เมื่อทักษิณประกาศนโยบายปรองดองเป็นภารกิจหลัก และเป็นอันดับหนึ่งนั้น ก็เหมือนอย่างที่ได้บอกไปแล้วเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะการปรองดองของชาตินั้น ต้องดูจากต้นเหตุของความขัดแย้งของสังคม มีเหตุผลหลายสาเหตุที่ทำให้หลายชาติมีสงครามกลางเมือง แต่จากความคิดต่างอุดมการณ์อย่างรุนแรงทั้งสิ้น เช่น สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ เกิดจากการให้สิทธิความเป็นมนุษย์ของทาสแอฟริกันในสหรัฐฯ ของฝ่ายเหนือ ซึ่งขัดผลประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจของมลรัฐทางใต้ ที่ต้องการแรงงานได้เปล่าเก็บดอกฝ้ายป้อนโรงงานทอผ้าในสหรัฐฯ และในอังกฤษ รบกัน 4 ปี มีคนตายเป็นล้านๆ แต่การปรองดองเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของภาวะหลังความหายนะ เพราะคนกลัวความทุกข์ทรมานจากพิษสงคราม ต่างคนต่างช่วยกันสร้างชาติ และลืมความขมขื่นทั้งมวล
ประเทศไทยความเห็นต่างระหว่างสี ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเหลือง หรือหลากสี เกิดจากความต่างอุดมการณ์ความนิยมในตัวทักษิณพวกหนึ่ง กับอีกพวกหนึ่งต่อต้านทักษิณ และพวกหลากสีต่อต้านความรุนแรงของคนเสื้อแดงหัวรุนแรง และพวกต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้น ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทักษิณประกาศยุติบทบาทการชักใยอยู่เบื้องหลังในทุกด้าน เช่น มีเป้าประสงค์นิรโทษกรรมตัวเอง เอาเงินคืนจากรัฐ และแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ประโยชน์ต่อพฤติกรรมของเขา
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ทักษิณจะทำไม่ได้ เหมือนในอดีตที่ใครคนหนึ่งต้องการจะแสดงความจำนงยุติบทบาทตัวเองทางโลก แล้วก็เข้าบวชเป็นพระอยู่ในโลกของสงฆ์ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หรือง่ายที่สุดจะต้องยุติการให้ข่าวที่ยุ่งเกี่ยวกับการบ้านการเมืองอย่างที่พิสูจน์ได้ ไม่รับแขกนักการเมืองนอกครอบครัวตนเอง ไม่แสดงตนในสิ่งแวดล้อมการเมือง เนรเทศตัวเองออกจากสังคมการเมือง
แต่ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะทักษิณยังเป็นบุคคลที่มีความใฝ่สูงเกินพรรณนา และยังมีผู้คนหลงใหลในวาทะของเขามาก หรือยังมีคนหลงใหลในภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความร่ำรวยที่ทักษิณให้สัญญาไว้ คนที่มีปัญญาน้อยก็จะหลงเชื่อ
ความขัดแย้งระหว่างสีนั้น เกิดจากพฤติกรรมของทักษิณล้วนๆ คนจะเถียงกันเพียงแค่ทักษิณเป็นคนดี กับทักษิณเป็นคนไม่ดี คนเสื้อแดงบอกว่าทักษิณเป็นคนวิเศษ ขณะที่คนเสื้อเหลืองบอกว่าทักษิณสันดานชั่ว ไม่มีเรื่องอย่างอื่น เรื่องนโยบายต่างๆ ที่ขัดแย้งกันไม่ใช่ประเด็นนำสู่ความขัดแย้งรุนแรง เพราะนโยบายเมื่อนำไปปฏิบัติสัมฤทธิผลก็ดีไป แต่หากไม่สัมฤทธิผลก็มีปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่สร้างปัญหาอุปสรรคเป็นเครื่องมือในการแก้ตัว
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความขัดแย้งรุนแรงแท้จริง และหาสูตรสำเร็จปรองดองไม่ได้เมื่อเกิดกลุ่มต่อต้านสถาบัน โดยเฉพาะเสื้อแดงล้มเจ้า
เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนในสังคม เพราะมีเรื่องราวที่บิดเบือนความจริง เสริมแต่งให้ดูว่าเป็นจริงตามข้อเขียนที่ให้ร้ายสถาบันลักษณะต่างๆ และปัจจุบันกลุ่มอนาธิปไตยต่อต้านสถาบันในกลุ่มเสื้อแดง ได้บังอาจออกข้อเรียกร้องผ่าน ระบบ Online 5 ข้อ ได้แก่
1. สร้างอนุสาวรีย์ให้ไพร่แดง เยียวยาคนป่วยคนพิการที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
2. คนฆ่าและสั่งฆ่าประชาชนต้องถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม จะเป็นการปรองดองอย่างยุติธรรม
3. ปล่อยนักโทษการเมืองพวกเขาไม่ใช่อาชญากร
4. ยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 112
5. แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ กระบวนการตุลาการ และบทบาทองคมนตรี
ส่วนนายใจ อึ๊งภากรณ์ เรียกร้องในนามคนเสื้อแดงล้มเจ้า ให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินการ 6 ข้อ ส่วนใหญ่คล้ายกันกับกลุ่มอนาธิปไตยเสื้อแดง เช่น ให้ปล่อยนักโทษการเมืองและคดีผิดกฎหมาย มาตรา 112 ให้ปลดผู้บัญชาการทหารบก นำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ ขึ้นศาล ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ยกเลิกการเซ็นเซอร์สื่อ Internet และวิทยุชุมชน และยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 112
ทั้งยังได้ประกาศว่า "ผมมีคำเตือนให้คนเสื้อแดงที่ไม่เอาเจ้าเหมือนผม เราต้องยอมรับความจริง และไม่ประเมินฝ่ายอำมาตย์ต่ำไป กระแสที่ไม่เอาเจ้าที่แพร่ไปทั่วจะไม่เกิดผลโดยอัตโนมัติถ้าเราไม่รู้จักสู้ ดังนั้น เราต้องใช้ปัญญาในการกระทำภาระที่ยังค้างอยู่ของการปฏิวัติ 2475 ให้เสร็จสิ้น แล้วเราจะได้ประชาธิปไตยแท้”
และ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ แถลงว่า "ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว พวกเราจะหยุด เรื่องเหล่านี้หยุดไม่ได้ต้องเดินหน้าต่อไป”
พฤติกรรมและข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นเชื้อเพลิงที่โหมกระหน่ำความขัดแย้งของสังคม เพราะอุดมการณ์ชาติถูกท้าทาย โดยเฉพาะการต่อต้านสถาบัน
ถ้าทักษิณจริงใจในการสร้างความปรองดอง จะต้องสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ทำลายกลุ่มหัวรุนแรงในกลุ่มเสื้อแดง ที่มีพฤติกรรมล้มเจ้าให้สูญสิ้นไปในกลุ่มเสื้อแดง
และนางสาวยิ่งลักษณ์ จะต้องประกาศในสภาผู้แทนราษฎรแสดงความจริงใจ ความตั้งใจ และวิธีจัดการกับกลุ่มต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน ไม่อ้อมค้อม และไม่เล่นสำนวน
ประการสำคัญ จะต้องตัดกลุ่ม ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านสถาบันออกจากบัญชีรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรีหรือตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองที่สามารถใช้อำนาจรัฐแทรกแซงหรือสร้างความเสียหายให้กับสถาบัน
ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ความปรองดองสมานฉันท์ก็จะเกิดขึ้นทันทีอย่างยั่งยืน มั่นคง โดยไม่ต้องแถลงการณ์สร้างภาพว่าจะสร้างความปรองดองในชาติ
ประเทศไทยความเห็นต่างระหว่างสี ไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเหลือง หรือหลากสี เกิดจากความต่างอุดมการณ์ความนิยมในตัวทักษิณพวกหนึ่ง กับอีกพวกหนึ่งต่อต้านทักษิณ และพวกหลากสีต่อต้านความรุนแรงของคนเสื้อแดงหัวรุนแรง และพวกต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์
ดังนั้น ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทักษิณประกาศยุติบทบาทการชักใยอยู่เบื้องหลังในทุกด้าน เช่น มีเป้าประสงค์นิรโทษกรรมตัวเอง เอาเงินคืนจากรัฐ และแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ให้ประโยชน์ต่อพฤติกรรมของเขา
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ทักษิณจะทำไม่ได้ เหมือนในอดีตที่ใครคนหนึ่งต้องการจะแสดงความจำนงยุติบทบาทตัวเองทางโลก แล้วก็เข้าบวชเป็นพระอยู่ในโลกของสงฆ์ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หรือง่ายที่สุดจะต้องยุติการให้ข่าวที่ยุ่งเกี่ยวกับการบ้านการเมืองอย่างที่พิสูจน์ได้ ไม่รับแขกนักการเมืองนอกครอบครัวตนเอง ไม่แสดงตนในสิ่งแวดล้อมการเมือง เนรเทศตัวเองออกจากสังคมการเมือง
แต่ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะทักษิณยังเป็นบุคคลที่มีความใฝ่สูงเกินพรรณนา และยังมีผู้คนหลงใหลในวาทะของเขามาก หรือยังมีคนหลงใหลในภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความร่ำรวยที่ทักษิณให้สัญญาไว้ คนที่มีปัญญาน้อยก็จะหลงเชื่อ
