ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังยื้อยุดฉุดกระชากและหักเหลี่ยมเฉือนคมกันอย่างหนัก ในที่สุดคณะรัฐมนตรีของรัฐบาล “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ปรากฏโฉมให้สาธารณชนได้รับทราบหลังผ่านการตรวจสอบจาก “นช.ทักษิณ ชินวัตร” และ “คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์”เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อได้พินิจพิเคราะห์รายชื่อของผู้ที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่ง “รัฐมนตรี” ร่วมรัฐบาลปู 1 แล้วก็ต้องบอกว่า สร้างความผิดหวังให้กับทั้งคนรักและคนชังอยู่ไม่น้อย เพราะโฉมหน้าของ ครม.ปู 1 นั้นเข้าขั้นขี้เหร่จนผู้คนโจษขานกันโดยทั่วไปว่า “ยี้ทั้งแผ่นดิน” เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วย ค(คน) ร(รัก) ม.(แม้ว) “ผู้จงรักภักดี” ต่อตระกูลชินวัตรแทบทั้งสิ้นแล้ว ชื่อชั้นของแต่ละคนยังไม่เข้าตากรรมการและถึงขึ้นที่จะเป็นเสนาบดีแทบจะทุกคนก็ว่าได้
แม้กระทั่ง ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยยังวิพากษ์วิจารณ์ถึงรัฐมนตรีอย่างสนุกปากว่า เป็นครม.ที่ผิดฝาผิดตัว เพราะคนที่ทำงานแทบตายกลับไม่ได้เป็นรัฐมนตรี คนที่ไม่ทำงานกลับได้ดิบได้ดี ดังเช่นที่ “นิรันดร์ นาเมืองรักษ์” ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย เปรียบเปรยเสปกคนที่จะเป็นรัฐมนตรีเอาว่าจะต้องมี “ด-ว-ง” คือ ด.-เด็กใคร ว.-วิ่งเต้นกับใคร และ ง.เงินถึงหรือไม่
ขณะที่นายทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช วิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “โฉมหน้า ครม.ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นแค่ครม.เกรมซี ไม่น่าพึงพอใจ เป็นเพียงแค่ตัวสำรอง โดยแต่งตั้งบุคคลที่สามารถรับคำสั่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องมีคุณสมบัติสูงมากนัก ส่วนใหญ่ก็เป็นบุคคลที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความเหนือกว่า และเป็นจุดประสงค์ของพรรคเพื่อไทยเพื่อจะส่งเสริมภาพลักษณ์ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความโดดเด่น”
สรุปก็คือการตั้งครม.เที่ยวนี้ ประชาชนก็ส่ายหัว นักวิชาการก็ยี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ยี้ อย่างนี้ก็คงต้องตั้งฉายาให้ล่วงหน้าว่า “ครม.ยี้ทั้งแผ่นดิน” หรือเปลี่ยนจาก ครม.ปู 1 เป็นครม.ป.1 ก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
**ปึ้งนั่งบัวแก้ว แมวนั่งศึกษา ประชาชนไทยได้อะไร
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เสี่ยแมวเป็น ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย อดีตรมว.วัฒนธรรม สมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และก็เป็นคนที่ทำให้ รองโรมานอฟ-พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ถูกเขี่ยหลุดโผพ้นจากเก้าอี้รมว.ศึกษาธิการไปในนาทีสุดท้าย
สำหรับเสี่ยแมวนั้นมีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวและน้องเขย ทักษิณ ที่มีขุมกำลังหลักคุม สส. ภาคเหนือ ซึ่งตามที่ตกลงกันก่อนเลือกตั้งจะให้นายวรวัจน์เป็น รมว.เกษตร แต่พอยกกระทรวงเกษตรฯ ให้พรรคชาติไทยพัฒนาไป หาที่ลงไม่ได้ก็ให้ “พ่อเลี้ยงวรวัจน์” เป็น “ครูวรวัจน์” ไปแบบหน้าตาเฉย
ทั้งนี้นายวรวัจน์ สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เคยมีแนวคิดที่จะนำความเชื่อ และพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เช่น พญานาค ควายธนู เสน่ห์ยาแฝด น้ำมนต์ และ “ปลัดขิก” มาทำเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมเพื่อขายเป็นของที่ระลึก จนเป็นที่ฮือฮาไปทั้งประเทศ
นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นถิ่นเสื้อแดงที่เข้มแข็งอีกพื้นที่หนึ่ง สุรพงษ์ เป็น ส.ส.ปทุมธานี หลายสมัย มีชื่อเข้าร่วมเป็นแคนดิเดตรัฐมนตรี ครม.ยิ่งลักษณ์ ในโควตาภาคกลาง ที่กลุ่ม ส.ส.ปทุมธานีผนึกกำลังกับกลุ่ม ส.ส.สมุทรปราการ พร้อมกับสัญญาใจ ดูแล ส.ส. ในเครือข่ายทั้งหมดตลอดเวลาที่เป็นรัฐมนตรี
นางบุญรื่น ศรีธเรศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย จบการศึกษาครุศาสตรบัณฑิต (คบ.) จากวิทยาลัยครูมหาสารคาม พ.ศ. 2525 เข้าร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 ตามโควตาภาคอีสาน โดยเจ้าของฉายา “ป้ารื่น” คนนี้ได้รางวัลเป็น รมช.ศึกษาธิการ ด้วยวัยชราอายุมากถึง 68 ปี เป็น ส.ส.กาฬสินธุ์ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย อดีตเคยเป็นเป็นนายกสมาคมสตรีนักธุรกิจกาฬสินธุ์ และช่วยงานการเมืองร่วมกับสามี สส.สังข์ทอง ศรีธเรศ (เสียชีวิตแล้ว) อยู่ 7 สมัย
ทั้งนี้ “บุญรื่น” มีชื่อในโผรัฐมนตรีตั้งแต่ต้นๆ เพราะใกล้ชิดกับ “ทักษิณ” โดยเฉพาะเทคนิคการรายงานสดจากที่เกิดเหตุให้ “นายใหญ่” ได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มก๊วนการเมืองในพรรคเพื่อไทย
สำหรับ 3 รัฐมนตรีกระทรวงศึกษานั้น กล่าวได้ว่าเป็นกระทรวงที่มีเสียงยี้ตามหลังมาเป็นลำดับต้น ๆ
“เห็นรายชื่อรัฐมนตรีศธ.ทั้ง 3 คนแล้ว คนในวงการศึกษาค่อนข้างผิดหวัง ถ้าเต็ม 10 คะแนน ผมให้ 5 คะแนน เพราะไม่โดดเด่นและไม่เคยเห็นผลงานหรือวิสัยทัศน์ด้านการศึกษามาก่อน โดยตัวนายวรวัจน์มีความคิดแปลก นางบุญรื่นมีความเก่าแก่ ขณะที่นายสุรพงษ์เป็นคนพื้นๆ เรียบๆ เห็นได้ชัดเจนว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้คัดเลือกคนจากคุณสมบัติที่เหมาะสม ไม่ได้ดูผลงานหรือความสามารถ แต่มาจากโควตาพรรคเป็นสำคัญ ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะได้คนที่ดีกว่านี้ แต่ก็ทำใจ และคิดว่าคงเป็นชะตากรรมของประเทศ”สมพงษ์ จิตระดับ จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจารณ์
