ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ผู้คนต่างใจจดจ่ออยู่ที่การเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินของพรรคเพื่อไทย การได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น มีคะแนนสูงสุดในรัฐสภานั่นหมายถึงว่าพรรคเพื่อไทย สามารถที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ และหัวใจของการบริหารราชการแผ่นดินก็คือนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ได้ประกาศแก่ประชาชนเอาไว้ก่อนวันเลือกตั้ง ว่าจะทำอะไรอย่างไรบ้าง แน่นอนว่านโยบายต่างๆ อาจจะถูกจับตาและวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นไปได้หรือผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา แต่โดยความชอบธรรมและเพื่อสร้างแบบแผนของการเมืองการปกครอง เป็นความชอบธรรมของพรรคเพื่อไทย ที่จะต้องทำตามที่ตัวเองได้ประกาศนโยบายเอาไว้กับประชาชน มิเช่นนั้นนโยบายหรือคำประกาศของนักการเมืองพรรคการเมืองก็ไม่ต่างจากน้ำยาบ้วนปาก
ความมั่นใจในชัยชนะของพรรคเพื่อไทยอาจจะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในนโยบายประชานิยมมากยิ่งขึ้น และถ้าเดินหน้าผลักดันให้สิ่งที่ได้ประกาศเอาไว้อย่างย่ามใจ และไม่ระมัดระวัง หายนะแห่งนโยบายประชานิยมก็จะคืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยและส่งผลในทางลบไม่แตกต่างจากบทเรียนของประเทศต่างๆ ที่นำระบบนี้มาใช้เพื่อชัยชนะในเบื้องต้นของพรรคการเมืองอย่างเช่นอาร์เจนตินา เม็กซิโกหรือเปรู ที่ประเทศแทบล้มละลายจากหนี้สินภายในประเทศ หนี้สาธารณะ เงินเฟ้อ สาธารณูปโภคของประเทศถูกต่างชาติเข้ายึดครอง เข้าสัมปทานแล้วเอาเป็นเครื่องมือในการขูดรีดประชาชนเจ้าของประเทศ
เราต้องไม่ลืมว่าความขัดแย้งในสังคมไทยที่ผ่านมา มิได้เป็นความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อ แต่มันเป็นความขัดแย้งที่สะสมมาจากหลายสาเหตุ ปรากฏการณ์ของความขัดแย้งที่ลุกลามเป็นความวุ่นวายและความรุนแรงในสังคมรอบปีที่ผ่านมา สงบลงได้ในระดับหนึ่งก็เพราะมีข้อเสนอในการลดความขัดแย้งอย่างถาวรซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ เวลานั้นรัฐนาวาของตัวเองง่อนแง่นตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้งชนิดหลังพิงฝา ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว คือข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ในการศึกษาสภาพปัญหาและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาของสังคมไทยโดยรวม อย่างเป็นระบบและครบวงจร จากตัวแทนที่มาจากหลายภาคส่วนที่ถูกระบุไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย “สมัชชาปฏิรูป” ในการขับเคลื่อนสรุปรวบรวมสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา
ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศแต่งตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานกรรมการปฏิรูปนั้น ได้ระบุเป้าหมายของคณะปฏิรูปเอาไว้ว่า “เพื่อให้การดำเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบและโครงสร้างต่างๆ ในประเทศไทย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งไปสู่การลดความเลื่อมล้ำในสังคมไทย เสริมสร้างสมรรถนะและพลังปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้มีความเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข มีศักดิ์ศรีและความเป็นธรรม อันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ สันติสุขและความเจริญมั่นคงในชาติบ้านเมือง..” ซึ่งก็เป็นการสะท้อนสภาพปัญหาของสังคมไทยว่าเรามีปัญหาในเรื่องระบบและโครงสร้าง มีปัญหาความอดอยากยากจน ปัญหาความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจนเกิดภาวะความอ่อนแอในสังคม ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่มีความสงบสุข ไม่มีความสันติและสมานฉันท์ สังคมโดยรวมไม่เจริญก้าวหน้าขาดความมั่นคง ฯลฯ
