ASTVผู้จัดการรายวัน – “เอฟแอนด์เอ็น” จับตานโยบาย ขึ้นค่าแรง 300 บาท เหตุพรรคเพื่อไทยยังไม่ชัดเจน ยืนยันลงทุนในไทยต่อเนื่อง หลังบริษัทแม่ดันไทยเป็นฮับ อินโดจีน ชูโรงงานที่นิคมอุตฯโรจนะเป็นฐานผลิตใหญ่ ยันยังมุ่งไทยเป็นหลัก ไม่ปรับสัดส่วนรายได้ส่งออกเพิ่มขึ้น
นายสมศักดิ์ ชายะพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดนมข้นหวานภายใต้แบรนด์ ตราหมี, นมพร้อมดื่ม ไมโลฯ เปิดเผยถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทของพรรคเพื่อไทย ว่า บริษัทฯต้องการรอดูความชัดเจนของนโยบายดังกล่าวก่อนประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้า เพราะภาครัฐยังไม่มีข้อสรุปออกมาแต่อย่างใด โดยอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเรื่องดังกล่าวอยู่ ว่าบริษัทจะต้องมีการบริหารจัดการอย่างไรต่อไป และเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถบริหารจัดการเรื่องดังกล่าวได้
เช่นเดียวกับ นโยบายค่าเงินบาทของรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะใช้เงินบาทแข็งค่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทเช่นกัน เพราะนโยบายของแต่ละบริษัทมีเป้าหมายส่งออกที่แตกต่างกัน และเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจริง ทุกบริษัทจะสามารถบริหารจัดการได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังลงทุนในไทยต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯแม่ได้ยกให้ประเทศไทยเป็นฮับของตลาดอินโดจีน เนื่องจากไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและเติบโตได้อีกมาก จากการบริโภคนมข้นหวานของไทยยังต่ำอยู่มากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านเช่น มาเลเซียที่มีอัตราประชากรเพียง 20 ล้านคนน้อยกว่าไทยที่มีถึง 60 กว่าล้านคน และไทยมีอัตราการขยายตัวด้านเศรษฐกิจหรือจีดีพี 4-5%
ทั้งนี้บริษัทฯได้กำหนดให้โรงงานแห่งใหม่ที่ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.อยุธยา ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มนมประเภทกระป๋อง ทั้งนมสด นมข้นหวาน และนมพลาสเจอไรซ์ ที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโรงงานผลิตกระป๋องทั่วโลก และเป็นโรงงานที่ใหญ่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานแห่งอื่นของบริษัทแม่ ให้เป็นศูนย์กลางส่งออกสินค้า (ฮับ) ของบริษัทเพื่อป้อนสินค้าให้กับภูมิภาคอินโดจีนและตลาดไทย และรองกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยในปัจจุบันมีกำลังการผลิต 1,200 กระป๋องต่อปี หรือ 3.5 ล้านกระป๋องต่อวัน
“ตลาดอินโดจีนรวม พม่า และไทย มียอดขายเติบโตเร็วมาก 8-10% ทุกปี มีประชากรรวมกันสูงถึง 200 ล้านคน ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายได้ในอนาคต โดยที่ผ่านมา สินค้าที่สร้างยอดขายเติบโตได้ดีในประเทศกัมพูชาคือ นมสเตอริไลส์ ส่วนที่พม่า พบว่านมข้นหวานขายดีมาก เป็นต้น”
บริษัทฯตั้งเป้าหมายอีก 5 ปีจากนี้ จะมีรายได้สูงถึง 20,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2554 จะมียอดขายเติบโต 15% จากปี 2553 ที่มียอดขาย 10,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ในประเทศ 66% ซึ่งหลักๆมาจากนมข้นหวานและนมข้นจืด 30% นมสเตอริไลส์ตราหมี 30% และนมยูเอชที 30% ส่วนที่เหลือเป็นสินค้ากลุ่มอื่นๆ
นายสมศักดิ์ ชายะพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟแอนด์เอ็น แดรี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดนมข้นหวานภายใต้แบรนด์ ตราหมี, นมพร้อมดื่ม ไมโลฯ เปิดเผยถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทของพรรคเพื่อไทย ว่า บริษัทฯต้องการรอดูความชัดเจนของนโยบายดังกล่าวก่อนประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้า เพราะภาครัฐยังไม่มีข้อสรุปออกมาแต่อย่างใด โดยอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเรื่องดังกล่าวอยู่ ว่าบริษัทจะต้องมีการบริหารจัดการอย่างไรต่อไป และเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถบริหารจัดการเรื่องดังกล่าวได้
เช่นเดียวกับ นโยบายค่าเงินบาทของรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะใช้เงินบาทแข็งค่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทเช่นกัน เพราะนโยบายของแต่ละบริษัทมีเป้าหมายส่งออกที่แตกต่างกัน และเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจริง ทุกบริษัทจะสามารถบริหารจัดการได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังลงทุนในไทยต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯแม่ได้ยกให้ประเทศไทยเป็นฮับของตลาดอินโดจีน เนื่องจากไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและเติบโตได้อีกมาก จากการบริโภคนมข้นหวานของไทยยังต่ำอยู่มากเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านเช่น มาเลเซียที่มีอัตราประชากรเพียง 20 ล้านคนน้อยกว่าไทยที่มีถึง 60 กว่าล้านคน และไทยมีอัตราการขยายตัวด้านเศรษฐกิจหรือจีดีพี 4-5%
ทั้งนี้บริษัทฯได้กำหนดให้โรงงานแห่งใหม่ที่ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.อยุธยา ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเครื่องดื่มนมประเภทกระป๋อง ทั้งนมสด นมข้นหวาน และนมพลาสเจอไรซ์ ที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโรงงานผลิตกระป๋องทั่วโลก และเป็นโรงงานที่ใหญ่สุดเมื่อเทียบกับโรงงานแห่งอื่นของบริษัทแม่ ให้เป็นศูนย์กลางส่งออกสินค้า (ฮับ) ของบริษัทเพื่อป้อนสินค้าให้กับภูมิภาคอินโดจีนและตลาดไทย และรองกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 โดยในปัจจุบันมีกำลังการผลิต 1,200 กระป๋องต่อปี หรือ 3.5 ล้านกระป๋องต่อวัน
“ตลาดอินโดจีนรวม พม่า และไทย มียอดขายเติบโตเร็วมาก 8-10% ทุกปี มีประชากรรวมกันสูงถึง 200 ล้านคน ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายได้ในอนาคต โดยที่ผ่านมา สินค้าที่สร้างยอดขายเติบโตได้ดีในประเทศกัมพูชาคือ นมสเตอริไลส์ ส่วนที่พม่า พบว่านมข้นหวานขายดีมาก เป็นต้น”
บริษัทฯตั้งเป้าหมายอีก 5 ปีจากนี้ จะมีรายได้สูงถึง 20,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2554 จะมียอดขายเติบโต 15% จากปี 2553 ที่มียอดขาย 10,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น ในประเทศ 66% ซึ่งหลักๆมาจากนมข้นหวานและนมข้นจืด 30% นมสเตอริไลส์ตราหมี 30% และนมยูเอชที 30% ส่วนที่เหลือเป็นสินค้ากลุ่มอื่นๆ