เมื่อเวลา 14.30 น.วานนี้ ( 1 ก.ค. ) องค์กรวิชาชีพสื่อ ประกอบด้วย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์แจกจ่ายแก่สมาชิก กรณี "สภาวิชาชีพสื่อพร้อมสอบอีเมล์นักการเมืองให้สินบนนักข่าว" มีใจความว่า
ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ มีข้อความระบุถึงการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหลายสำนัก เพื่อให้นำเสนอข่าวของพรรคเพื่อไทย โดยมีการระบุชื่อของผู้ประกอบวิชาชีพจากหลายสำนัก ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์
ผู้แทนขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 4 องค์กร ได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้หารือกันเบื้องต้น เห็นว่ากรณีที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันสื่อมวลชนโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง จึงเห็นควรให้สภาวิชาชีพทั้งสององค์กร ได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลด้านจริยธรรมของสื่อมวลชนด้านหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ พิจารณาดำเนินการตามธรรมนูญ และข้อบังคับของสภาวิชาชีพทั้งสองต่อไป
ทั้งนี้ ในการประชุมประจำเดือนตามปกติที่กำหนดไว้แล้ว โดยสภาวิชาชีพทั้งสอง คือ วันที่ 5 ก.ค.54 เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ สมาคมนักข่าวนักนักหนังสือพิมพ์ และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จะให้การสนับสนุนการดำเนินการของสภาวิชาชีพอย่างเต็มที่ เพื่อให้การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเป็นไปด้วยความโปร่งใส และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาวิชาชีพทั้ง 2 สภา มีมติให้ดำเนินการประการใด จะมีแถลงให้สาธารณชนทราบต่อไป
**"วิม" อ้างถูกแอบอ้างชื่อติดสินบนสื่อ
นายวิม รุ่งวัฒนะจินดา ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการเสนอค่าตอบแทนให้สื่อมวลชน เพื่อให้เสนอข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 พรรคเพื่อไทย ให้เป็นข่าวเด่นอย่างต่อเนื่องว่า ตนได้เห็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีอีเมลตนส่งออกไปหานายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คนสนิทของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเนื้อหาในอีเมลมีข้อความที่ระบุถึงข้อเรียกร้อง และการเสนอเงินสด สิ่งของให้สื่อมวลชน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการนำเสนอข่าวน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว แต่เข้าใจว่าคงมีคนเข้าไปใช้อีเมลของตนส่งออกไป ซึ่งอีเมล์ดังกล่าวนั้นตนเปิดไว้เพื่อให้เป็นสาธารณะ สำหรับสื่อมวลชน และผู้สื่อข่าวเข้ามาตรวจสอบกำหนดการลงพื้นที่หาเสียงในจุดต่างๆของพรรค ซึ่งไม่คิดว่าจะมีความลับอะไร
ส่วนนายพงษ์ศักดิ์ ที่กล่าวถึงนั้น เข้าใจว่าผู้กระทำคงต้องการสื่อถึงนายพงษ์ศักดิ์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ตนใช้โทรศัพท์คุยกันง่ายกว่าไม่จำเป็นต้องเขียนอีเมลส่งหากัน
ทั้งนี้นายวิม ยังย้ำด้วยว่า เรื่องของการขอไวน์ หรือเรื่องเงินสดใดๆนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากตนอยู่ในวงการสื่อเช่นเดียวกัน จึงไม่เคยมีความคิดทำลายศักดิ์ศรีคนทำสื่อด้วยกัน
**"ปู"โบ้ยไม่เกี่ยว"เพื่อแม้ว"
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคจะไม่รับทราบในส่วนนี้ แต่นายวิม ก็ได้ชี้แจงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว เชื่อว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดี เป็นบุคคลภายนอกมาเกี่ยวโยง โดยพรรคยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการใดๆ กับเรื่องนี้