ข้อเสนอที่สำคัญผ่านเวทีของ “สมัชชาปฏิรูป” จากภาคีต่างๆ ที่หลากหลายในสังคม ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า หากจะแก้ปัญหาและวิกฤตของสังคมที่เผชิญอยู่และก้าวไปข้างหน้าให้เกิดความสมานฉันท์ ความสันติและลดความเลื่อมล้ำ สร้างอาชีพและการอยู่ดีกินดีของผู้คนในประเทศโดยรวมขึ้นได้นั้น สังคมไทยจะต้องได้รับการปฏิรูปจะต้องแก้ไขปมปัญหาหลักของประเทศ 4 ด้านคือ
1. จะต้องมีการปฏิรูปฐานทรัพยากรของชาติใหม่หมด ซึ่งประกอบด้วยการปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติที่ประกอบด้วยที่ดิน ทรัพยากรแร่ ป่าไม้ แหล่งน้ำ ทะเลและชายฝั่ง สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์
2. จะต้องมีการปฏิรูปทรัพยากรทางเศรษฐกิจคือระบบทุน แรงงาน การเกษตร ระบบภาษี ระบบตลาด พาณิชย์อุตสาหกรรมและด้านพลังงาน
3. จะต้องมีการปฏิรูปทรัพยากรทางสังคมอันประกอบด้วย ระบบการศึกษา ศาสนธรรมและจิตวิญญาณ การสาธารณสุข ระบบการสื่อสาร คุณภาพชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
4. จะต้องมีการปฏิรูปทรัพยากรทางการเมืองซึ่งประกอบด้วย การปฏิรูปโครงสร้างทางอำนาจ การกระจายอำนาจการกระจายงบประมาณ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การปฏิรูปกองทัพ การเปิดเผยและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
2 ปีกว่าในการมีโอกาสเข้ามามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพลพรรคร่วมรัฐบาล รู้ทั้งรู้ว่าความอ่อนแอของประเทศและสังคมไทยมีสาเหตุมาจากปัจจัยอะไรบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าอะไรคือสาเหตุของความเลื่อมล้ำ อะไรคือสาเหตุของความไม่เป็นธรรมในสังคม อะไรคือวิธีการและอะไรคือทางออกของปัญหานั้นๆ แต่พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ขาดความกล้าหาญ หาได้มีจุดยืนเพื่อลดความเลื่อมล้ำและแก้ไขสภาพความอ่อนแอของสังคมทั้งๆ ที่มีโอกาสกลับใช้ความอ่อนแอของระบบและโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมที่บิดเบี้ยวมาใช้ในการรักษาอำนาจ ขยายอำนาจและมีความเชื่อว่าจะได้กลับมามีอำนาจจากผลพวงของความล้มเหลวในสังคมที่มีอยู่อีกครั้ง.....
นี่ถ้าหากว่าพลพรรคเสื้อแดงแปรเปลี่ยนเป็นพลังเพื่อขับเคลื่อนแผนการปฏิรูป และพรรคเพื่อไทยกลับลำมาเดินหน้าปฏิรูปประเทศแทนนโยบายประชานิยมด้วยแล้ว พรรคประชาธิปัตย์เตรียมหนาวยาวเลยครับ.
ความมั่นใจในชัยชนะของพรรคเพื่อไทยอาจจะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในนโยบายประชานิยมมากยิ่งขึ้น และถ้าเดินหน้าผลักดันให้สิ่งที่ได้ประกาศเอาไว้อย่างย่ามใจ และไม่ระมัดระวัง หายนะแห่งนโยบายประชานิยมก็จะคืบคลานเข้าสู่ประเทศไทยและส่งผลในทางลบไม่แตกต่างจากบทเรียนของประเทศต่างๆ ที่นำระบบนี้มาใช้เพื่อชัยชนะในเบื้องต้นของพรรคการเมืองอย่างเช่นอาร์เจนตินา เม็กซิโกหรือเปรู ที่ประเทศแทบล้มละลายจากหนี้สินภายในประเทศ หนี้สาธารณะ เงินเฟ้อ สาธารณูปโภคของประเทศถูกต่างชาติเข้ายึดครอง เข้าสัมปทานแล้วเอาเป็นเครื่องมือในการขูดรีดประชาชนเจ้าของประเทศ
เราต้องไม่ลืมว่าความขัดแย้งในสังคมไทยที่ผ่านมา มิได้เป็นความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อ แต่มันเป็นความขัดแย้งที่สะสมมาจากหลายสาเหตุ ปรากฏการณ์ของความขัดแย้งที่ลุกลามเป็นความวุ่นวายและความรุนแรงในสังคมรอบปีที่ผ่านมา สงบลงได้ในระดับหนึ่งก็เพราะมีข้อเสนอในการลดความขัดแย้งอย่างถาวรซึ่งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย รัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ เวลานั้นรัฐนาวาของตัวเองง่อนแง่นตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้งชนิดหลังพิงฝา ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว คือข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ในการศึกษาสภาพปัญหาและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาของสังคมไทยโดยรวม อย่างเป็นระบบและครบวงจร จากตัวแทนที่มาจากหลายภาคส่วนที่ถูกระบุไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย “สมัชชาปฏิรูป” ในการขับเคลื่อนสรุปรวบรวมสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา
ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศแต่งตั้งให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานกรรมการปฏิรูปนั้น ได้ระบุเป้าหมายของคณะปฏิรูปเอาไว้ว่า “เพื่อให้การดำเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบและโครงสร้างต่างๆ ในประเทศไทย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งไปสู่การลดความเลื่อมล้ำในสังคมไทย เสริมสร้างสมรรถนะและพลังปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนสังคมไทยให้มีความเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข มีศักดิ์ศรีและความเป็นธรรม อันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ สันติสุขและความเจริญมั่นคงในชาติบ้านเมือง..” ซึ่งก็เป็นการสะท้อนสภาพปัญหาของสังคมไทยว่าเรามีปัญหาในเรื่องระบบและโครงสร้าง มีปัญหาความอดอยากยากจน ปัญหาความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจนเกิดภาวะความอ่อนแอในสังคม ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่มีความสงบสุข ไม่มีความสันติและสมานฉันท์ สังคมโดยรวมไม่เจริญก้าวหน้าขาดความมั่นคง ฯลฯ
ข้อเสนอที่สำคัญผ่านเวทีของ “สมัชชาปฏิรูป” จากภาคีต่างๆ ที่หลากหลายในสังคม ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า หากจะแก้ปัญหาและวิกฤตของสังคมที่เผชิญอยู่และก้าวไปข้างหน้าให้เกิดความสมานฉันท์ ความสันติและลดความเลื่อมล้ำ สร้างอาชีพและการอยู่ดีกินดีของผู้คนในประเทศโดยรวมขึ้นได้นั้น สังคมไทยจะต้องได้รับการปฏิรูปจะต้องแก้ไขปมปัญหาหลักของประเทศ 4 ด้านคือ
1. จะต้องมีการปฏิรูปฐานทรัพยากรของชาติใหม่หมด ซึ่งประกอบด้วยการปฏิรูปทรัพยากรธรรมชาติที่ประกอบด้วยที่ดิน ทรัพยากรแร่ ป่าไม้ แหล่งน้ำ ทะเลและชายฝั่ง สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์
2. จะต้องมีการปฏิรูปทรัพยากรทางเศรษฐกิจคือระบบทุน แรงงาน การเกษตร ระบบภาษี ระบบตลาด พาณิชย์อุตสาหกรรมและด้านพลังงาน
3. จะต้องมีการปฏิรูปทรัพยากรทางสังคมอันประกอบด้วย ระบบการศึกษา ศาสนธรรมและจิตวิญญาณ การสาธารณสุข ระบบการสื่อสาร คุณภาพชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
4. จะต้องมีการปฏิรูปทรัพยากรทางการเมืองซึ่งประกอบด้วย การปฏิรูปโครงสร้างทางอำนาจ การกระจายอำนาจการกระจายงบประมาณ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การปฏิรูปกองทัพ การเปิดเผยและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
2 ปีกว่าในการมีโอกาสเข้ามามีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพลพรรคร่วมรัฐบาล รู้ทั้งรู้ว่าความอ่อนแอของประเทศและสังคมไทยมีสาเหตุมาจากปัจจัยอะไรบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าอะไรคือสาเหตุของความเลื่อมล้ำ อะไรคือสาเหตุของความไม่เป็นธรรมในสังคม อะไรคือวิธีการและอะไรคือทางออกของปัญหานั้นๆ แต่พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ขาดความกล้าหาญ หาได้มีจุดยืนเพื่อลดความเลื่อมล้ำและแก้ไขสภาพความอ่อนแอของสังคมทั้งๆ ที่มีโอกาสกลับใช้ความอ่อนแอของระบบและโครงสร้างทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคมที่บิดเบี้ยวมาใช้ในการรักษาอำนาจ ขยายอำนาจและมีความเชื่อว่าจะได้กลับมามีอำนาจจากผลพวงของความล้มเหลวในสังคมที่มีอยู่อีกครั้ง.....
นี่ถ้าหากว่าพลพรรคเสื้อแดงแปรเปลี่ยนเป็นพลังเพื่อขับเคลื่อนแผนการปฏิรูป และพรรคเพื่อไทยกลับลำมาเดินหน้าปฏิรูปประเทศแทนนโยบายประชานิยมด้วยแล้ว พรรคประชาธิปัตย์เตรียมหนาวยาวเลยครับ.