ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ -ครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เริ่มเสียขวัญ หลังกลุ่มก่อความไม่สงบมุ่งเป้ากลับมาทำร้ายครูจนได้รับบาดเจ็บแล้วหลายราย ประธานสมพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกร้องรัฐบาลใหม่เร่งลงมาดูเป็นกรณีพิเศษ ส่วนมาตรการรปภ.ไม่บกพร่อง แต่ให้เจ้าหน้าที่วางแผนให้รัดกุมมากขึ้น ขณะที่กำลังทหารลุยตรวจ 5 เทือกเขาสำคัญแดนใต้มุ่งสลายฐานที่มั่นแนวร่วม
นายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุทำร้ายครูใน จ.ยะลา เมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) ตอนนี้ครูเริ่มวิตกกังวลอีกครั้งหลังจากที่ครูตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อความไม่สงบอีก ต่อจากนี้ไปทางสมาพันธ์ครูจะขอหารือร่วมกับหน่วยกำลังในพื้นที่อีกครั้ง และอยากจะให้รัฐบาลใหม่เร่งจัดโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะขณะนี้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดเกียร์ว่าง อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งลงมาดูแลเป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องขวัญกำลังใจ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับเพื่อขวัญกำลังใจแก่ครูในการปฏิบัติหน้าที่เสี่ยง
ส่วนมาตราการณ์ รปภ.ตอนนี้ ตนมองว่าไม่ได้บกพร่อง แต่อยากที่จะให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยกำลังมีการวางแผนให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการดึงผู้นำศาสนา ประชาชนละแวกโรงเรียน หรือระหว่างทางไปกลับโรงเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการระวังป้องกันเหตุให้มากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มเหล่านี้ถือเป็นกำลังอาสาหลักในการเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการระวังป้องกันเหตุที่จะได้ผลมากที่สุด
**ผอ.เขตฯยะลายันยังมั่นใจรปภ.ครู
นายประสิทธิ์ หนูกุ้ง ผู้อำนวยการการประถมศึกษายะลาเขต 1 กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายลอบวางระเบิดอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ชุดรักษาความปลอดภัยครูของโรงเรียนบ้านลิมุด ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา จนเป็นเหตุให้ อส.บาดเจ็บสาหัส 2 คน และครูได้รับบาดเจ็บ 5 คน เมื่อเช้าวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนได้เข้าเยี่ยมคณะครูที่ได้รับบาดเจ็บแล้วพบว่าครูทุกคนมีขวัญกำลังใจดี โดยขณะนี้ครูที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา 3 คน ส่วนครูอีก 2 คน แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้
ส่วนโรงเรียนนอกเขต อ.เมือง ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเช่นเดียวกันนั้น ตนได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การประถมศึกษาซึ่งรับผิดชอบแต่ละพื้นที่ออกตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจครูถี่ขึ้น และจากการที่ตนเรียกประชุมผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ อ.รามัน พบว่ายังคงเปิดทำการเรียนการสอนตามปกติ เนื่องจากเชื่อมั่นในระบบดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวดของตำรวจ ทหาร และอาสาสมัครรักษาดินแดน
สำหรับความคืบหน้าอาการบาดเจ็บของ อส.อุสมาน มะเซ็งบางี อายุ 23 ปี และ อส.ปรีชา มะยุ อายุ 37 ปี ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณลำตัวและขานั้น ขณะนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ส่วนครูที่ได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ นางกัลยา บุญยอด อายุ 53 ปี มีบาดแผลที่บริเวณขาซ้าย หูอื้อ และมีอาการแน่นหน้าอก นางจินตนา บุญสนอง อายุ 58 ปี และนางวัชรี ปูชพันธ์ อายุ 59 ปี มีอาการ หูอื้อ และแน่นหน้าอก ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพาบาลเช่นกัน ส่วนครูอีก 2 ราย ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านพักแล้ว
