้น
ในด้านนักหนังสือพิมพ์เองตั้งแต่ยุคทุนสามานย์เข้ามาก็ถูกทำลายลงเรื่อยๆ เหมือนคำสัมภาษณ์ของประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อดีตนักหนังสือพิมพ์ที่เปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชันว่า รอยแบ่งระหว่างวิชาชีพสื่อกับธุรกิจโฆษณาวันนี้บางที่บางแห่งได้ขาดสะบั้นไปแล้ว อุดมการณ์สื่อหลายฉบับจึงเก็บเข้าลิ้นชักเปลี่ยนเป็นเงินไปเรียบร้อยแล้ว การตรวจสอบจึงบกพร่อง
เมื่อไม่มีการตรวจสอบจากนักการเมืองด้วยกันเอง ไม่มีการตรวจสอบจากสื่อมวลชนปรากฏการณ์ข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอในสังคมไทยที่ถูกครอบงำมาจากนักโกงเมืองที่มีอำนาจ มีอิทธิพล มีเงินเข้ามาฉ้อฉล บิดเบือนความถูกต้องดีงาม เมื่อมีอำนาจรัฐก็ใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าหาผลประโยชน์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าทุจริตโครงการการลงทุนของรัฐ สร้างอิทธิพลโยกย้ายข้าราชการ สร้างรัฐตำรวจหรือสร้างกองกำลังซ้อนอำนาจรัฐ จนถึงอยู่เบื้องหลังธุรกิจการพนัน ยาเสพติด ฯลฯ
ซึ่งความเลวร้ายเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นในประเทศ มันก็ไม่ต่างกับร่างกายที่มีบาดแผลติดเชื้อเป็นฝีเป็นหนอง จึงอยู่ที่ว่าเราซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ เป็นคนเสียภาษีให้เป็นเงินเดือนแก่นักการเมือง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีจนถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่างเป็นลูกจ้างของเรา เราจะตรวจสอบอย่างไร ร่างกายที่ติดเชื้อมีฝีหนองนี้จะแก้อย่างไร ซึ่งโดยปกติการจะรักษาคนที่เป็นฝีเป็นหนองนั้นจะต้องรอให้ฝีนั้นพองเต็มที่ก่อนที่จะรีดหนองออกมา ไม่เช่นนั้นถ้าบีบเร็วเกินไป เนื้อจะช้ำ จะเพิ่มการอักเสบมากขึ้นอีก ในทางการเมืองก็เช่นกันการบีบหนองไม่ใช่เรื่องยากแต่จังหวะของการบีบหนองนั่นต่างหากที่ต้องช่วยกันคิด
ประชาชนชาวไทยร่วมบีบหนองทางการเมืองในระบอบทักษิณออกไปแล้ว แต่ไม่มีการเยียวยารักษาแผล รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็รักษาโดยไม่กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากหรือพูดโดยไม่มีการกระทำ แผลเก่าก็เกิดปริผลิเป็นรัฐบาลปู ซึ่งเมื่อมาใหม่ก็ต้องคอยดูอาการ ประชาชนออกมาบีบหนองเร็วก็เปรียบเสมือนการออกมาต่อต้านเร็วเกินไปก็จะถูกหาว่าเป็นแก๊งข้างถนนพวกกวนเมือง เพราะลูกหาบฝ่ายรัฐบาลคอยกระหน่ำอยู่แล้วว่า “เห็นไหม ปูยังไม่ทำงานเลย มันหาเรื่องด่าแล้ว...” ประชาชนที่รักชาติรักความเป็นธรรมจึงต้องรออีกสักระยะดูพฤติกรรมของนักการเมืองทั้งสองฝ่ายว่าเล่นปาหี่หรือลิเกทางการเมืองหรือไม่ ปล่อยให้โกงแล้วแบ่งผลประโยชน์กันข้างหลังหรือเปล่า ซึ่งคนทำชั่วก็เหมือนเอาใบบัวไปปิดช้างตาย ปิดไม่มิดหรอกครับ
หน้าที่ของเราวันนี้ก็คือการสร้างเงื่อนไขให้นักการเมืองทั้งสองฝ่ายทำงาน และต้องให้นักการเมืองที่เป็นลูกจ้างของประชาชนจดจำท่องให้ขึ้นใจ “ฝีหนองเป็นของไม่ดีต้องเอาออกไปจากร่างกายฉันใด ลูกจ้างทำเลวถูกไล่ออกได้เสมอฉันนั้น”