เช่นเดียวกับ “ครูหยุย”-นายวัลลภ ตั้งคณานุรักษ์” ที่บอกว่า “ที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือกระทรวงศึกษาธิการ เพราะนายวรวัจน์ไม่เคยบริหารงานมาก่อน แต่ต้องมาดูแลศธ.ซึ่งเป็นกระทรวงใหญ่มาก ส่วนรัฐมนตรีช่วยทั้ง 2 คนก็เป็นคนใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเช่นกัน ที่ผมเป็นห่วงมากกว่านั้นคือ กลัวว่าจะมีใครเข้ามาจัดแจงแทน ถือว่ากระทรวงนี้เป็นจุดอ่อนที่สุดของรัฐบาลนี้”
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิต เคยได้ตำแหน่งสูงสุดในสภาเป็นถึงประธานวิปฝ่ายค้านในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.จากอยุธยาคนนี้มีประสบการณ์หลากหลายทั้งการเป็นผู้ช่วยเลขานุการ รมว.พาณิชย์ อดีตที่ปรึกษารมว.อุตสาหกรรม รองประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ประธานอนุกรรมาธิการศึกษาเส้นทาง East-West Corridor ในกรรมาธิการต่างประเทศ ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) และโครงการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)
ทั้งนี้ วิทยาไม่ได้สังกัดกลุ่มการเมืองแน่นอน แต่มีคุณลักษณะพิเศษสามารถประสานงานกับนักการเมืองทุกฝ่ายในพรรคเพื่อไทย และเป็นหัวหน้า “คณะทัวร์” พา “ส.ส.เพื่อไทย” ไปพบ “นายใหญ่” ที่พำนักในต่างแดนอยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้ วิทยา ได้รับการตบรางวัลจากพรรคให้ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข หลังจากก่อนหน้านี้โผรายชื่อพลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบ
นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ส.ส.อุดรธานี อดีตประธานกมธ.ต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย บุตรชายนายประจวบ ไชยสาส์น อดีตรมว.ต่างประเทศ ซึ่งเดิมมีชื่อเป็น รมช.ต่างประเทศมาตั้งแต่ต้น แต่สุดท้ายไปลงตัวที่ รมช.สาธารณสุข
ต่อพงษ์เคยเป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาลพรรคไทยรักไทย หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 49 ทักษิณไปพำนักอยู่ในต่างประเทศ ต่อพงษ์ถือเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ไปมาหาสู่กับทักษิณเป็นประจำ ครั้งหนึ่งหลังเหตุการณ์รัฐประหาร “ต่อพงษ์” เคยเป็นแกนสำคัญผลักดันให้ “ทักษิณ” ขึ้นเป็น “นายกสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย” เขย่าวงการการเมืองและกอล์ฟในยุคนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า “ต่อพงษ์” จะอกหักจากเก้าอี้ รมช.ต่างประเทศ แต่ก็ได้รางวัลปลอบใจคือเก้าอี้ รมช.สาธารณสุข โดยทักษิณรับปากว่าจะให้แน่ เหตุเพราะสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่าง “ประจวบ ไชยสาส์น” ผู้เป็นบิดากับ “ทักษิณ” แต่ในเมื่อนายห้างตราดูไบไม่สามารถให้เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศได้ จึงให้นั่งเก้าอี้ตัวนี้มานั่งแทน
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ผู้ที่เคยรับราชการในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผ่านมาทั้งตำแหน่งอธิบดีกรมประมง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ต่อมาได้รับตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลาออกจากราชการก่อนเกษียณ เมื่อปี 2548 และได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
จากนั้นได้ลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรคพลังประชาชน ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ต่อมาได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
งานนี้ แม้ปลอดประสพจะได้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรก แต่หลุดโผไปไกล เพราะก่อนหน้านี้เป็นตัวเต็งในเก้าอี้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงขั้นเชื้อเชิญข้าราชการกระทรวงทรัพย์ฯ ระดับ “บิ๊กๆ” ไปหารือตระเตรียมงาน แต่ติดปม “เสือโคร่ง” ส่งออก ที่ยังเป็นคดีความอยู่ ชื่อจึงหลุดมาอยู่ที่ “รมว.วิทย์” อย่างที่เห็น
นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
เคยเป็นอดีต รมช.คมนาคม สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ผ่านงานมาทั้งรองประธานกรรมาธิการคมนาคม ประธานกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร เป็น ส.ส.นครปฐมหลายสมัย และอยู่ในระดับแกนนำพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางและเข้ามารับตำแหน่งในโควตาของภาคกลาง
ทั้งนี้ ตระกูลสะสมทรัพย์เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลและบารมีตระกูลหนึ่งของจังหวัดนครปฐม โดยในช่วงปลายปี พ.ศ.2553 นายเผดิมชัยถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายจากปัญหาหนี้สินทางธุรกิจ แต่ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจนลงสมัคร ส.ส.ได้อย่างหวุดหวิด แต่วันนี้จะโชคดีต่อไปหรือไม่ ยังไม่รู้ เพราะตำแหน่ง รมว.กระทรวงแรงงาน กำลังตกเป็นเป้า พิสูจน์คำพูดของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ว่าจะทำได้จริงตามที่หาเสียงกับผู้ใช้แรงงานได้หรือไม่ อย่างเรื่องเร่งด่วนที่ผู้ใช้แรงงานเฝ้ารอ กับนโยบายปรับขึ้นราคาค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท จะทำได้จริงหรือไม่ ต้องถาม รมว.แรงงาน หมาดๆ คนนี้
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายสันติเป็นส.ส.เพชรบูรณ์หลายสมัย ถือเป็นนายทุนพรรคตัวจริง เคยประกอบธุรกิจ เป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท นวพัฒนาธานี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจประเภทพัฒนาที่ดิน อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร และชิ้นส่วนรถยนต์
เกี่ยวกับ “กระทรวงคมนาคม” ในครั้งนี้ ได้เกิดปัญหาแย่งเก้าอี้กันระหว่าง “สันติ พร้อมพัฒน์” กับอดีตลูกพี่เก่า “เสี่ยเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล ที่มีการยื้อแย่งกันไปมา แต่สุดท้ายทั้งคู่ผิดหวัง “สันติ” จึงได้เก้าอี้ รมว.พัฒนาสังคมฯ ไปแทน
