xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณ-เสื้อแดง-นักวิชาการ

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งด้วยมวลชนที่สนับสนุนทักษิณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ นักวิชาการหลายคนที่เคยออกมาให้ท้ายมวลชนเสื้อแดงว่าได้ก้าวข้ามทักษิณไปแล้วได้เงียบหายไป

ก็เพราะว่าภายหลังผลการเลือกตั้งแล้ว สิ่งที่ทักษิณพูดทันทีก็คือ ว่าต้องละลายความขัดแย้งและต้องให้อภัย ทักษิณพูดทันทีว่า การหาคนรับผิดชอบการเสียชีวิตของพลเรือนและทหาร 91 ศพ ไม่จำเป็นจะต้องให้ได้ข้อเท็จจริงถึงขนาดว่า ใครเป็นผู้กระทำผิดและต้องได้รับการลงโทษ หากต้องการสร้างความปรองดอง ก็อาจจะทำด้วยการหาความจริงเพียงแค่รู้ว่าใครเป็นคนทำ แล้วคนนั้นสำนึกผิดก็เชื่อว่าสังคมไทยพร้อมที่จะให้อภัย

ซึ่งแสดงความว่า เป้าหมายของทักษิณไม่ใช่เป้าหมายที่นักวิชาการจำนวนมากที่เข้ามาให้ท้ายเสื้อแดงพยายามปลุกปั่นให้ประชาชนออกมาลุกขึ้นสู้กับกระสุนปืนของฝ่ายอำนาจรัฐเข้าใจว่า นี่เป็นการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคทางชนชั้นและโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย

และเมื่อทักษิณละทิ้งเป้าหมายของคนเสื้อแดงเช่นนี้ ทำไมนักวิชาการที่เคยให้ท้ายเสื้อแดงจึงยังพากันเงียบนิ่งสงบ จนลืมวาทะที่ตัวเองได้ช่วยกันยุยงให้คนชั้นล่างนึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจและวาสนาของตัวเองด้วยการขุดวาระไพร่ขึ้นมาปลุกปั่นถึงได้เงียบหายไปไม่ออกมาคัดง้างวาจาของทักษิณแม้แต่คนเดียว

หรือเพราะความจริงที่เขารับรู้อยู่แล้วก็คือว่ามวลชนของทักษิณนั้นเป็นเนื้อเดียวกับทักษิณ และเติบโตมาด้วยระบบหัวคะแนนของทักษิณ ไม่ใช่การลุกขึ้นทางชนชั้นแบบที่พวกเขาเคยวาดฝันเอาไว้

การเกิดขึ้นแล้วรวมตัวของคนเสื้อแดงนั้นต้องยอมรับว่า เป็นการจัดตั้งมวลชนขึ้นมาผ่านระบบหัวคะแนนเพื่อต่อสู้กับการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ถ้าเราจำได้เราจะเห็นภาพของมวลชนเสื้อแดงถือไม้ไปไล่ตีพันธมิตรฯในช่วงแรก ตั้งแต่การเริ่มต้นการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 วันนั้นมวลชนคนเสื้อแดงได้ไล่ทุบตีขว้างปามวลชนของพันธมิตรฯ จนหัวร้างข้างแตกและได้รับบาดเจ็บโดยมีตำรวจของระบอบทักษิณเป็นใจ

และการก่อตั้งมวลชนเสื้อแดงในรูปแบบอันธพาลทางการเมืองก็ก่อเกิดขึ้นทั่วประเทศมีการไล่ตีมวลชนพันธมิตรฯ ที่ไปเปิดเวทีปราศรัยในแทบทุกจังหวัด ทั้งที่อุดรธานี เชียงใหม่ ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ ฯลฯ และถ้าจะว่าไปแล้วการจัดตั้งมวลชนแบบนี้ได้เกิดขึ้นก่อนตั้งแต่การไปไล่รื้อเวทีของนายชวน หลีกภัย และพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยซ้ำไป

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าลักษณะการก่อเกิดของคนเสื้อแดงนั้นมิได้เกิดจากจิตสำนึกประชาธิปไตย แต่เกิดจากระบอบอุปถัมภ์และการกะเกณฑ์รับจ้างผ่านระบบหัวคะแนนในรูปแบบอันธพาลการเมืองโดยได้รับการคุ้มครองจากรัฐตำรวจของทักษิณ

เพราะเนื้อแท้ของคนเสื้อแดงเกิดจากระบอบทักษิณไม่ใช่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในความคิดของนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่หันมาสมาทานกับคนเสื้อแดงในระยะหลัง บางคนนั้นไม่ชอบที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเสื้อแดง ทั้งๆ ถ้าคิดว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ประชาธิปไตยก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอะไร

หลายคนเมื่อถูกวิจารณ์ว่าเป็นพวกเสื้อแดงก็จะหันมาตอบโต้ว่าใครเห็นต่างกับพันธมิตรฯ ก็ถูกยัดเยียดให้เป็นคนเสื้อแดง และจะแก้ตัวในท่วงทำนองว่า เขาเคยวิจารณ์ทักษิณมาก่อน โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมของทักษิณ ดังนั้นความคิดที่พยายามสนับสนุนแนวทางของคนเสื้อแดงกับการปฏิเสธเป็นคนเสื้อแดงจึงขัดแย้งกันอยู่ในตัว