ความขัดแย้งระหว่างสีนั้น เกิดจากพฤติกรรมของทักษิณล้วนๆ คนจะเถียงกันเพียงแค่ทักษิณเป็นคนดี กับทักษิณเป็นคนไม่ดี คนเสื้อแดงบอกว่าทักษิณเป็นคนวิเศษ ขณะที่คนเสื้อเหลืองบอกว่าทักษิณสันดานชั่ว ไม่มีเรื่องอย่างอื่น เรื่องนโยบายต่างๆ ที่ขัดแย้งกันไม่ใช่ประเด็นนำสู่ความขัดแย้งรุนแรง เพราะนโยบายเมื่อนำไปปฏิบัติสัมฤทธิผลก็ดีไป แต่หากไม่สัมฤทธิผลก็มีปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่สร้างปัญหาอุปสรรคเป็นเครื่องมือในการแก้ตัว
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นความขัดแย้งรุนแรงแท้จริง และหาสูตรสำเร็จปรองดองไม่ได้เมื่อเกิดกลุ่มต่อต้านสถาบัน โดยเฉพาะเสื้อแดงล้มเจ้า
เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนในสังคม เพราะมีเรื่องราวที่บิดเบือนความจริง เสริมแต่งให้ดูว่าเป็นจริงตามข้อเขียนที่ให้ร้ายสถาบันลักษณะต่างๆ และปัจจุบันกลุ่มอนาธิปไตยต่อต้านสถาบันในกลุ่มเสื้อแดง ได้บังอาจออกข้อเรียกร้องผ่าน ระบบ Online 5 ข้อ ได้แก่
1. สร้างอนุสาวรีย์ให้ไพร่แดง เยียวยาคนป่วยคนพิการที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
2. คนฆ่าและสั่งฆ่าประชาชนต้องถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม จะเป็นการปรองดองอย่างยุติธรรม
3. ปล่อยนักโทษการเมืองพวกเขาไม่ใช่อาชญากร
4. ยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 112
5. แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ กระบวนการตุลาการ และบทบาทองคมนตรี
ส่วนนายใจ อึ๊งภากรณ์ เรียกร้องในนามคนเสื้อแดงล้มเจ้า ให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินการ 6 ข้อ ส่วนใหญ่คล้ายกันกับกลุ่มอนาธิปไตยเสื้อแดง เช่น ให้ปล่อยนักโทษการเมืองและคดีผิดกฎหมาย มาตรา 112 ให้ปลดผู้บัญชาการทหารบก นำนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ ขึ้นศาล ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 และใช้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ ยกเลิกการเซ็นเซอร์สื่อ Internet และวิทยุชุมชน และยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 112
ทั้งยังได้ประกาศว่า "ผมมีคำเตือนให้คนเสื้อแดงที่ไม่เอาเจ้าเหมือนผม เราต้องยอมรับความจริง และไม่ประเมินฝ่ายอำมาตย์ต่ำไป กระแสที่ไม่เอาเจ้าที่แพร่ไปทั่วจะไม่เกิดผลโดยอัตโนมัติถ้าเราไม่รู้จักสู้ ดังนั้น เราต้องใช้ปัญญาในการกระทำภาระที่ยังค้างอยู่ของการปฏิวัติ 2475 ให้เสร็จสิ้น แล้วเราจะได้ประชาธิปไตยแท้”
และ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ แถลงว่า "ไม่ใช่พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว พวกเราจะหยุด เรื่องเหล่านี้หยุดไม่ได้ต้องเดินหน้าต่อไป”
พฤติกรรมและข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นเชื้อเพลิงที่โหมกระหน่ำความขัดแย้งของสังคม เพราะอุดมการณ์ชาติถูกท้าทาย โดยเฉพาะการต่อต้านสถาบัน
ถ้าทักษิณจริงใจในการสร้างความปรองดอง จะต้องสั่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ทำลายกลุ่มหัวรุนแรงในกลุ่มเสื้อแดง ที่มีพฤติกรรมล้มเจ้าให้สูญสิ้นไปในกลุ่มเสื้อแดง
และนางสาวยิ่งลักษณ์ จะต้องประกาศในสภาผู้แทนราษฎรแสดงความจริงใจ ความตั้งใจ และวิธีจัดการกับกลุ่มต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน ไม่อ้อมค้อม และไม่เล่นสำนวน
ประการสำคัญ จะต้องตัดกลุ่ม ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านสถาบันออกจากบัญชีรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรีหรือตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองที่สามารถใช้อำนาจรัฐแทรกแซงหรือสร้างความเสียหายให้กับสถาบัน
ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ความปรองดองสมานฉันท์ก็จะเกิดขึ้นทันทีอย่างยั่งยืน มั่นคง โดยไม่ต้องแถลงการณ์สร้างภาพว่าจะสร้างความปรองดองในชาติ
