นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือ กกร. ในวันนี้ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้ตนเอง ในฐานะรองประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุม พร้อมเชิญสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เข้าชี้แจงข้อมูล โดยเฉพาะต้นทุนราคา และปัญหาโรคระบาดในสุกร ซึ่งที่ประชุม กกร.มีมติประกาศราคาควบคุมหมูทั้งระบบ ราคาหมูเป็นภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จำหน่ายไม่เกินกิโลกรัมละ 81 บาท ภาคเหนือ อีสาน จำหน่ายไม่เกินกิโลกรัมละ 85 บาท และภาคใต้ ไม่เกินกิโลกรัมละ 87 บาท ส่วนราคาหมูเนื้อแดง ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จำหน่ายไม่เกินกิโลกรัมละ 152 บาท ภาคเหนือ อีสาน ไม่เกินกิโลกรัมละ 157 บาท และภาคใต้ ไม่เกินกิโลกรัมละ 162 บาท
พร้อมกำหนดเงื่อนไขการส่งออก โดยผู้ส่งออกหมู จะต้องขออนุญาตที่กรมการค้าภายใน ก่อนการส่งออก และปรับปริมาณการขออนุญาตเพื่อเคลื่อนย้าย เป็น 10 ตัว ไม่จำกัดน้ำหนัก ต้องขออนุญาตก่อนเคลื่อนย้าย และผู้ครอบครองหมูเป็น เกิน 500 ตัว หมูชำแหละ เกิน 5 ตัน ต้องแจ้งปริมาณและสถานที่จัดเก็บ ทุก 15 วัน พร้อมปิดป้ายแสดงราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์ม
สำหรับมาตรการดังกล่าว เป็นเพียงมาตรการระยะสั้น หรือจนกว่าปัญหาราคาหมูแพงจะคลี่คลาย รวมทั้งปริมาณหมูที่เสียหายเข้าสู่ภาวะปกติ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป หากพบผู้ใดขายเกินราคาควบคุม กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการทางกฎหมายทันที โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมมอบหมายการค้าภายในจังหวัด เตรียมจัดจุดขายหมูธงฟ้า ราคา 120 บาทต่อกิโลกรัม ทั่วประเทศด้วย
ด้านนายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณหมูที่ออกสู่ตลาดในปัจจุบัน ลดลงร้อยละ 25-30 หรือจากวันละ 4 หมื่นตัว เหลือวันละ 3.2 หมื่นตัว โดยมีราคาต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่ 6,500-7,500 บาทต่อตัว ขนาด 100 กิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65-75 บาท ซึ่งราคาควบคุมหมู กลุ่มผู้เลี้ยงพร้อมให้ความร่วมมือ ขณะที่ต้นทุนนี้ยังไม่รวมแรงงาน หากรัฐบาลประกาศปรับขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 300 บาท พร้อมเสนอรัฐบาลชุดใหม่ว่า ขณะนี้รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนภาคธุรกิจการเลี้ยงสุกร และการขาย ดังนั้นรัฐบาลไทยควรหาแนวทางเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพื่อให้ราคาจำหน่ายแต่ละช่วงไม่สูงจนเกินไป รวมทั้งต้องจัดการโรคระบาดในหมู ซึ่งต้องลงทุนฉีดยา 3 เข็มต่อปี คิดเป็นเงิน 360-400 ล้านบาท ในหมู 12 ล้านตัว เชื่อว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าปัญหาโรคระบาดจะหมดไป และมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภค และส่งออก
พร้อมกำหนดเงื่อนไขการส่งออก โดยผู้ส่งออกหมู จะต้องขออนุญาตที่กรมการค้าภายใน ก่อนการส่งออก และปรับปริมาณการขออนุญาตเพื่อเคลื่อนย้าย เป็น 10 ตัว ไม่จำกัดน้ำหนัก ต้องขออนุญาตก่อนเคลื่อนย้าย และผู้ครอบครองหมูเป็น เกิน 500 ตัว หมูชำแหละ เกิน 5 ตัน ต้องแจ้งปริมาณและสถานที่จัดเก็บ ทุก 15 วัน พร้อมปิดป้ายแสดงราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์ม
สำหรับมาตรการดังกล่าว เป็นเพียงมาตรการระยะสั้น หรือจนกว่าปัญหาราคาหมูแพงจะคลี่คลาย รวมทั้งปริมาณหมูที่เสียหายเข้าสู่ภาวะปกติ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป หากพบผู้ใดขายเกินราคาควบคุม กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการทางกฎหมายทันที โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมมอบหมายการค้าภายในจังหวัด เตรียมจัดจุดขายหมูธงฟ้า ราคา 120 บาทต่อกิโลกรัม ทั่วประเทศด้วย
ด้านนายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณหมูที่ออกสู่ตลาดในปัจจุบัน ลดลงร้อยละ 25-30 หรือจากวันละ 4 หมื่นตัว เหลือวันละ 3.2 หมื่นตัว โดยมีราคาต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่ 6,500-7,500 บาทต่อตัว ขนาด 100 กิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 65-75 บาท ซึ่งราคาควบคุมหมู กลุ่มผู้เลี้ยงพร้อมให้ความร่วมมือ ขณะที่ต้นทุนนี้ยังไม่รวมแรงงาน หากรัฐบาลประกาศปรับขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 300 บาท พร้อมเสนอรัฐบาลชุดใหม่ว่า ขณะนี้รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนภาคธุรกิจการเลี้ยงสุกร และการขาย ดังนั้นรัฐบาลไทยควรหาแนวทางเข้ามาช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพื่อให้ราคาจำหน่ายแต่ละช่วงไม่สูงจนเกินไป รวมทั้งต้องจัดการโรคระบาดในหมู ซึ่งต้องลงทุนฉีดยา 3 เข็มต่อปี คิดเป็นเงิน 360-400 ล้านบาท ในหมู 12 ล้านตัว เชื่อว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าปัญหาโรคระบาดจะหมดไป และมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภค และส่งออก