** “เพื่อแม้ว"โต้รวยแล้ว ไม่ต้องซื้อสื่อ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีความจำเป็นต้องซื้อสื่อ เพราะพรรคเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่สื่อต่างให้ความสนใจทำข่าวอยู่แล้ว ซึ่งจากการสอบถามไปยังนายวิม ก็ได้รับการชี้แจงว่า มีกลุ่มบุคคลที่ต้องการทำลายภาพลักษณ์ของพรรค โดยการเข้าไปแฮกข้อมูลส่วนตัว แล้วดำเนินการส่งข้อความไปยังสื่อต่างๆ เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดว่า พรรคเพื่อไทยซื้อสื่อ พร้อมยืนยันอีกว่า ไม่มีเหตุผลใดที่พรรคเพื่อไทย จะส่งอีเมลล์ไปยังสื่อ ASTV ที่เป็นสื่อฝ่ายตรงข้ามด้วย
นายพร้อมพงศ์ ยังระบุอีกว่า พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าติดตามหาผู้กระทำการดังกล่าวมาดำเนินคดี รวมทั้งจะตรวจสอบว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่เผยแพร่ซีดี และแจกใบปลิวโจมตีพรรคเพื่อไทยหรือไม่ พร้อมทั้งยังขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการหวังผลทำลายคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย
** "สาทิตย์"ปัดห้ามสื่อทำข่าว"ยิ่งลักษณ์"
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีที่มีคนของพรรคการเมืองใช้เงินซื้อสื่อเพื่อสร้างข่าวโปรโมตพรรคของตัวเองในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ว่า ตนไม่แน่ใจว่าอีเมล์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อย่างไร แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ การที่ระบุว่า ตนเข้าไปแทรกแซงสื่อ โดยการสั่งห้ามไม่ให้โทรทัศน์ ช่อง 9 ช่อง 11 ช่อง 5 และช่องทีเอ็นเอ็น ไม่ให้ไปทำข่าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแน่ เพราะยังมีทั้งนักข่าว และช่างภาพโทรทัศน์ไปติดตามทำข่าวของพรรคเพื่อไทย เพื่อนำเสนออยู่ตลอด และมีข่าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมามากเหมือนกัน เรื่องนี้เป็นเท็จอยู่แล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
**"สดศรี"ให้สื่อตรวจสอบกันเอง
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวถึงกรณีทีมีข่าวออกมาว่า พรรคการเมืองได้มีการจัดเงิน และสิ่งของให้สื่อมวลชน เพื่อให้ลงข่าวและภาพเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 53 ว่า หากมีการกระทำผิดของสื่อมวลชนก็ถือได้ว่า เข้าข่ายคำว่า "ผู้ใด" กรณีดังกล่าว ได้มีการว่าจ้างกันไปในการลงข้อความใส่ร้ายป้ายสี หรือมีการช่วยเหลือกันหรือไม่ และ ตามระเบียบกกต.ทำไม่ได้ นอกจากนี้ ก็ห้ามในส่วนของสถานีวิทยุ ผู้สมัครจะไปโฆษณาหาเสียงนอกเหนือจากที่ กกต.ได้จัดสรรเวลาให้ไม่ได้ เพราะเป็นสื่อของรัฐ ไม่ให้มีการออกซื้อสปอตโฆษณา แต่การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ไม่ได้ห้าม
อย่างไรก็ตาม ตนจะตอบตอนนี้ไม่ได้ว่า เข้าข่ายผิดหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
ส่วนกรณีที่มีการจัดเลี้ยงให้สื่อมวลชนติดตามไปทำข่าวนั้น ก็ต้องดูว่าเป็นการกระทำให้เกิดเป็นการจูงใจให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงหรือไม่ หากมีการให้เงิน เพื่อติดตามไปทำข่าวตลอดเวลา ถือเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคการเมือง หรือผู้สมัครหรือไม่ และหากเป็นการติดตามไปเพื่อช่วยพรรคการเมืองหาเสียงเป็นทีมงาน ก็ต้องแจ้งมายังกกต. ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้น จะเหมาะสมหรือไม่ สื่อมวลชนควรที่จะต้องไปตรวจสอบกันเอง เพราะสื่อก็มีเรื่องของจริยธรรม และจรรยาบรรณในการควบคุมกันอยู่แล้ว ก็ต้องมาดูและกันเอง ว่ามีบุคคลใดบ้างที่ทำงานนอกกรอบหรือไม่ กกต.จะไม่ไปคอยควบคุม เพราะกกต. มีหน้าที่ดูว่ามีการไปใส่ร้ายป้ายสีกันหรือไม่ เท่านั้นเอง