โดยว่ากันว่า เหตุที่พลาดตำแหน่งเพราะนช.ทักษิณไม่พอใจที่สันติทำผลงานต่ำกว่ามาตรฐานช่วงเลือกตั้งในพื้นที่ ซึ่งพรรคมอบหมายคือ พิจิตร-พิษณุโลก-เพชรบูรณ์ ขนาดถิ่นตัวเองที่เพชรบูรณ์ยังชนะยกจังหวัด 6 ที่นั่งไม่ได้ และอะไรที่ทักษิณสั่งไว้ช่วงหาเสียงก็ไม่ทำตาม แถมมีข่าวไม่ดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายเลือกตั้งให้ลูกทีม ทำให้การต่อรองของสันติ ทักษิณไม่ค่อยให้ราคา แต่ด้วยความที่เป็นคนเคย “รับใช้” เป็นนายทุนให้พรรคในช่วงที่ผ่านมา ทักษิณก็เลยโยน ก.พัฒนาสังคมฯ ให้ “งับ” แทน
นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย อดีต รมช.มหาดไทย ในสมัยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้าสู่วงการการเมืองเป็นส.ส.เลย พรรคสหประชาธิปไตย ต่อมาย้ายมาอยู่พรรคกิจสังคม ปี 2535 นั่งรองหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ปี 2544 ได้ยุบรวมพรรคเข้ากับพรรคไทยรักไทย
เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผู้ช่วยรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรีหลายกระทรวง ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายรักเกียรติ สุขธนะ) เคยถูกกล่าวหากรณีพัวพันการทุจริตยามูลค่า 1,400 ล้านบาท แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนเอาผิดได้ ต่อมารัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็น รมช.มหาดไทย และครั้งนี้มีชื่อเป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโควตาของ "เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" และยงยุทธ ติยะไพรัช
ทั้งนี้ การเข้ามาคุมกระทรวงทรัพยากรฯ ของนายปรีชา ถือเป็นการพลิกโผ เพราะเดิมมีข่าวว่า นายปลอดประสพ สุรัสวดี จะมาเป็น นอกจากนี้การเข้ามาของนายปรีชา ยังทำให้กลุ่มนักวิชาการ “งง” กันเป็นแถว เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน มีผลงานอะไรโดดเด่น หรือเกี่ยวข้องกับงานสิ่งแวดล้อมตรงไหน
แต่นักวิชาการอาจไม่รู้ว่า นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย หลายสมัย ได้เก้าอี้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งนี้ เพราะเป็นการตอบแทนที่เขาสามารถล้มพรรคภูมิใจไทยในจังหวัดเลยได้เป็นผลสำเร็จ และได้ ส.ส.เลยมาแบบยกจังหวัด
นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังชล ภรรยา "สนธยา คุณปลื้ม" อดีต รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในรัฐบาลพรรคไทยรักไทย โดยหลังจากนายสนธยาถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี จากการเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย “สุกุมล” จึงเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ของพรรคพลังชล ลงสมัคร ส.ส. เขต 6 ชลบุรี และพรรคพลังชลก็กวาด ส.ส. ยกจังหวัด
เมื่อพลังชลร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ “สุกุมล” คนข้างกาย “สนธยา” จึงคว้าเก้าอี้ รมว.วัฒนธรรม มาครองได้สำเร็จ ถือเป็นเก้าอี้รัฐมนตรีสมัยแรก ในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
แม้ว่า “สนธยา คุณปลื้ม” แกนนำพรรคพลังชล จะหมายมั่นปั้นมือที่จะให้ “สุกุมล” สส.ชลบุรี ผู้เป็นภรรยา นั่งเก้าอี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพราะเคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่ก็ไม่สามารถพาภรรยาให้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ได้ เพราะเป็นเก้าอี้ตัวเดียวกับที่ บรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา จองไว้ตั้งแต่ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไม่เป็นทางการ จึงทำให้ “สุกุมล” ได้นั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมแทน
นายสุรพงษ์ โตวิจักณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ดร.ปึ้ง เป็น ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยที่เข้าป้ายนี้ด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในบรรดาคณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะเดิมทีเก้าอี้ตัวนี้มีแคนดิเดตอยู่หลายคนทั้งนายวิกรม คุ้มไพโรจน์หรือแม้กระทั่งนายปลอดประสพ สุรัสวดี แต่ท้ายที่สุด เหตุผล ดร.ปึ้งหยิบชิ้นปลามันไปครองในนาทีสุดท้าย ไม่ใช่มีคุณสมบัติพิเศษอื่นใด หากแต่เป็นเพราะอดีตนักการทูตหลายคนที่แกนนำพรรคเคยทาบทามไว้ปฏิเสธ หวยจึงตกไปที่นายสุรพงษ์แทน
แน่นอนว่าถ้าเอ่ยถึง องครักษ์พิทักษ์นายใหญ่ คงไม่มีใครสามารถกาชื่อของเขาผู้นี้ไปได้อย่างแน่นอนด้วยผลงานในสภาอันมีภารกิจหลักคือลุกมาปกป้องทักษิณ ไม่ว่าใครจะมาโจมตีในเรื่องอันใดก็ตาม และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่วมลงนามทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้ทักษิณ
ดังนี้ ดร.ปึ้งจึงถือเป็นสายตรง ที่ทักษิณ ไว้ใจมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ตรงสเปกของนายใหญ่แบบไม่มีผิดเพี้ยน และหากจะกล่าวว่า ทักษิณ ต้องใช้กระทรวงการต่างประเทศช่วยเหลือจากที่ยังติดคดีอาญาทุจริตเดินทางเข้าประเทศไทยไม่ได้ และหลายประเทศก็ขึ้นแบล็กลิสต์ ทักษิณ ไหนจะเรื่องต่างประเทศที่ต้องเป็นตัวแทนไปเจรจากับทางนายกฯฮุนเซน ของกัมพูชา
กล่าวได้ว่าถ้าจะหาคนที่ทำตามออเดอร์ของนายใหญ่และนายหญิงได้ตรงสเปกมากที่สุดก็คงจะไม่พ้น"เสี่ยปึ้ง"อย่างแน่นอน
**ส่งเด็กในบ้านนั่งทีมศก. คุณสมบัติสอบตกยกแผง
ในส่วนของรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของ ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 นั้น ดูจะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วนว่าค่อนข้างผิดหวัง เพราะยังไม่เห็นรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถตรงกับตำแหน่งที่ได้รับ ทำให้ไม่แน่ใจว่าจะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยให้รอดพ้นมรสุมที่กำลังรุมเร้าจากรอบด้านได้หรือไม่ โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง และแรงกดดันจากความผันผวนของเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังส่งผลกระทบไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้
