ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์”ดักคอผู้ผลิตห้ามใช้เหตุผลขึ้นค่าแรง น้ำมัน เงินบาท ขอปรับราคาสินค้า หลังผลศึกษาไม่กระทบต้นทุนมากนัก แถมลดส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ยังช่วยลดต้นทุนด้านขนส่งอีก รับห่วงกลุ่มวัตถุดิบนำเข้า จำเป็นต้องให้ขึ้นราคา ก่อนสินค้าขาดหายไปจากตลาด เผยมี 4 สินค้าเข้าคิวรอแล้ว ยันเงินเฟ้อปีนี้ 3.7% มั่นใจ “โต้ง”คุมอยู่
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มีการติดตามปัจจัยที่มีผลต่อโครงสร้างต้นทุนสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพบว่า มี 3 ปัจจัยใหม่ที่จะมีผลต่อราคาสินค้า คือ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน 300 บาทต่อวัน ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า เมื่อเทียบกับต้นทุนด้านอื่นๆ เช่น วัตถุดิบ
การบริหารจัดการ ซึ่งกรมฯ จะไม่พิจารณาการปรับขึ้นราคาสินค้าให้ หากผู้ประกอบการใช้เหตุดังกล่าว
“ตอนนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นค่าแรง หรือแม้จะปรับขึ้น ก็เป็นต้นทุนแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่สำคัญการปรับขึ้นค่าแรงจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคนในประเทศ ซึ่งจะช่วยชดเชยต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้ ส่วนน้ำมันที่เดิมเป็นต้นทุนภาคการขนส่ง แต่เมื่อรัฐบาลจะยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะช่วยให้ต้นทุนค่าขนส่งถูกลง ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน ตอนนี้ไม่ผันผวนมาก ก็ไม่มีผลต่อต้นทุนสินค้านำเข้า”
อย่างไรก็ตาม กรมฯ มีความเป็นห่วงปัจจัยเดียว คือ สินค้าในกลุ่มที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยไม่สามารถควบคุมได้ เช่น เหล็ก แบตเตอรี่ สายไฟฟ้า ยางรถยนต์ หากนโยบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เห็นชอบที่จะให้กลุ่มสินค้าเหล่านี้เป็นไปตามกลไกตลาด กรมฯ จะให้ผู้ประกอบการ 4
สินค้าดังกล่าวส่งโครงสร้างต้นทุนมาให้พิจารณาอีกครั้ง เพราะหากชะลอการปรับขึ้นราคานานเกินไป ขณะที่ต้นทุนปรับขึ้นต่อเนื่อง อาจส่งผลให้สินค้ากลุ่มดังกล่าวหายไปจากตลาดได้
ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ของใช้ส่วนบุคคล สบู่ แชมพู ยาสีฟัน แนวโน้มราคาทรงตัว ไม่มีการปรับขึ้นเนื่องจากมีการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดสูง
ขณะที่การดูแลสินค้าเกษตร เป็นกลุ่มที่นโยบายรัฐบาลต้องการจะผลักดันราคาให้สูงขึ้น เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลมีแนวทางที่จะดูแลผลกระทบราคาปลายทางไว้อยู่แล้ว ทั้งการควบคุมราคาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางในกรณีที่สินค้ามีปัญหาเรื่องผลผลิต แต่หากไม่มีปัญหาเรื่องผลผลิตจะคุมราคาแค่ปลายทางอย่างเดียว โดยภาพรวมแล้วไม่จำเป็นจะต้องทบทวนรายการสินค้าที่ติดตามดูแลทั้ง 205 รายการเพิ่มเติม เนื่องจากมีรายการสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพของประชาชนครบถ้วนแล้ว
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงฯ ยังยืนยันเป้าหมายเงินเฟ้อทั้งปีไว้ที่ 3.2-3.7% แม้ว่ากระทรวงการคลังคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อของประเทศเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า นายกิตติรัตน์ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วย จะสามารถดูแลงานภาพรวมของเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะทำให้การกำหนดนโยบายในการดูแลเงินเฟ้อในเรื่องของดอกเบี้ยทำได้ครอบคลุมมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ราคาเนื้อหมูขณะนี้ มีแนวโน้มราคาลดลง โดยหมูเป็นหน้าฟาร์มราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80 บาท/กก. หมูเนื้อแดงราคาเฉลี่ย 145-150 บาท/กก. ต่ำกว่าราคาควบคุมที่กำหนด เนื่องจากกระทรวงฯมีการใช้กฎหมายควบคุมเข้มงวดกับผู้ขายเกินราคา อีกทั้งมาตรการชะลอการส่งออกหมูชั่วคราว ที่ผู้ส่งออกจะส่งออกได้ต้องได้รับอนุญาตเท่านั้น ทำให้ปริมาณหมูในประเทศมีเพียงพอ กดดันให้ราคาภายในอ่อนตัวลง โดยกระทรวงฯ ได้มีการประเมินสถานการณ์ทุกสัปดาห์ และคาดว่าภายใน 2 เดือนนี้ น่าจะคลี่คลาย
