ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา นับเป็นการประชุม ครม.ครั้งแรกของรัฐบาลโคลนนิ่ง ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเนื้อหาหลักในวันดังกล่าว ที่ประชุมได้เห็นชอบกรอบร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีเด็กในคาถานายใหญ่-นายหญิง ที่จะต้องแถลงต่อรัฐสภา ในวันที่ 22-24 สิงหาคมนี้
ทั้งนี้ นโยบายแต่ละเรื่องที่จะแถลงต่อรัฐสภา ก็เป็นเรื่องที่บรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยและนายกฯโคลนนิ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยประกาศหาเสียงขายฝันเอาระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการพักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อยและผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาทอย่างน้อย 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้เกิน 5 แสนบาท เพิ่มรายได้รายวันสำหรับแรงงานเป็นวันละ 300 บาท และรายเดือนของผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท แก้ไขปัญหาภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ
แน่นอนว่า คงเป็นเรื่องน่าชื่นใจไม่น้อย หากรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถสานนโยบายให้เป็นความจริงอย่างที่เคยประกาศหาเสียงไว้ ซึ่งจะทำได้สำเร็จอย่างที่ประกาศขายฝันได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ แต่ที่ดูน่าจะเป็นที่ชื่นใจเสียยิ่งกว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องการช่วย นช.ทักษิณ ชินวัตร เพราะปรากฏว่าหนึ่งในเรื่องเร่งด่วนที่ถูกหมกเม็ดไปกับนโยบายขายฝันด้วยแบบเนียนๆ คือ วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ !
เรียกได้ว่าไม่ปิดบังและไม่มีอ้อมค้อมอีกต่อไป สำหรับการเปิดเผยถึงตัวตนที่แท้จริงของ น.ส.ยิงลักษณ์ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่ง ว่าเหตุไฉนถึงต้องละทิ้งชีวิตอันสุขแสนสบาย บนกองเงินกองทอง หน้าที่การงานในสายธุรกิจที่เธอดูจะคุ้นเคยกว่ามารับบทหนักในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่ง เพื่อภารกิจสานฝันของพี่ชาย ให้สำเร็จลุล่วง
จะว่าไปแล้วอย่าได้แปลกใจอันใด เพราะสังคมก็พอจะรู้เช่นเห็นชาติเป้าประสงค์ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่าที่แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร เพราะภารกิจนำพี่ชายหนีคดีกลับบ้าน ก็คือหนึ่งในยุทธศาสตร์ในช่วงการหาเสียงนั่นเอง
และม้าใช้ตระกูลชินที่จะมารับหน้าเสื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะจะเป็นใครได้อีก นอกเสียจากผู้ที่ได้ปูนบำเหน็จได้เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี สดๆ ร้อนๆ อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เพราะเคยย้ำบนเวทีปราศรัยบ่อยครั้งว่า "แนวคิดการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผมเป็นคนเปิดออกมาเอง เพราะถ้าไม่พูดแล้วประชาชนไม่เอา ดังนั้น ต้องเปิดหน้าชนเลย พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลสั่งจำคุกกรณีลงนามให้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ภริยา ไปซื้อที่ดินจากกองทุนฟื้นฟูฯ ย่านรัชดาฯ แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์ คำหนึ่ง สองคำ ก็บอกว่าทักษิณทุจริต ถ้าจะนิรโทษให้ ผมจะนิรโทษให้ในเรื่องนี้ที่สำคัญที่สุด ได้คิดเรื่องนี้มาหลายปี และไม่ปกปิด บอกประชาชนมาตลอด”
อีกทั้งตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์เองเมื่อครั้งที่เดินทางกลับบ้านเกิดจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อปราศรัยใหญ่ครั้งแรก ก็เคยพูดชัดถ้อยชัดคำออดอ้อนเป็นภาษาเหนือว่า "ไม่เคยกลับบ้านครั้งไหนซึ้งใจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย น้องสาวกลับยังขนาดนี้ ถ้าพี่ชาย (ทักษิณ) กลับจะขนาดไหน"