แต่ผมคิดว่าจริงแล้วนักวิชาการที่ออกมาให้ท้ายคนเสื้อแดงซึ่งเป็นมวลชนของทักษิณ แต่ไม่ชอบให้เรียกตัวเองว่าเป็นคนเสื้อแดงและโกรธเมื่อถูกเรียกว่าเป็นพวกทักษิณและพยายามแก้ตัวอยู่เนืองๆ ว่าตัวเองวิจารณ์ระบอบทักษิณมาก่อนนั้น ก็รู้ตัวดีว่าจริงแล้วเป้าหมายของเขาและทักษิณในการเคลื่อนไหวมวลชนนั้นต่างกัน

เพียงแต่บางคนโดยเฉพาะพวกที่ชิงชังสถาบัน เช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ธงชัย วินิจจะกูล ฯลฯ ซึ่งพกเอาความแค้นเคืองจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ฝันว่า มวลชนเสื้อแดงนั้นคือ “กลุ่มคนที่มีมวลชนขนาดใหญ่ที่สุด” ที่กำลังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูปโครงสร้าง ทั้งโครงสร้างอำนาจทางการเมือง และสังคม

และเป้าหมายสำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงระบอบ

นักวิชาการพวกนี้มีแนวคิดว่า การใช้ทักษิณเป็นเครื่องมือเพื่อการเปลี่ยนระบอบและจากนั้นค่อยมาโค่นล้มทักษิณทีหลังนั้นง่ายกว่า

แต่พอทักษิณได้อำนาจรัฐคืนมาผ่านร่างทรงของน้องสาว (มีคนจำนวนหนึ่งบอกว่า จริงๆ แล้ว ทักษิณเลี้ยงปูมาเหมือนกับลูกสาวคนโต) สิ่งที่ทักษิณพยายามทำก็คือ การประสานอำนาจกับผู้มีบารมีในบ้านเมืองที่ฝ่ายสนับสนุนคนเสื้อแดงเรียกว่าศักดินาล้าหลัง และไม่ได้พูดถึงวาระไพร่กับอำมาตย์ที่พูดบนเวทีเสื้อแดงเลย นอกจากยัดเยียดนโยบายประชานิยมที่ทำให้คนชั้นล่างงอมืองอเท้าและกลายเป็นกลไกของระบบทุนนิยมสามานย์ในที่สุด

เอาเถอะอาจมีคนพยายามอธิบายเพื่อปลอบประโลมตัวเองว่า ทักษิณสรุปบทเรียนและต้องสร้างฐานอำนาจที่เข้มแข้งของตัวเองกลับคืนมาก่อนจึงค่อยลิดรอนอำนาจของอำมาตย์ในภายหลังซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องรอดูต่อไป แต่คนจำนวนมากบอกว่า ทักษิณคงไม่โง่หรอก วาทกรรมไพร่อำมาตย์บนเวทีเป็นเพียงยุทธวิธีที่จุดติดเท่านั้น และไม่ใช่สิ่งที่ทักษิณต้องรับผิดชอบอะไร เพราะทักษิณสู้เพียงเพื่อให้ได้อำนาจรัฐกลับคืนมา และใช้นโยบายประชานิยมเป็นขนมหวานให้ชนชั้นล่างต่อไปก็พอแล้ว

แถมทักษิณยังมีมวลชนมากพอที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่สถาบันทุกสถาบันของประเทศนี้ได้อีก เขาจึงฉลาดพอที่จะสรุปบทเรียนของตัวเองว่า จะรักษาผลประโยชน์ของตัวเองอย่างไร เพราะจริงๆ แล้วทักษิณไม่ใช่นักประชาธิปไตยเขาเป็นเพียงพ่อค้านายทุนที่คำนึงถึงผลประโยชน์มากกว่าอย่างอื่น

ผมคิดว่า ทักษิณรู้ดีว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้นั้นยังมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ถ้าเขายังคงใช้อำนาจรัฐอย่างเหิมเกริมต่อไป เขาก็จะได้รับบทเรียนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเขาอีก

แม้ทักษิณเคยมีพฤติกรรมชั่วร้ายเกินกว่าที่เราจะวางใจได้ แต่ผมคิดว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะไม่ยอมให้ทักษิณกระทำอะไรที่บั่นทอนสถาบันตลอดยุคสมัยอย่างแน่นอน

ความฝันของนักวิชาการบางคนที่คิดว่า จะใช้การลุกขึ้นของคนเสื้อแดงเพื่อทำให้โครงสร้างอำนาจพลิกกลับข้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปเป็นโครงสร้างอำนาจแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยของมหาประชาชนหรือระบอบประชาธิปไตยที่มีถ้อยคำหรูหราต่อท้ายเพื่อปลุกปั่นมวลชนออกมาตายสนองตัณหา และแรงอาฆาตของตัวเองนั้นเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น

ผมพูดมาทั้งหมดเพื่ออยากจะพูดว่า ความขัดแย้งรุนแรงของคนไทยที่สวมเสื้อสีต่างกันนั้น นอกจากเกิดจากความเหิมเกริมและกระหายอำนาจของทักษิณแล้ว นักวิชาการบางคนต่างหากที่ต้องรับผิดชอบต่อความตายและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมที่ผ่านมาด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น