ตามที่ได้มีการเผยแพร่ข้อความในจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ มีข้อความระบุถึงการให้เงินและผลประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหลายสำนัก เพื่อให้นำเสนอข่าวของพรรคเพื่อไทย โดยมีการระบุชื่อของผู้ประกอบวิชาชีพจากหลายสำนัก ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์
ผู้แทนขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 4 องค์กร ได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้หารือกันเบื้องต้น เห็นว่ากรณีที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันสื่อมวลชนโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง จึงเห็นควรให้สภาวิชาชีพทั้งสององค์กร ได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลด้านจริยธรรมของสื่อมวลชนด้านหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์ พิจารณาดำเนินการตามธรรมนูญ และข้อบังคับของสภาวิชาชีพทั้งสองต่อไป
ทั้งนี้ ในการประชุมประจำเดือนตามปกติที่กำหนดไว้แล้ว โดยสภาวิชาชีพทั้งสอง คือ วันที่ 5 ก.ค.54 เวลา 10.00 น. ทั้งนี้ สมาคมนักข่าวนักนักหนังสือพิมพ์ และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จะให้การสนับสนุนการดำเนินการของสภาวิชาชีพอย่างเต็มที่ เพื่อให้การตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเป็นไปด้วยความโปร่งใส และให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อสภาวิชาชีพทั้ง 2 สภา มีมติให้ดำเนินการประการใด จะมีแถลงให้สาธารณชนทราบต่อไป
**"วิม" อ้างถูกแอบอ้างชื่อติดสินบนสื่อ
นายวิม รุ่งวัฒนะจินดา ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการเสนอค่าตอบแทนให้สื่อมวลชน เพื่อให้เสนอข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 พรรคเพื่อไทย ให้เป็นข่าวเด่นอย่างต่อเนื่องว่า ตนได้เห็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีอีเมลตนส่งออกไปหานายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล คนสนิทของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเนื้อหาในอีเมลมีข้อความที่ระบุถึงข้อเรียกร้อง และการเสนอเงินสด สิ่งของให้สื่อมวลชน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการนำเสนอข่าวน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว แต่เข้าใจว่าคงมีคนเข้าไปใช้อีเมลของตนส่งออกไป ซึ่งอีเมล์ดังกล่าวนั้นตนเปิดไว้เพื่อให้เป็นสาธารณะ สำหรับสื่อมวลชน และผู้สื่อข่าวเข้ามาตรวจสอบกำหนดการลงพื้นที่หาเสียงในจุดต่างๆของพรรค ซึ่งไม่คิดว่าจะมีความลับอะไร
ส่วนนายพงษ์ศักดิ์ ที่กล่าวถึงนั้น เข้าใจว่าผู้กระทำคงต้องการสื่อถึงนายพงษ์ศักดิ์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ตนใช้โทรศัพท์คุยกันง่ายกว่าไม่จำเป็นต้องเขียนอีเมลส่งหากัน
ทั้งนี้นายวิม ยังย้ำด้วยว่า เรื่องของการขอไวน์ หรือเรื่องเงินสดใดๆนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากตนอยู่ในวงการสื่อเช่นเดียวกัน จึงไม่เคยมีความคิดทำลายศักดิ์ศรีคนทำสื่อด้วยกัน
**"ปู"โบ้ยไม่เกี่ยว"เพื่อแม้ว"
ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งพรรคจะไม่รับทราบในส่วนนี้ แต่นายวิม ก็ได้ชี้แจงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว เชื่อว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดี เป็นบุคคลภายนอกมาเกี่ยวโยง โดยพรรคยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการใดๆ กับเรื่องนี้