ขณะเดียวกัน แม้สังคมก็รับรู้และทราบล่วงหน้าว่าวันใดวันหนึ่ง ภารกิจนำพี่ชายหนีคดีกลับบ้านจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่หลายฝ่ายก็มองโลกในแง่ดีว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์อาจจะทำหน้าที่บริหารประเทศให้เดินไปข้างหน้าด้วยดี สะสางปัญหาที่รุมเร้าประชาชนในประเทศให้ลุล่วงไปเสียก่อน ทว่า ยังไม่ทันที่จะบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ยังไม่ได้แสดงสติปัญญาให้แก่ประชาชนเห็นว่า ตัวเองและบรรดาพรรคเพื่อไทยจะมาทำประโยชน์อะไรให้แก่ชาติบ้านเมือง ก็ดันมาหางโผล่เอาเสียดื้อๆ เสียแล้ว
มาถึงขณะนี้ก็คงเป็นดังที่ ร.ต.อ.เฉลิม ลั่นวาจาไว้ไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เลือกบรรจุวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นวาระเร่งด่วน สังคมก็ยิ่งได้เห็นกำพืดที่ค่อยๆ ทยอยออกมาจากบรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทย กันอย่างไม่ขาดสาย
ไม่เว้นแม้แต่ท่านประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่าง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่จากนายใหญ่ นช.ทักษิณ ให้มาเป็นผู้คุมเกมในสภาฯ ก็เด้งรับกับภารกิจครั้งสำคัญเพื่อตอบแทนเก้าอี้ตัวเบ้อเริ่มที่นายใหญ่ประเคนให้ โดย ฯพณฯ ประธานขุนค้อนก็ได้กล่าวเสียงใส แถมด้วยการชี้โพรงให้กระรอกแบบเสร็จสรรพอีกต่างหากว่า หาก พรรคเพื่อไทยต้องการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ก็ต้องส่งเรื่องเข้ามาให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ซึ่งมาตรา 291 เป็นการเปิดช่องให้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เท่ากับว่าเสียเวลาแก้ไข 2 รอบ คือ 1.แก้ไขมาตรา 291 ก่อน และ 2.ให้ ส.ส.ร.มาพิจารณายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
"มีทางด่วนพิเศษที่สามารถพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ โดยที่ไม่ต้องแก้มาตรา 291 คือ การให้คงหมวด 1 และ 2 ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ไว้ จากนั้นนำรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เหลือยกเว้นหมวด 1 และ 2 มาสวมแทน เป็นการเลี่ยงข้อกฎหมาย เป็นเทคนิคทางกฎหมายที่แก้ไขทีเดียวจบ ยกเข่ง ซึ่งใช้เวลา 3 เดือนจบแล้ว หรือหากต้องการทำประชามติก็บวกเพิ่มไปอีก 2 เดือน ซึ่งจะทำหรือไม่ทำประชามติก็ได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับ"นายสมศักดิ์เปิดหน้าชกเพื่อผู้เป็นนายอย่างตรงไปตรงมา
ทั้งนี้ แปลไทยเป็นไทย ในความหมายของ "ขุนค้อน" ก็คือ จะไปเสียเวลาตั้ง ส.ส.ร.3 ขึ้นมาทำไมอีก ยกรัฐธรรมนูญปี 40 มาสวมตอทีเดียวให้สิ้นแล้วสิ้นเรื่องเลยจะง่ายกว่าซึ่งน่าจะหมายถึงรวดเร็วทันใจนายใหญ่กว่า มิเสียแรงดั่งวาจาของร.ต.อ.เฉลิม ที่เคยประกาศเรื่องนี้เตรียมการกันมาตั้งนานแล้วนั้นเอง
ขณะเดียวกันหากยังไม่ชัดถ่อยชัดคำก็คงต้องยกคำกล่าวของ นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เจ้าของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2550 หรือฉบับ คปพร. จะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงเป้าประสงค์ของบรรดาลูกสมุนของนายใหญ่ได้เป็นอย่างดี โดย นพ.เหวง กล้าประกาศกร้าวแบบไม่อายฟ้าดินว่า ขั้นตอนการแก้ไขนั้นจะต้องแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อเปิดช่องให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมา จากนั้นจะมีการทำประชามติเพื่อถามประชาชนว่าจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 หรือรัฐธรรมนูญ 2550 เป็นตัวต้นแบบในการแก้ไข จากนั้นเมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญจนได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว ก็จะทำประชามติสอบถามความเห็นจากประชาชนอีกครั้งว่าเห็นชอบหรือไม่ ซึ่งตนคิดว่าการทำประชามติถึง 2 ครั้ง หากทำอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ไม่น่าจะสิ้นเปลืองงบประมาณ แต่ยังถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า เพราะเราต้องการประชาธิปไตย