**ทหารลุยตรวจ5เทือกเขาฐานที่มั่นแนวร่วม
พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รอง ผอ.กอ.รมน.ภ.4 ส่วนหน้า กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบที่กลุ่มคนร้ายยังคงความพยายามก่อเหตุเพื่อทำลายขวัญของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ยังคงต้องทำหน้าที่สร้างความเชื่อมั่น และดุแลความปลอดภัยทุกเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่มีความเปราะบางทางความรู้สึกอย่างเต็มกำลัง ขณะเดียวกันงานเชิงรุกก็ยังคงต้องดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสลายแหล่งที่พัก กบดาน ที่ซ่องสุมของแนวร่วมและผู้ก่อเหตุ
โดยเฉพาะเป้าหมายหลักในการกดดันกลุ่มแนวร่วม และผู้ก่อเหตุความไม่สงบ คือ การตรวจสอบ ตรวจค้นพื้นที่แนวป่าเขาในเขตเทือกเขาสำคัญ 5แห่ง ประกอบด้วย เทือกเขาตะเว, เทือกเขาเมาะแต ,เทือกเขากูดง ,เทือกเขากูนุงจอนอง และเทือกเขาบูโด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจากการปฏิบัติการในเขตดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถทลายแหล่งซุกซ่อนอาวุธ สถานที่ฝึก เสบียง ยาเวชภัณฑ์ ได้เป็นจำนวนมาก และยังเกิดการปะทะกับแนวร่วมที่เคลื่อนไหวเพื่อหาโอกาสลอบก่อเหตุสร้างสถานการณ์มาแล้วหลายครั้งจนนำมาซึ่งการยึดและจับกุมผู้ต้องสงสัยได้จำนวนหนึ่ง
"เทือกเขาตะเว เทือกเขาเมาะแต รวมถึงบูโด มักปรากฏให้เป็นข่าวอยู่เสมอกับกรณีการตรวจพบแหล่งฝึก อาวุธและเวชภัณฑ์ของผู้ไม่ประสงค์ดี อีกทั้งยังเป็นข่าวการปะทะอีกหลายหน รวมไปถึงเทือกเขากูดง และเทือกเขากูนุงจอนอง เจ้าหน้าที่ก็พบการเคลื่อนไหวของแนวร่วมในลักษณะเดียวกัน จึงจำเป็นต้องเปิดปฏิบัติการเอกซเรย์เพื่อพิสูจน์ทราบและนำไปสู่การแก้ไขและป้องกันปัญหาความไม่สงบ”
พล.ต.อัคร กล่าวต่อว่า ปฏิบัติการครั้งนี้จะเริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก.ค.-ก.ย. โดยหวังจะกดดัน และจำกัดพื้นที่เคลื่อนไหวแนวร่วม โดยภารกิจครั้งนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่4 ได้เน้นยำและกำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ให้ความยุติธรรม และคุ้มครองพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ไม่หใตกเป็นเครื่องมือของแกนนำหรือขบวนการที่ไม่หวังดีในการพยายามชักจูงเยาวชนให้หลงผิดเข้าร่วมก่อเหตุ
นายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยว่า หลังจากเกิดเหตุทำร้ายครูใน จ.ยะลา เมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) ตอนนี้ครูเริ่มวิตกกังวลอีกครั้งหลังจากที่ครูตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มก่อความไม่สงบอีก ต่อจากนี้ไปทางสมาพันธ์ครูจะขอหารือร่วมกับหน่วยกำลังในพื้นที่อีกครั้ง และอยากจะให้รัฐบาลใหม่เร่งจัดโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะขณะนี้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดเกียร์ว่าง อยากให้รัฐบาลใหม่เร่งลงมาดูแลเป็นกรณีพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องขวัญกำลังใจ ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับเพื่อขวัญกำลังใจแก่ครูในการปฏิบัติหน้าที่เสี่ยง
ส่วนมาตราการณ์ รปภ.ตอนนี้ ตนมองว่าไม่ได้บกพร่อง แต่อยากที่จะให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยกำลังมีการวางแผนให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการดึงผู้นำศาสนา ประชาชนละแวกโรงเรียน หรือระหว่างทางไปกลับโรงเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการระวังป้องกันเหตุให้มากยิ่งขึ้น เพราะกลุ่มเหล่านี้ถือเป็นกำลังอาสาหลักในการเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในการระวังป้องกันเหตุที่จะได้ผลมากที่สุด