** “เพื่อแม้ว"โต้รวยแล้ว ไม่ต้องซื้อสื่อ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีความจำเป็นต้องซื้อสื่อ เพราะพรรคเป็นพรรคขนาดใหญ่ที่สื่อต่างให้ความสนใจทำข่าวอยู่แล้ว ซึ่งจากการสอบถามไปยังนายวิม ก็ได้รับการชี้แจงว่า มีกลุ่มบุคคลที่ต้องการทำลายภาพลักษณ์ของพรรค โดยการเข้าไปแฮกข้อมูลส่วนตัว แล้วดำเนินการส่งข้อความไปยังสื่อต่างๆ เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดว่า พรรคเพื่อไทยซื้อสื่อ พร้อมยืนยันอีกว่า ไม่มีเหตุผลใดที่พรรคเพื่อไทย จะส่งอีเมลล์ไปยังสื่อ ASTV ที่เป็นสื่อฝ่ายตรงข้ามด้วย
นายพร้อมพงศ์ ยังระบุอีกว่า พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าติดตามหาผู้กระทำการดังกล่าวมาดำเนินคดี รวมทั้งจะตรวจสอบว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่เผยแพร่ซีดี และแจกใบปลิวโจมตีพรรคเพื่อไทยหรือไม่ พร้อมทั้งยังขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการหวังผลทำลายคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย
** "สาทิตย์"ปัดห้ามสื่อทำข่าว"ยิ่งลักษณ์"
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีที่มีคนของพรรคการเมืองใช้เงินซื้อสื่อเพื่อสร้างข่าวโปรโมตพรรคของตัวเองในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ว่า ตนไม่แน่ใจว่าอีเมล์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อย่างไร แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้คือ การที่ระบุว่า ตนเข้าไปแทรกแซงสื่อ โดยการสั่งห้ามไม่ให้โทรทัศน์ ช่อง 9 ช่อง 11 ช่อง 5 และช่องทีเอ็นเอ็น ไม่ให้ไปทำข่าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแน่ เพราะยังมีทั้งนักข่าว และช่างภาพโทรทัศน์ไปติดตามทำข่าวของพรรคเพื่อไทย เพื่อนำเสนออยู่ตลอด และมีข่าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมามากเหมือนกัน เรื่องนี้เป็นเท็จอยู่แล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์มีความเคารพต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
**"สดศรี"ให้สื่อตรวจสอบกันเอง
นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวถึงกรณีทีมีข่าวออกมาว่า พรรคการเมืองได้มีการจัดเงิน และสิ่งของให้สื่อมวลชน เพื่อให้ลงข่าวและภาพเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 53 ว่า หากมีการกระทำผิดของสื่อมวลชนก็ถือได้ว่า เข้าข่ายคำว่า "ผู้ใด" กรณีดังกล่าว ได้มีการว่าจ้างกันไปในการลงข้อความใส่ร้ายป้ายสี หรือมีการช่วยเหลือกันหรือไม่ และ ตามระเบียบกกต.ทำไม่ได้ นอกจากนี้ ก็ห้ามในส่วนของสถานีวิทยุ ผู้สมัครจะไปโฆษณาหาเสียงนอกเหนือจากที่ กกต.ได้จัดสรรเวลาให้ไม่ได้ เพราะเป็นสื่อของรัฐ ไม่ให้มีการออกซื้อสปอตโฆษณา แต่การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ไม่ได้ห้าม
อย่างไรก็ตาม ตนจะตอบตอนนี้ไม่ได้ว่า เข้าข่ายผิดหรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป
ส่วนกรณีที่มีการจัดเลี้ยงให้สื่อมวลชนติดตามไปทำข่าวนั้น ก็ต้องดูว่าเป็นการกระทำให้เกิดเป็นการจูงใจให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงหรือไม่ หากมีการให้เงิน เพื่อติดตามไปทำข่าวตลอดเวลา ถือเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคการเมือง หรือผู้สมัครหรือไม่ และหากเป็นการติดตามไปเพื่อช่วยพรรคการเมืองหาเสียงเป็นทีมงาน ก็ต้องแจ้งมายังกกต. ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้น จะเหมาะสมหรือไม่ สื่อมวลชนควรที่จะต้องไปตรวจสอบกันเอง เพราะสื่อก็มีเรื่องของจริยธรรม และจรรยาบรรณในการควบคุมกันอยู่แล้ว ก็ต้องมาดูและกันเอง ว่ามีบุคคลใดบ้างที่ทำงานนอกกรอบหรือไม่ กกต.จะไม่ไปคอยควบคุม เพราะกกต. มีหน้าที่ดูว่ามีการไปใส่ร้ายป้ายสีกันหรือไม่ เท่านั้นเอง