“ผมมีแนวคิดว่าหลังจากแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว องค์กรอิสระต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มาจากอำมาตย์และคณะรัฐประหารจะต้องพ้นไป ถ้าหากปล่อยให้องค์กรเหล่านี้ดำรงอยู่ต่อไป ประเทศไทยก็จะยังอยู่ใต้อิทธิพลอำมาตย์และคณะรัฐประหารต่อไป” นพ.เหวง กล่าว
เมื่อฟังจากถ้อยคำนี้แล้ว ก็ทำให้เห็นเป้าหมายที่แท้จริงของบรรดาลูกสมุนนายใหญ่ แบบชัดแจ้งทีเดียวว่าต้องการจะรื้อทุกสิ่งทุกอย่างกลับไปก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ซึ่งนั้นหมายถึงการฟอกผิดทุกสิ่งทุกอย่างที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ก่อคดีทุจริตไว้กับบ้านเมืองบานตะไท
และหากทำได้เช่นนั้นจริง คดีทั้งหลายที่บรรดาองค์กรอิสระที่เกิดหลังรัฐประหารปี 2549 ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือคตส. ที่ตั้งขึ้นตาม ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 30 นั้นก็คือมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญปี2550 และหากสามารถรื้อฉบับปี 2550 สำเร็จลงได้นั้นก็จะเป็นการปลดล็อกความผิดยกพวงทั้งสิ้นของ นช.ทักษิณ ชินวัตร แปลไทยเป็นไทยก็คือ คดีความต่างๆที่เกิดหลังรัฐประหารต้องโมฆะไปในชั่วพริบตานั้นเอง
และแน่นอนว่าหากเกิดไปถึงขั้นตอนการทำประชามติจริง เด็กระดับมัธยมฯ ก็คงจะพอเดาออกว่า ใครจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เนื่องเพราะพรรคเพื่อไทยก็คงอาศัยฐานเสียงคนเสื้อแดงคอยหนุนนำอีกเช่นเคย
ขณะเดียวกันก็คงต้องบอกว่าน่าเศร้าใจยิ่งนักกับท่าทีของนายกรัฐมนตรีโคลนนิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ตอบคำถามกับนักข่าว ยามเมื่อถูกจี้แทงใจดำ และเช่นเคยผลก็ออกมารูปแบบเดิมๆ เพราะเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ว่าไม่ได้ทำเพื่อพี่ชาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ขอไปดูในรายละเอียดก่อน รอการชี้แจงในรายละเอียดและนโยบาย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้คิดว่าทำอะไรเพื่อประเทศชาติและประชาชนบ้างหรือไม่ นอกจากที่จะทำให้พี่ชายตนเอง ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้พร้อมทั้งเดินเข้าภายในอาคารรัฐสภาทันที
สรุปคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำได้ดีที่สุดคือ โยนเผือกร้อนว่าสภาฯ ควรเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ก็เป็นนายกโคลนนิ่งผู้นี้ ที่นำวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ บรรจุเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่จะแถลงนโยบายต่อสภาฯเสียด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายก็คือคำถามสุดท้าย ที่ว่าประเทศชาติจะได้อะไรกับการแก้ไขครั้งนี้ คำตอบของเธอก็คือเดินหายเข้ากลีบเมฆโดยไม่ตอบคำถาม
จะไม่บอกว่าน่าเศร้าใจได้อย่างไร เมื่อเรื่องใหญ่ระดับประเทศอย่างวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สังคมก็ได้เห็นความอ่อนด้อย ของนายกฯ หุ่นเชิด อย่างยิ่งลักษณ์ กันเสียหมดเปลือกแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้สำแดงฝีมือบริหารประเทศซึ่งมีปัญหารุมเร้าเต็มไปหมดเลยด้วยซ้ำ หรือจะเป็นบรรดานโยบายขายฝันก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะต้องกลายเป็นนโยบายลวงโลกอีกหรือเปล่า
อย่างไรก็ดี ว่ากันว่า วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นของร้อนที่ทักษิณและพรรคพวก จะต้องอดกลั้นไม่เอามือไปแตะ แม้ว่าในใจนั้นมีความปรารถนาสักเพียงไรก็คือ การนิรโทษกรรมให้ตัวเอง ไม่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี และไม่ต้องขึ้นศาลในคดีอื่นๆ ที่รออยู่อีกหลายคดี รวมทั้งการทวงเงิน 46,000 ล้านบาทคืน แต่มาถึงขณะนี้ก็เริ่มเห็นรูปเห็นร่างกันในเชิงประจักษ์แล้วว่าเกมนี้จะเดินไปในทิศทางใด
และคงต้องบอกว่านับจากนี้ไป"ภารกิจพาพี่ชายหนีคดีกลับบ้าน" ของปูแดง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว