xs
xsm
sm
md
lg

ผลถก กกร.นัดพิเศษ ค้านค่าแรง 300 ผวาปลดคนงาน 15% ขึ้นราคาสินค้า 10%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เผยที่ประชุม กกร.นัดพิเศษ มีมติค้านปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท/วัน ระบุ ผลสำรวจผู้ประกอบการ 85% มีแนวโน้มปลดคนงานออก 15% และขึ้นราคาสินค้าอีก 10% หอการค้าฯ คาด เม็ดเงินลงทุนลดวูบแสนล้านบาท ต่างชาติย้ายฐานผลิต แนะปล่อยตามกลไกตลาด
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร). นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ของรัฐบาลชุดใหม่ ว่า ภาคเอกชนเห็นความสำคัญของแรงงาน โดยเฉพาะความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิต แต่การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ผู้ประกอบการ แรงงาน และประชาชน อยู่รวมกันได้อย่างสมดุล

ดังนั้น กกร.จึงยืนยันข้อเสนอเดิม คือ ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ เพราะจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ, การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นไปตามกลไกตลาด และเป็นไปตามกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง และหากรัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน รัฐบาลก็ควรหาแนวทางจ่ายส่วนต่างของค่าจ้างดังกล่าว โดยระบุว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่ กกร.ก็จะยื่นข้อเสนอนี้ทันที

ประธาน ส.อ.ท.กล่าวอีกว่า ในการสำรวจผลกระทบการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวันจากผู้ประกอบการในภาพรวม พบว่า ผู้ประกอบการ 60-70% จะมีผลกระทบปานกลางถึงกระทบมาก และยังพบว่าผู้ประกอบการ 85% ระบุว่า อาจจำเป็นต้องปลดคนงานออก 15% นอกจากนี้การปรับขึ้นค่าแรงในระดับดังกล่าว จะกระทบต้นทุนจนผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าขึ้นอีก 10%

ด้าน นายดุสิต นนทนาคร ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า มีความกังวลกับนโยบายดังกล่าว ซึ่งแม้ภาคเอกชนจะเห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่รัฐบาลควรจะดำเนินการในระดับที่เหมาะสม เพราะในระยะสั้นจะส่งผลกระทบทำให้ธุรกิจของประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นกิจการขนาดกลางขนาดเล็ก (SMEs) ได้รับผลกระทบอย่างมากจากนโยบายนี้ อีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่กว่า 90% ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนดังกล่าวที่เพิ่มขึ้นได้

ส่วนผลกระทบระยะยาวจะทำให้ค่าจ้างแรงงานของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในการดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีเงินลงทุนประมาณ 3-4 แสนล้านบาท เพราะหากปรับขึ้นค่าแรงในอัตราดังกล่าว อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านแทน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และทำให้เงินลงทุนของไทยหายไปถึง 25% หรือประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นกระทบไปถึงราคาสินค้าที่จะปรับตัวสูงขึ้นตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น