xs
xsm
sm
md
lg

อุตฯเฟอร์ฯมึนค่าแรง300บาท ขอรบ.ชัดเจน-แนะขึ้นต้นปี56

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ วอนรัฐบาล ชัดเจนนทำนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาท หวั่นปรับตัวไม่ทันในช่วงสั้น เหตุต้นทุนทั้งของบริษัทบวกผู้ผลิตวัตถุดิบเพิ่มกว่า 20% แนะหากเริ่มจริงจังปี 56 น่าจะเหมาะสม เผยแผนธุรกิจ 2 ปีข้างหน้าลงทุน 150-200 ล้าน สร้างโรงงาน ขยายกำลังผลิตอีก 40-45% รับการเติบโต ลดข้อจำกัดเรื่องกำลังผลิตที่ใกล้จะเต็ม แย้มหากบาทแข็งต่อเนื่อง อาจเพิ่มพอร์ตขยายตลาดในประเทศเป็น 90%

นายวิรัตน์ โรจยารุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.ซี.เอฟ.อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ จำกัด ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้และเหล็ก ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SURE” ซึ่งดำเนินธุรกิจในกลุ่มของผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศมากว่า 40 ปี กล่าวยอมรับว่า เรื่องการเพิ่มค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวันนั้น ตรงนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของบริษัทและต้นทุนของผู้ผลิตวัตถุดิบที่ป้อนให้แก่บริษัทฯ โดยตัวเลขต้นทุนที่จะเพิ่มขึ้นน่าจะไม่ต่ำกว่า 20%

ดังนั้น หากรัฐบาลใหม่ต้องการที่จะดำเนินนโยบายค่าแรงอย่างจริงจัง ก็คงหลีกเลี่ยงผลกระทบอย่างมีนัยยะกับผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดใหญ่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กที่จะเสียเปรียบรายใหญ่ที่มีกำลัง และความพร้อมที่จะลงทุนในเรื่องเทคโนโลยี

“ เราไม่ติดปัญหาเรื่องค่าแรง แต่บังเอิญเป็นการปรับตัวที่เร็วอย่างมากในช่วงเวลาอันสั้น แน่นอน เอกชนต้องปรับตัว เพราะขณะนี้เรื่องแรงงานขาดแคลนยังมีอยู่ สุดท้ายก็ต้องปรับค่าแรง แต่สิ่งที่รัฐบาลใหม่ยังไม่พูด ก็คือ เงินเฟ้อจากผลของนโยบาย 300 บาท ตรงนี้ต้องดูท่าทีของทางธนาคารแห่งประเทศไทย จะโอเคหรือเปล่า ตรงนี้ ทางธปท.ควรให้ความเห็นด้วยว่าแล้วผลกระทบจากนโยบายไปมีผลต่อดอกเบี้ยนโยบายถึงระดับใด อย่างไรก็ตาม ความเห็นของตนแล้ว หากเริ่มต้นปี 56 น่าจะเหมาะสม “ นายวิรัตน์ กล่าวและเชื่อว่า ทุกๆนโยบายเป็นเรื่องที่ดี หากผลลัพธ์ไม่ทำให้ผู้ประกอบการปิดกิจการ ปลดแรงงาน เกิดปัญหาหนี้เสียเป็นจำนวนมาก ก็ถือว่ามาถูกทาง เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ และแม้แต่อุตสาหกรรมสิ่งทอ ค่อนข้างมีความอ่อนไหวในเรื่องค่าแรง

นายวิรัตน์ กล่าวถึงแนวทางดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า ทางบริษัทฯตั้งเป้ารายได้จากการขายเฟอร์นิเจอร์ประมาณ 470 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 53 ที่มีรายได้ประมาณ 410 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขเป้าหมายในปีนี้ ค่อนข้างจะมีผลต่อกำลังการผลิตรวมของบริษัทฯที่หากทำเต็มกำลังผลิตจะมีตัวเลขอยู่ที่ 550 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง ทางบริษัทฯเตรียมลงทุนอีก 150-200 ล้านบาทในช่วงปี 55-56 โดยก่อสร้างอาคารใหม่มีพื้นที่ 8,000 ตร.ม.และเพิ่มเครื่องจักร ทำให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 40-45%

ในส่วนของการขายนั้น สามารถแยกเป็นตลาดในประเทศ 85% และต่างประเทศ 15% โดยช่องทางการทำตลาดจะมีทั้งการรับจ้างผลิต(OEM) ให้แก่โมเดิร์นเทรด เช่น โฮมโปร และ แม็คโคร เป็นต้น มีการขายผ่านโครงการในสัดส่วน 20% เช่น โครงการที่เริ่มกับบริษัทแอล.พี.เอ็น.ดีเวลล็อปเม้นต์ จำกัด (มหาชน) ส่วนตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯมีประมาณ 260 แห่งทั่วประเทศ โดยยังไม่มีนโยบายในการเพิ่มตัวแทน แต่จะไปเน้นการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น อย่างไรก็ดี ในด้านของการส่งออกนั้น การที่เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ในรูปเงินบาทลดลง และเพื่อลดผลกระทบ ต้องไปขยับสัดส่วนการขายในประเทศ ซึ่งอาจจะแตะระดับ 90%
กำลังโหลดความคิดเห็น