“ทนง พิทยะ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มหามิตรคนหนึ่งของ นช.ทักษิณ ถึงกับเปิดปากวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า ไม่เข้าใจว่า ทำไมหน้าตาของรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นเช่นนี้ และไม่เข้าใจว่า การจัดในลักษณะนี้จะสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้อย่างไร เนื่องจากคนที่ทำนโยบายเศรษฐกิจของพรรคไม่ได้มีรายชื่อเป็นรัฐมนตรีแม้แต่คนเดียว ขณะเดียวกันก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่า รายชื่อรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่ออกมาในรูปลักษณ์นี้จะทำให้ประเทศชาติจะดีขึ้นหรือเลวลงอย่างไร
และนั่นก็ต้องบอกว่า เป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกเผงชนิดไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 'เดอะโต้ง' เป็นอดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งถือเป็นเอ็มดีตลาดหุ้นยุคตึกเวิลด์เทรด ไนน์ วัน วัน และเป็นอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากภาคธุรกิจว่าอาจไม่เหมาะที่จะนั่งเก้าอี้ รมว.พาณิชย์เท่าใดนักเพราะประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมากว่าครึ่งชีวิตนั้นเน้นหนักไปในด้านตลาดเงินตลาดทุนเป็นส่วนใหญ่ แต่หนุ่มใหญ่คนนี้ก็มีดีกรีโท สาขาบริหารธุรกิจ จากสถาบันบันฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผลงานหลักที่ทำให้เขาได้นั่งเก้าอี้ รมว.พาณิชย์ก็เพราะเคยออกมาปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรณีปัญหาการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก พร้อมกับให้การแก้ต่างแทน นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ว่า ติ๊กผิดกรณีรายงานการซื้อขายหุ้นต่อตลาดอันเป็นนิติกรรมอำพราง ล่าสุด จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ปูนบำเหน็จให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร
นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
ส.ส.เมืองหมอแคนหลายสมัย วัย 56 ปี คนนี้ผันตัวจากอาชีพทนายความมาเป็นนักการเมืองในสังกัดพรรคพลังธรรมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ปัจจุบันอยู่ก๊วนเดียวกับ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภา ครั้งนี้ได้ความดีความชอบขึ้นนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเพราะสามารถนำพา ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดขอนแก่น พรรคเพื่อไทย เข้าสู่สภาได้ยกจังหวัด
ที่ผ่านมา นายภูมิจัดว่าเป็น ส.ส.ที่จงรักภักดีกับระบอบทักษิณมาตลอด เพราะตั้งแต่ย้ายตามนายอดิศร เพียงเกษ จากพรรคพลังธรรมมาอยู่พรรคไทยรักไทย กระทั่งเปลี่ยนเป็นพลังประชาชน จนปัจจุบันกลายร่างเป็นเพื่อไทย เสี่ยภูมิก็ไม่เคยย้ายไปไหน แม้จะเพิ่งได้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรก แต่ที่ผ่านมาก็เคยป็นรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลทักษิณ
นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
ศิริวัฒน์หรือ 'ลูกยอด' ถือว่าเป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดใน ครม.ชุดนี้ เขาได้รับการผลักดันจากคุณพ่อ "เสธ.หนั่น" สนั่น ขจรประศาสน์ ในฐานะแกนนำพรรคชาติพัฒนา ให้เป็นรัฐมนตรีในวัยเพียง 38 ปี
แม้ภาพลักษณ์จะดูเป็นลูกแหง่ เพราะชอบเริงราตรีและไม่ค่อยมีการงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งการก้าวเข้าสู่สนามการเมืองเมื่อ 10 ปีที่แล้วก็เกิดจากแรงผลักดันของคุณพ่อเช่นกัน แต่เขาก็เป็นประธานกรรมการ บริษัทซิลเวอร์คอยน์ จำกัด บริษัทนำเข้าเกมออนไลน์ เป็นกรรมการบริหารของบริษัท V1 ซึ่งบริหารสนามกอล์ฟบูรพา จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว และเป็นหุ้นส่วนในบริษัททำสื่อสิ่งพิมพ์ “ Bangkok Station” ที่แจกให้กับผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน วัย 53 ปีคนนี้ ได้เป็นรัฐมนตรีติดต่อกันถึง 3 ครั้ง ก็ด้วยบารมีของ 'สุวัจน์ ลิปตพัลลภ' ซึ่งเป็นคู่เขยที่ออกแรงช่วยผลักดัน
ที่ผ่านมาแม้จะไม่ได้ศึกษาหรือมีประสบการณ์การทำงานในธุรกิจน้ำมัน แต่ก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมาแล้วถึง 2 สมัย คือในสมัยรัฐบาลสมชาย วงสวัสดิ์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เช่นเดียวกับรัฐบาลปู 1 ที่มีชื่อหมอวรรณรัตน์ตีตราจองเอาไว้ตั้งแต่ต้น ทว่า เมื่อนายใหญ่ต้องการกระทรวงนี้เอาไว้ในมือ ชื่อของหมอวรรณรัตน์จึงถูกเตะให้ไปเป็นเสนาบดีกระทรวงอุตสาหกรรมแทน
นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ด้วยมีดีกรีเป็นอดีตอธิบดีกรมชลประธาน จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯเป็นสมัยที่ 2 หลังจากที่เคยนั่งในตำแหน่งนี้ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ เมื่อปลายปีปี 2551 ซึ่งการทำงานของเขาในครั้งนั้นก็ทำให้ได้รับฉายาจากพรรคพลังประชาชนก่อนที่จะกลายร่างมาเป็นเพื่อไทย ซึ่งมีเป็นฝ่ายค้านในช่วงนั้น ว่า "รัฐมนตรีเป่าสากเรียกพี่" แต่ครั้งนี้เมื่อได้ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยในฐานะตัวแทนพรรคชาติไทยพัฒนา จึงได้รับสถาปนาให้เป็น รมว.เกษตรฯอีกครั้ง
นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พรศักดิ์วัย 59 ปี มีฉายาจากเพื่อนๆว่า 'เสี่ยลาว' ว่ากันว่าเป็นเด็กในคาถาของ "เฉลิม อยู่บำรุง" แต่กลับได้มาเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกด้วยโควตา ส.ส.สายอีสาน พรรคเพื่อไทย เป็น ส.ส.มาแล้วหลายสมัย เติบโตทางการเมืองที่ศรีสะเกษในนามพรรคชาติพัฒนาสมัย 'น้าชาติ' พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หลังจากหมดยุคของ 'ปิยะณัฐ วัชราภรณ์' เสี่ยลาวก็ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชาชน จนกระทั่งถูกยุบพรรคและเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเพื่อไทย
พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ถือว่าเป็นอีกตำแหน่งที่พลิกโผในช่วง 2 วันสุดท้าย แต่ก็อย่าแปลกใจเพราะ "บิ๊กโอ๋" จากทัพฟ้านั้นเป็นเพื่อร่วมรุ่น ตท.10 ของ o=.ทักษิณ ซึ่งรักกันถึงขั้นที่จะดันให้นั่งเก้าอี้ ผบ.ทอ. แต่โชคร้ายที่นายกฯทักษิณในขณะนั้นถูกปฏิวัติยึดอำนาจเสียก่อน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สายตรงอย่าง 'บิ๊กโอ๋'จะได้รับการผลักดันจากเพื่อนรักให้นั่งเก้าอี้ รมว.คมนาคม ในครั้งนี้ โดยมีการบ้านสำคัญคือให้เข้ามาเช็คบิลกลุ่มทุนที่เข้ามาทำมาหากินยุค เนวิน ชิดชอบ โดยเฉพาะผลประโยชน์จากสนามบินสุวรรณภูมิ งานนี้คนที่หนาวมากสุดคงหนีไม่พ้น คิงเพาเวอร์ และซิโนไทย
ทั้งนี้ ต้องบอกว่าบิ๊กโอ๋เป็นรัฐมนตรีที่มีชื่อเบียดเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้าย โดยเบียดรุ่นใหญ่ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดอย่าง พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี และสันติ พร้อมพัฒน์ ตกขอบไปอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ทำเอาขาใหญ่ในพรรคมึนตึบไปตามๆกัน โดยเฉพาะ 'เฮียเพ้ง' พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ที่เสนอชื่อนายสันติเข้าชิงตำแหน่งนั้นถึงขั้นพูดไม่ได้ไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว แต่ถึงจะไม่พอใจในโผที่ออกมาแต่ก็ไม่ใครกล้าหือหรือแสดงปฏิกิริยาใดๆ กับรัฐมนตรีสายตรงคนนี้
พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางวัย 68 ปีคนนี้ เป็นปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 11 และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ได้ใจ นช.ทักษิณไปเต็มๆ เพราะร่วมต่อสู้กับพรรคมาตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นพรรคพลังประชาชน จนถูกขึ้นแบล็กลิสต์และถูกอายัดทรัพย์จาก ศอฉ.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน) เพราะมองว่าเขาเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของคนเสื้อแดง อีกทั้งมีลูกสาวที่ให้การช่วยเหลือคนเสื้อแดงมาตลอดด้วย
ช่วงแรกนั้นเขาคั่วตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม แต่สุดท้ายมาลงที่ตำแหน่งเบอร์สองของกระทรวงคมนาคม ซึ่งการมานั่งกระทรวงหูกวางของอดีตนายตำรวจใหญ่ในครั้งนี้เขามีภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมายจาก นช.ทักษิณ ให้มาลุยอิทธิพลของเนวินกรุ๊ปที่แพร่ขยายอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งไล่จับกุมมาเฟียแอร์พอร์ตซึ่งคุมที่จอดรถของสุวรรณภูมิ รวมถึงรถตู้ผี แท็กซี่เถื่อน และจัดการกับโจรแอร์พอร์ตร้างที่แอร์พอร์ตลิ้งค์ด้วย
นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ถือว่าเป็นรัฐมนตรีที่โนเนมอีกคนหนึ่ง โดยได้โควตาในส่วนของ ส.ส.สายอีสานของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเหตุที่กิตติศักดิ์สามารถฝ่าฟันเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้ก็ด้วยการสนับสนุนจาก "ตุ๋ย จีเน็ท" หรือนางวิยดี สุติวงศ์ หนึ่งในกระเป๋าเงินของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกอายัดทรัพย์เพราะมีชื่ออยู่ในแบล็คลิสต์ของ ศอฉ.ว่าเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงเสื้อแดง อีกทั้งเธอยังสนิทสนมกับ 'รองโรมานอฟ' พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ดังนั้นจึงไม่ต้องบรรยายถึงสรรพคุณของ ส.ส.สายนี้
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง
หนุ่มใหญ่หน้าใสวัย 50 ปีคนนี้ เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการ ก.ล.ต.(คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2554 ที่ผ่านมา เพื่อมารับตำแหน่ง รมว.คลังโดยเฉพาะ มีเสียงเล่าลือว่าเหตุที่ได้ดิบได้ดีนั่งเก้าอี้ รมว.คลังในครั้งนี้ก็เพราะช่วยอุ้มนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้รอดพ้นจากคดีซุกหุ้นภาค 2 ของทักษิณ ซึ่งยิ่งลักษณ์ให้การเท็จเพื่อช่วยเหลือพี่ชาย รวมทั้งความไม่ชอบมาพากลของโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซี แอสเสทฯที่ยิ่งลักษณ์ เป็นซีอีโออยู่ ซึ่งที่ผ่านมาธีระชัย ได้ออกมาปกป้องยิ่งลักษณ์แบบออกหน้าจนทำให้หลายครั้งอดีตเลขา ก.ล.ต. คนนี้แถไถตอบไม่ตรงคำถาม ชนิดที่เรียกได้ว่าถามช้างตอบม้า ถามหาตอบแมว
ธีระชัยจัดว่าเป็นลูกหม้อแบงก์ชาติขนานแท้ และเคยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งถึงรองผู้ว่าฯ เบอร์ 1 พร้อมทั้งวาดหวังจะได้นั่งตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะถูกสกัดจากพลพรรค "แมลงสาบ" หลังจาก 'อกหัก' จึงย้ายไปกินตำแหน่ง ก.ล.ต. ด้วยความที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเงินจึงเป็นคนรู้มือรู้ไม้กับ กรณ์ จาติกวณิช แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอย่างดี เป็นเหตุให้มีวิวาทะกันบ่อยทั้งที่ผ่านสื่อและไม่ผ่านสื่อ ซึ่งกรณีที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นการออกมาอุ้มยิ่งลักษณ์ จากคดีซุกหุ้น
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง
ว่ากันว่า "อ้ายบุญทรง" ส.ส.เชียงใหม่ เขต 7 จากพรรคพลังประชาชนคนนี้จ่อเก้าอี้รัฐมนตรีใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 มาตั้งแต่แรก เนื่องเพราะเป็นเด็กสายตรงของ 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งคุมพื้นที่ภาคเหนือ เขาเป็น ส.ส.เชียงใหม่ 3 สมัยซ้อน และเคยเป็นเลขานุการ รมว.ไอซีที ในสมัยรัฐบาลทักษิณ 2