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มีการติดตามปัจจัยที่มีผลต่อโครงสร้างต้นทุนสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดพบว่า มี 3 ปัจจัยใหม่ที่จะมีผลต่อราคาสินค้า คือ การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน 300 บาทต่อวัน ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า เมื่อเทียบกับต้นทุนด้านอื่นๆ เช่น วัตถุดิบ
การบริหารจัดการ ซึ่งกรมฯ จะไม่พิจารณาการปรับขึ้นราคาสินค้าให้ หากผู้ประกอบการใช้เหตุดังกล่าว
“ตอนนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นค่าแรง หรือแม้จะปรับขึ้น ก็เป็นต้นทุนแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ที่สำคัญการปรับขึ้นค่าแรงจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคนในประเทศ ซึ่งจะช่วยชดเชยต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นได้ ส่วนน้ำมันที่เดิมเป็นต้นทุนภาคการขนส่ง แต่เมื่อรัฐบาลจะยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะช่วยให้ต้นทุนค่าขนส่งถูกลง ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน ตอนนี้ไม่ผันผวนมาก ก็ไม่มีผลต่อต้นทุนสินค้านำเข้า”
อย่างไรก็ตาม กรมฯ มีความเป็นห่วงปัจจัยเดียว คือ สินค้าในกลุ่มที่นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยไม่สามารถควบคุมได้ เช่น เหล็ก แบตเตอรี่ สายไฟฟ้า ยางรถยนต์ หากนโยบายของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เห็นชอบที่จะให้กลุ่มสินค้าเหล่านี้เป็นไปตามกลไกตลาด กรมฯ จะให้ผู้ประกอบการ 4
สินค้าดังกล่าวส่งโครงสร้างต้นทุนมาให้พิจารณาอีกครั้ง เพราะหากชะลอการปรับขึ้นราคานานเกินไป ขณะที่ต้นทุนปรับขึ้นต่อเนื่อง อาจส่งผลให้สินค้ากลุ่มดังกล่าวหายไปจากตลาดได้
ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ของใช้ส่วนบุคคล สบู่ แชมพู ยาสีฟัน แนวโน้มราคาทรงตัว ไม่มีการปรับขึ้นเนื่องจากมีการแข่งขันของผู้ประกอบการในตลาดสูง
ขณะที่การดูแลสินค้าเกษตร เป็นกลุ่มที่นโยบายรัฐบาลต้องการจะผลักดันราคาให้สูงขึ้น เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลมีแนวทางที่จะดูแลผลกระทบราคาปลายทางไว้อยู่แล้ว ทั้งการควบคุมราคาตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางในกรณีที่สินค้ามีปัญหาเรื่องผลผลิต แต่หากไม่มีปัญหาเรื่องผลผลิตจะคุมราคาแค่ปลายทางอย่างเดียว โดยภาพรวมแล้วไม่จำเป็นจะต้องทบทวนรายการสินค้าที่ติดตามดูแลทั้ง 205 รายการเพิ่มเติม เนื่องจากมีรายการสินค้าจำเป็นต่อการครองชีพของประชาชนครบถ้วนแล้ว
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงฯ ยังยืนยันเป้าหมายเงินเฟ้อทั้งปีไว้ที่ 3.2-3.7% แม้ว่ากระทรวงการคลังคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อของประเทศเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่า นายกิตติรัตน์ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้วย จะสามารถดูแลงานภาพรวมของเศรษฐกิจได้ ซึ่งจะทำให้การกำหนดนโยบายในการดูแลเงินเฟ้อในเรื่องของดอกเบี้ยทำได้ครอบคลุมมากขึ้น
สำหรับสถานการณ์ราคาเนื้อหมูขณะนี้ มีแนวโน้มราคาลดลง โดยหมูเป็นหน้าฟาร์มราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80 บาท/กก. หมูเนื้อแดงราคาเฉลี่ย 145-150 บาท/กก. ต่ำกว่าราคาควบคุมที่กำหนด เนื่องจากกระทรวงฯมีการใช้กฎหมายควบคุมเข้มงวดกับผู้ขายเกินราคา อีกทั้งมาตรการชะลอการส่งออกหมูชั่วคราว ที่ผู้ส่งออกจะส่งออกได้ต้องได้รับอนุญาตเท่านั้น ทำให้ปริมาณหมูในประเทศมีเพียงพอ กดดันให้ราคาภายในอ่อนตัวลง โดยกระทรวงฯ ได้มีการประเมินสถานการณ์ทุกสัปดาห์ และคาดว่าภายใน 2 เดือนนี้ น่าจะคลี่คลาย