**ผอ.เขตฯยะลายันยังมั่นใจรปภ.ครู
นายประสิทธิ์ หนูกุ้ง ผู้อำนวยการการประถมศึกษายะลาเขต 1 กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายลอบวางระเบิดอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ชุดรักษาความปลอดภัยครูของโรงเรียนบ้านลิมุด ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา จนเป็นเหตุให้ อส.บาดเจ็บสาหัส 2 คน และครูได้รับบาดเจ็บ 5 คน เมื่อเช้าวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ตนได้เข้าเยี่ยมคณะครูที่ได้รับบาดเจ็บแล้วพบว่าครูทุกคนมีขวัญกำลังใจดี โดยขณะนี้ครูที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยได้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา 3 คน ส่วนครูอีก 2 คน แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้
ส่วนโรงเรียนนอกเขต อ.เมือง ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยเช่นเดียวกันนั้น ตนได้มอบหมายให้รองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การประถมศึกษาซึ่งรับผิดชอบแต่ละพื้นที่ออกตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจครูถี่ขึ้น และจากการที่ตนเรียกประชุมผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ อ.รามัน พบว่ายังคงเปิดทำการเรียนการสอนตามปกติ เนื่องจากเชื่อมั่นในระบบดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวดของตำรวจ ทหาร และอาสาสมัครรักษาดินแดน
สำหรับความคืบหน้าอาการบาดเจ็บของ อส.อุสมาน มะเซ็งบางี อายุ 23 ปี และ อส.ปรีชา มะยุ อายุ 37 ปี ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณลำตัวและขานั้น ขณะนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ส่วนครูที่ได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ นางกัลยา บุญยอด อายุ 53 ปี มีบาดแผลที่บริเวณขาซ้าย หูอื้อ และมีอาการแน่นหน้าอก นางจินตนา บุญสนอง อายุ 58 ปี และนางวัชรี ปูชพันธ์ อายุ 59 ปี มีอาการ หูอื้อ และแน่นหน้าอก ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพาบาลเช่นกัน ส่วนครูอีก 2 ราย ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านพักแล้ว
**ทหารลุยตรวจ5เทือกเขาฐานที่มั่นแนวร่วม
พล.ต.อัคร ทิพโรจน์ รอง ผอ.กอ.รมน.ภ.4 ส่วนหน้า กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบที่กลุ่มคนร้ายยังคงความพยายามก่อเหตุเพื่อทำลายขวัญของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร ยังคงต้องทำหน้าที่สร้างความเชื่อมั่น และดุแลความปลอดภัยทุกเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่มีความเปราะบางทางความรู้สึกอย่างเต็มกำลัง ขณะเดียวกันงานเชิงรุกก็ยังคงต้องดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสลายแหล่งที่พัก กบดาน ที่ซ่องสุมของแนวร่วมและผู้ก่อเหตุ
โดยเฉพาะเป้าหมายหลักในการกดดันกลุ่มแนวร่วม และผู้ก่อเหตุความไม่สงบ คือ การตรวจสอบ ตรวจค้นพื้นที่แนวป่าเขาในเขตเทือกเขาสำคัญ 5แห่ง ประกอบด้วย เทือกเขาตะเว, เทือกเขาเมาะแต ,เทือกเขากูดง ,เทือกเขากูนุงจอนอง และเทือกเขาบูโด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจากการปฏิบัติการในเขตดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถทลายแหล่งซุกซ่อนอาวุธ สถานที่ฝึก เสบียง ยาเวชภัณฑ์ ได้เป็นจำนวนมาก และยังเกิดการปะทะกับแนวร่วมที่เคลื่อนไหวเพื่อหาโอกาสลอบก่อเหตุสร้างสถานการณ์มาแล้วหลายครั้งจนนำมาซึ่งการยึดและจับกุมผู้ต้องสงสัยได้จำนวนหนึ่ง
"เทือกเขาตะเว เทือกเขาเมาะแต รวมถึงบูโด มักปรากฏให้เป็นข่าวอยู่เสมอกับกรณีการตรวจพบแหล่งฝึก อาวุธและเวชภัณฑ์ของผู้ไม่ประสงค์ดี อีกทั้งยังเป็นข่าวการปะทะอีกหลายหน รวมไปถึงเทือกเขากูดง และเทือกเขากูนุงจอนอง เจ้าหน้าที่ก็พบการเคลื่อนไหวของแนวร่วมในลักษณะเดียวกัน จึงจำเป็นต้องเปิดปฏิบัติการเอกซเรย์เพื่อพิสูจน์ทราบและนำไปสู่การแก้ไขและป้องกันปัญหาความไม่สงบ”
พล.ต.อัคร กล่าวต่อว่า ปฏิบัติการครั้งนี้จะเริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก.ค.-ก.ย. โดยหวังจะกดดัน และจำกัดพื้นที่เคลื่อนไหวแนวร่วม โดยภารกิจครั้งนี้ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่4 ได้เน้นยำและกำชับให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมาย ให้ความยุติธรรม และคุ้มครองพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ไม่หใตกเป็นเครื่องมือของแกนนำหรือขบวนการที่ไม่หวังดีในการพยายามชักจูงเยาวชนให้หลงผิดเข้าร่วมก่อเหตุ