บุญทรงจัดเป็นพ่อเลี้ยงเมืองเหนือที่มีฐานะ มีธุรกิจในมือมากมาย เป็นทั้งกรรมการผู้จัดการ บริษัทเบนซ์ช้างเผือก ดีลเลอร์เบนซ์รายใหญ่ในภาคเหนือ และยังเป็นเจ้าของโรงเลื่อยจักไพรพนา จึงไม่แปลกที่เขาจะมีฐานะเป็นทุนใหญ่สายหนือของพรรคเพื่อไทย ซึ่งในสมัยที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี "ป๋าบุญทรง" ก็คอยจัดห้องหับให้การต้อนรับสามีคุณนายแดง
นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง
นายวิรุฬที่คนในพรรคเพื่อไทยเรียกว่าเจ้าสัว ขณะที่คนในครอบครัวเรียกว่า "ป๋ารุฬ" ถือว่าเป็นหนึ่งในถุงเงินของพรรค จึงมีชื่ออยู่ในโควตาคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1ด้วย จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 18 และมีตำแหน่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหากไล่เรียงรายชื่อและสายสัมพันธ์จะพบว่าเขาอยู่ก๊วนเดียวกับนัการเมืองรุ่นเก๋าที่คุมพื้นพี่ภาคเหนือตอนล่างอย่าง วราเทพ รัตนากร และเรืองวิทย์ ลิกค์ เดิมนั้นป๋ารุฬคาดหมายว่าจะได้ขึ้นชั้นเป็น รมว.พาณิชย์ แต่สุดท้ายก็ต้องอกหัก ได้แค่ รมช.คลัง เท่านั้น
ทั้งนี้ นายวิรุฬเป็นเจ้าของสนามกอล์ฟโลตัส วัลเลย์ ฉะเชิงเทรา ที่มีก๊วนประจำอย่าง สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ วราเทพ รัตนากร และประวัฒน์ อุตตะโมต แต่แม้จะผ่านงานบริหารมามากมายแต่การจะเป็น รมช.คลัง ที่นั่งกำกับดูแลการเงินการคลังในช่วงที่เศรษฐกิจโลกผันผวนเช่นนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
นายพิชัยคว้าเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงาน ชนิดหักปากกาเซียน เพราะสามารถคว้าชิ้นปลามันแทนตัวเต็งอย่างนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ถูกวางตัวไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เพราะได้แรงหนุนจาก 'นายหญิง' คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ที่นอกจากจะเล็งเห็นถึงประสบการณ์ในการทำงานในฐานะคณะทำงานทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมองว่าเขาเป็นนักการเมืองประเภท 'ใจถึงพึ่งได้' เป็นนายทุนกระเป๋าหนักซึ่งบริจาคเงินให้พรรคอย่างต่อเนื่อง โดยเขาบริจาคเงินเข้าพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2553 ถึง 2 ล้านบาท และก่อนหน้านั้นในปี 2552 ก็บริจาคมาแล้วถึง 7 ล้านบาท
แม้ชื่อเสียงจะไม่เป็นที่รู้จัก แต่นี่ไม่ใช่การรับตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกของนายพิชัย เพราะเขาเคยได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แทนร้อยตรีหญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี แกนนำกลุ่มโคราชมาแล้ว อีกทั้งยังเคยถูกเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย ไปร่วมดีเบตกับหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นๆ ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง เมื่อปลายเดือน มิ.ย.2554 ที่ผ่านมาด้วย
ก่อนที่จะลงเล่นการเมือง นายพิชัยเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อัญมณีเหมืองแร่พลอย และการส่งออก เจ้าของบริษัท เจมส์ควอลิตี้ จิวเวอร์รี่ จำกัด ต่อมาได้เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และเป็นผู้สนับสนุนการเงินให้กับ 'กลุ่มขอนแก่น' พรรคเพื่อแผ่นดิน ของนายสุวิทย์ คุณกิตติ มาตลอด ถึงขนาดส่งนายพชร นริพทะพันธุ์ บุตรชาย ไปเป็นรองโฆษกพรรค และเลขานุการส่วนตัวติดตามนายสุวิทย์ ต่อมาจึงได้หันมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยแทน
ทันทีที่ได้รับการโปรดเกล้าให้รับตำแหน่ง รมว.พลังงาน เขาก็ประกาศว่าจะงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเป็นการชั่วคราว ตามนโยบายที่ยิ่งลักษณ์เคยหาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง ทั้งนี้เพื่อให้ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินถูกลง ที่สำคัญยังเร่งสานฝันของ 'นายใหญ่' โดยประกาศว่าจะร่วมมือกับประเทศกัมพูชาเพื่อจัดหาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่คาบเกี่ยวทางไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นโครงการที่ 'ทักษิณ ชินวัตร' ได้วางแผนและปูทางไว้ตั้งตั้งแต่ครั้งที่เป็นนายรัฐมนตรี ด้วยหมายตาว่าจะเป็นธุรกิจที่ทำเงินมหาศาลให้แก่เครือข่ายระบอบทักษิณ
'น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ' รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)
กระทรวงไอซีทีถือเป็นกระทรวงที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือนระหว่าง 2 กุล่มขั้วอำนาจคือ กลุ่มวังบัวบานภายใต้การนำของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว นช.ทักษิณที่ผลักดันนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่เข้าประกวด กับกลุ่ม กทม.ของเจ๊หน่อย-นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ที่ส่งนอ.อนุดิษฐ์เข้าแข่งขัน
ทั้งนี้ตำแหน่งนี้บดบี้กันแทบจะนาทีสุดท้าย แต่ในที่สุดกลุ่มของเจ๊หน่อยก็ประสบชัยชนะเมื่อสามารถผลักดัน น.อ.อนุดิษฐ์ขึ้นแท่นรัฐมนตรีได้สำเร็จ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก เพราะนอกจากจะมีคุณหญิงสุดารัตน์ให้การสนับสนุนแล้ว นอ.อนุดิษฐ์ยังมีแม่ยกคนสำคัญคือคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ผ่านทางนายพานทองแท้ ชินวัตร ผู้เป็นบุตรชาย
อย่างไรก็ดีการรับหน้าที่ รมว.ไอซีทีของอนุดิษฐ์นั้นดูจะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะทันทีที่ได้รับโปรดเกล้าเขาก็ประกาศว่าจะเดินหน้าแจกแท็บเล็ตให้เด็ก ป.1 ตามนโยบายที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง !!
**ฝ่ายมั่นคงไม่พลิกโผ "โกวิท" ผงาดคุมตำรวจ "ยุทธศักดิ์" นั่งกลาโหม
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ถ้าจะเอ่ยถึงชื่อใครซักคนในคณะรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ดูเหมือนจะนอนมาในโผตั้งแต่โค้งแรกจนมาถึงโค้งสุดท้าย ไม่ว่าจะเกิดฝุ่นตลบในการแย่งชิงเก้าอี้เสนาบดี กันอย่างหนักหน่วงเพียงใดก็ตาม ก็จะปรากฏชื่อของนายยงยุทธ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังคงนอนมาในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จนสุดท้ายแล้วก็ควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เบอร์ 1 รักษาการแทนหาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปต่างประเทศ กล่าวได้ว่าได้รับการปูนบำเหน็จมากที่สุดใน ครม.ยิ่งลักษณ์ 1 เลยก็ว่าได้ด้วยไว้เนื้อเชื่อใจที่ทักษิณ ชินวัตร มีให้
ตามประวัติเส้นทางสู่ตำแหน่ง สร.2 เติบโตในแวดวงข้าราชการก่อนมาเล่นการเมือง เคยนั่งปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมที่ดิน อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย จากนั้นเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยมียี่ห้อเป็นสายตรงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ผ่านมาถูกค่อนแคะจากทุกฝ่ายว่าเป็นหุ่นเชิดหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด เพราะไม่มีอำนาจสั่งการทั้งสิ้น ผลงานชิ้นโบว์แดงคือเป็นคนจับฉลากหมายเลขเบอร์1 ในการลงศึกเลือกตั้ง สำหรับงานแรกของยงยุทธ เชื่อขนมกินได้ว่าจะต้องรื้อแผงข้าราชการในกระทรวงคลองหลอด ที่เคยเป็นของนายเนวิน ชิดชอบเสี้ยนหนามของนายใหญ่ อย่างไม่ต้องสงสัย
นายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
แน่นอนแค่ชื่อก็คงทราบได้ว่ามาจากโควตาของนายเสนาะ เทียนทอง ก็ด้วยเนื่องจาก สามารถยกโยงตระกูลเทียนทองเข้าสภาได้ถึง 6 ที่นั่ง โดยฐานิสร์ เป็น ส.ส.สระแก้ว หลานนายเสนาะ อายุเพียง 42 ปี อดีตเคยเป็นเลขาธิการพรรคประชาราชและเป็นที่ปรึกษานายเสนาะ เทียนทอง ตอนเป็นรมว.มหาดไทย
นาย ชูชาติ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ส.ส.ปทุมธานี 7 สมัย ได้เป็นเพราะโควตาภาคกลาง โดยก่อนหน้านี้นายชูชาติเคยอยู่กลุ่มวังน้ำเย็นของนายเสนาะ เทียนทอง ตระกูลหาญสวัสดิ์ถือว่า เล่นการเมืองมานาน เป็นน้องชายของนายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีต รมว.เกษตรฯ ชูชีพเป็นลูกเขยเจ๊เกียว นางสุจินดา เชิดชัย เจ้าแม่รถทัวร์แห่งโคราชจึงเป็นที่ทราบกันดีว่า หากพรรคที่สังกัดเป็นรัฐบาล ต้องมีคนในตระกูล หาญสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรีทุกครั้งไป
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี
อาจกล่าวได้ว่า ครม.ปู1 ของยิ่งลักษณ์ ถือว่าวางตัวรองนายกรัฐมนตรี ไว้หลายตำแหน่งเช่นกัน แต่ที่ถูกจับตามองก็คงไม่พ้นรองนายกฝ่ายความมั่นคง คุมข้าราชการตำรวจ ซึ่งถือว่าเป็นกลไกมือไม้สำคัญ ถึงกับเคยถูกขนานนามว่า "รัฐตำรวจ" ในช่วงที่นช.ทักษิณ เรืองอำนาจด้วยซ้ำ
เรียกว่าฝุ่นตลบไม่แพ้ตำแหน่งใดเช่นกันสำหรับเก้าอี้ตัวนี้ เพราะมีชื่อบิ๊กเนม ที่ติดมาในกระแสมากมายไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สุดท้ายไปหวยออกที่ชื่อของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ที่มาแรงแซงทางโค้ง เข้าป้ายในช่วงวันสุดท้าย
สำหรับ พล.ต.อ.โกวิท วถือเป็นโควตาคนนอก เป็นอดีตผบ.ตร. รมว.มหาดไทย รองนายกรัฐมนตรี สมัยนายสมัคร สุนทรเวช เคยมีชื่อโผล่มาในกระแสตอนที่พรรคเพื่อไทย กำลังจะหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อนำมากลบภาพความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง เนื่องจาก พล.ต.อ.โกวิท เคยรับใช้ใกล้ชิดสถาบันมาก่อน
สำหรับตำแหน่งรองนายกฝ่ายความมั่นคงที่จะมาดูแลตำรวจ ปรากฏชื่อมาแรงไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก หรือกระทั่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แต่หากพิจารณาดูแล้ว พล.ต.อ.ประชา ในสายตาของทักษิณ ในเรื่องความจงรักภักดี หรือการควบคุมให้สั่งซ้าย หันขวา ก็ดูจะออกไปทาง พล.ต.อ.โกวิท เสียมากกว่า ด้วยความที่ว่าบุคลิกของเจ้าตัว ที่ดูจะเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองไม่มากนั้นเอง
ขณะที่ภาพของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขืนนำไปคุมสำนักงานตำรวจ ก็อาจถูกค่อนแคะจากตำรวจระดับนายพล ที่อาจมองว่า ร.ต.อ.เฉลิม มียศแค่สารวัตร อาจไม่ได้รับความยำเกรงเท่าที่ควร และชื่อชั้นของ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ น่าจะตอบโจทย์ตำแหน่งนี้ได้ดีกว่าใคร
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
สำหรับตำแหน่งนี้นั้น ต้องบอกว่า พลิกโผ ในวินาทีสุดท้ายเช่นกัน เพราะรายชื่อที่ขับเคี่ยวเก้าอี้ตัวนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบิ๊กเนมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง, พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก, ชัยเกษม นิติศิริ ก่อนจะมาจบที่ชื่อ "พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก"
ผลงานที่ได้ถูกปูนบำเหน็จ ก็คงจะมาจากภารกิจคุมเสียงในภาคอีสานได้เข้าเป้า เป็นนายตำรวจผู้ได้ฉายาอินทรีย์อีสาน เป็นผบ.ตร.คนแรกหลังปรับโครงสร้างกรมตำรวจ อยู่มาหลายพรรค ยุคเสรีธรรมของประจวบ ไชยสาส์น เพื่อแผ่นดินของ พินิจ จารุสมบัติ ในยุคพรรคเพื่อไทยพรรคเพื่อไทยเสนอให้เป็นนายกฯแข่งกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
โดยช่วงแรกเจ้าตัวก็คั่วเก้าอี้ รมว.มหาดไทยและรองนายกฝ่ายความมั่นคงมาตลอด แต่ไร้แรงสนับสนุนส่วนใหญ่ในพรรคเพื่อไทยจึงหลุดมานั่งเก้าอี้เจ้ากระทรวงตาชั่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มภาคเหนือของกลุ่มเจ๊แดง และกลุ่มอมรวิวัฒน์ แต่จะว่าไปแล้วทักษิณและพจมาน ก็อาจจะดูความเหมาะสมที่จะดูแลงานโดยเฉพาะดีเอสไอ, ป.ป.ส. และปปง. เมื่อเทียบกับ ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.ต.ท.ชัจจ์ มีลักษณะบุคลิก พูดจาโผงผาง อาจเป็นผลเสียกับภาพลักษณ์เรื่องความปรองดอง ซึ่งภาพลักษณ์ของ พล.ต.อ.ประชา น่าจะดูดีกว่าหลายรายที่กล่าวมา
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี
หลังปรากฏชื่อในหลายโผ หลายเก้าอี้รัฐมนตรี ในที่สุดร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็มาเข้าป้ายที่ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี อีกหนึ่งรัฐมนตตรีที่มีประวัติทางการเมืองเรียกว่ายาวเหยียดเป็นหางว่าว เพราะเคยเป็นทั้งอดีตรมว.สาธารณสุข อดีตรมว.มหาดไทย ส.ส.ฝั่งธนบุรีหลายสมัย แต่ที่เด่นที่สุด ในฐานะนักการเมืองคงเป็นด้านการพูดและลีลาการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรที่สามารถโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเชื่อได้ ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม เคยกล่าวถึงตัวเองไว้ว่า "ไปทะเลเจอฉลาม มาสภาเจอเฉลิม" เลยทีเดียว
ร.ต.อ.เฉลิมถือเป็นหัวหอก องครักษ์พิทักษ์นายใหญ่ คนหนึ่งทีมีผลงานปรากฏต่อเนื่องมาโดยตลอด ในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นผู้นำ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในประเด็นการปกปิดซ่อนเร้น เส้นทางการเงินบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ทำนิติกรรมอำพรางผ่านบริษัท เมซไซอะ ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงการยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ได้รับการปูนบำเหน็จคงเป็นการเป็นหัวหอกช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงในศึกเลือกตั้งด้วยการชูทักษิณเป็นจุดขาย จนได้รับชัยชนะ
ส่วนภารกิจที่คาดว่าน่าจะได้รับคือรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสื่อสารมวลชน เพราะกวดสายตาดูแล้ว น่าจะเหมาะกับ ร.ต.อ.เฉลิมมากที่สุด เพราะเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ มาก่อนแล้ว
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถือเป็นตำแหน่งใหญ่อีกตำแหน่งที่ฝุ่นตลบมากที่สุดตั้งแต่ช่วงแรก แต่สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ชื่อของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ หรือ“บิ๊กอ๊อด” ที่มีความใกล้ชิดกับทักษิณมาก เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในรัฐบาลไทยรักไทย ซึ่งทักษิณเชื่อว่า ด้วยเครือข่ายที่กว้างขวางของบิ๊กอ๊อด จะทำให้สามารถเดินหน้านโยบายปรองดองในยุคกองทัพเป็นปฏิปักษ์กับทักษิณได้ดี
ล่าสุด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทำร้ายหัวใจคนเสื้อแดง ด้วยการบอกว่าจะเข้าไปปรึกษา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ โดยระบุว่าเขาเข้าออกบ้าน พล.อ.เปรม ได้ 24 ชั่วโมงเพราะเป็นลูกรักคนหนึ่ง
นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เป็นเก้าอี้ตามโควตาของพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งก่อนหน้านี้มีก็มีการตคบตีแย่งชิงกันเล็กน้อยเนื่องจากสนธยา คุณปลื้ม แกนนำพรรคพลังชล จะหมายมั่นปั้นมือที่จะให้สุกุมล คุณปลื้ม สส.ชลบุรี และภรรยา นั่งเก้าอี้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แต่สุดท้ายก็เสร็จแก๊งปลาไหลในที่สุด
สำหรับตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 ตำแหน่ง ตำแหน่งแรก ตกเป็นของ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ สส.ชัยภูมิ หลายสมัย และเป็นมือขวา พายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสาน จึงได้ลิ้มรสเสนาบดีเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เคยประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ส่วนอีกตำแหน่ง ตกเป็นของนางกฤษณา สีหลักษณ์เป็นรัฐมนตรีโค้งสุดท้ายแบบส้มหล่น จากการถอนตัวของ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ที่ไม่ขอเป็นรองนายกฯ ทั้งนี้นางกฤษณา เป็น สส.อุตรดิตถ์ ปัจจุบันรับผิดชอบ สส.อุตรดิตถ์ ทั้งหมด โดยปัจจัยที่ทำให้เข้าป้ายรัฐมนตรีอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวครั้งนี้เป็นเพราะแรงผลักดันของ "เจ๊แดง" เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ส่งผลทำให้โควตาแก๊งเสื้อแดงอย่างนายณัฐวุติ ใสเกื้อ ที่มีชื่อลอยมาใกล้เคียงที่สุด รวมไปถึงนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ยังถูกพลังจากสายของนายพายัพและนางเยาวภา ชินวัตรกวาดเรียบเสียตกขอบหมด
ขณะที่อีก 1 ตำแหน่งที่มีความสำคัญยิ่งไม่แพ้กันคือ “เลขาธิการนายกรัฐมนตรี” นั้นก็ตกเป็นสมบัติของเด็กนายใหญ่และนายหญิงตามระเบียบที่ชื่อของ “นายบัณฑูรย์ สุภัควณิช”
ดังนั้น หากพิจารณาจากทุกตำแหน่งทุกเก้าอี้แล้ว ก็คงจะเป็นไปอย่างที่นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่สรุปเสปกเอาไว้จี๊ดโดยใจว่า ต้องประกอบไปด้วย ด-ว.ง-.คือ ด.เด็กใคร ว.วิ่งเต้นกับใครและง.เงินน่ะมีไหม
ชัดแจ้ง แจ่มชัดโดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายแต่ประการใด
แน่นอน สังคมจะต้องช่วยกันตรวจสอบอย่างใกล้ชิดว่า บรรดาเสนาบดีกระทรวงต่างๆ นั้น จะสามารถทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตสมดังคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อเบื้องพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งน้อมรับกระแสพระราชดำรัสในการทำให้เมืองไทยวุ่นวายน้อยลงได้หรือไม่