ASTVผู้จัดการรายวัน-นักวิเคราะห์ค้านปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ-เงินเดือนป.ตรี 1.5 หมื่นบาท พร้อมมั่นใจสเถียรภาพรัฐบาลใหม่ ล่าสุดปรับเพิ่มเป้าดัชนีปีนี้เป็น 1,197 จุด “สมบัติ”ชี้ หากก.ก.ต.ใช้เวลารับรอง “ยิ่งลักษณ์”นานเกิน 45 วัน ส่งผลกระทบนักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นจนทิ้งหุ้นไทย พร้อมแนะนักลงทุนระยะสั้นระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น ล่าสุดวานนี้ดัชนีหุ้นไทยรีบาวน์15 จุด ขานรับความหวังมาตรการQE3
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจนักวิเคราะห์ครั้งที่ 2/2554 ว่า นักวิเคราะห์มีความใจในความมั่นคงของรัฐบาลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ถึง 90% จากที่ได้รับคะแนนเสียงการเลือกตั้งข้างมาก แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐและเอเซีย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ และการอุปโภคบริโภคการใช้จ่ายและการลงทุนของเอกชนและกำไรของบจ.ที่เติบโตเพิ่มขึ้น ทำให้มีการปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ปิดที่ 1,197 จุด จากสำรวจครั้งก่อนที่ 1,181 จุด
ทั้งมองว่ากรอบการเคลื่อนไหวดัชนีในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ในกรอบ 995-1,221 จุด ซึ่งอาจปรับตัวต่ำสุดที่ระดับ 995 จุด เพราะมีปัจจัยที่ยังกดดันการลงทุนอยู่ นั่นคือ ปัญหาหนี้สาธารณะยุโรป อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองภายในที่มีความไม่แน่นอน รวมถึงดอกเบี้ยขาขึ้น ที่คาดว่าสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 3.6% ซึ่งคาดว่าปีนี้จะอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นได้อีก 1-2 ครั้ง และคาดว่าปีนี้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.1%
นอกจากนี้นักวิเคราะห์คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการซื้อสุทธิในช่วงครึ่งปีหลัง (1ก.ค.-30 ธ.ค.)เฉลี่ย 34,571 ล้านบาท เพราะมั่นใจเรื่องปัจจัยการเมืองหลังจากผ่านการเลือกตั้งและนโยบายของรับบาลใหม่จะกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ด้วยการเพิ่มรายได้ให้กับรากหญ้า ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศคาดว่าจะซื้อสุทธิเฉลี่ย 18,286 ล้านบาท และคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโต 4.3% ซึ่งใกล้เคียงกับผลการสำรวจครั้งก่อนที่โตเฉลี่ย4.4%
นายสมบัติ กล่าวว่า การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนักวิเคราะห์แนะนำให้มีการการะจายการลงทุน คือลงทุนในหุ้นและกองทุนหุ้นในประเทศ สัดส่วน 50% ลงทุนในทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์ส 13% ตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ 19% เงินสดและเงินฝาก 11% และอื่นๆเช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนน้ำมัน สินค้าเกษตร 3%
สำหรับ นักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ควรลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผลสูง กว่าอัตราเงินเฟ้อ มีสถานะการเงินที่ดี หนี้สินต่ำ ควรทยอยสะสมในช่วงตลาดปรับฐานหรือช่วงราคาหุ้นปรับตัวลดลง ควรเลือหหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศแต่ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งในประเทศและต่างประเทศใก้ลชิด ส่วนนักลงทุนระยะสั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น
ส่วนนโยบายของรับบาลใหม่ที่นักวิเคราะห์เห็นด้วยที่จะให้มีการดำเนินการเรื่องการลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เช่นการลงทุนรถไฟฟ้า รถไฟฟ้ารางคู่ การลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23%และปีหน้าเหลือ 20% แต่ไม่เห็นด้วยในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เงินเดือนเริ่มต้นของป.ตรีที่ 15,000 บาท และการยกเลิกกองทุนน้ำมัน เพราะจะทำให้ต้นทุนเพิ่ม พร้อมเสนอให้ทยอยปรับขึ้นค่าแรงให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ส่วนเงินเดือนป.ตรีควรอยู่ที่ความรู้ความสามารถและกลไกตลาด ส่วนเรื่องการยกเลิกกองทุนน้ำมันจะมีผลกระทบหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและรับอาจต้องแบกภาระในส่วนดังกล่าว
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ได้มีข้อเสนอใหม่ให้รัฐบาลใหม่นำไปดำเนินการ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทย คือ 1นโยบายด้านภาษี โดยปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย ผลักดันภาษีที่ดินภาษีมรดก2.นโยบายด้านการศึกษา โดยวางรากฐานการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง พัฒนาศูนย์ความรู้ไปยังภูมิภาค สนับสนุนเงินเพื่อการศึกษา 3. นโยบายด้านแรงงาน โดยพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สูงขึ้น เพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบประกันสังคม ปรับค่าแรงขั้นต่ำแบบค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยังไม่รับรองผลการเลือกตั้งได้95% ภายใน 45 วัน และยังไม่รับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.)ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากเป็นส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย โดยหาก ก.ก.ต.ใช้เวลานานกว่า 45 วัน อาจจะทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศมีความกังวลอาจเกิดความผิดปกติเกิดขึ้น จึงทำให้อาจมีการเขียนบทวิเคราะห์ออกมาในทิศทางลบทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีแรงแทขายหุ้นไทยออกมา โดยทางก.ก.ต.ควรที่จะเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
***หุ้นไทยรีบาวน์15จุด
ขณะเดียวกันวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,077.40 จุด เพิ่มขึ้น 15.01 จุด หรือ 1.41% มูลค่าการซื้อขาย 20,635 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวในทิศทางบวกเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ที่ความหวังมาตรการ QE3 จะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐให้กลับมา
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้ (13ก.ค.) บวกแรงทิศทางเดียวกับภูมิภาคปัจจัยหลัก QE3 เป็นความหวังน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่ซบเซาให้กลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังแฝงไว้ด้วยความเสี่ยงจากเรื่องยุโรปที่จะต้องตามดูประชุมสุดยอดผู้นำของยุโรปวันศุกร์นี้ผลจะเป็นยังไงทำให้ทิศทางวันนี้(14ก.ค.) การเคลื่อนไหวของดัชนียังอยู่ในกรอบ1,080-1,090 จุด แนวรับ 1,070 และ 1,060 ตราบใดที่ปัจจัยในตลาดยังเป็นเรื่องอเมริกา ยุโรป จีน และจับตารัฐบาลไทย ถ้าไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ดัชนีน่าจะวิ่งในกรอบนี้
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยถึงผลสำรวจนักวิเคราะห์ครั้งที่ 2/2554 ว่า นักวิเคราะห์มีความใจในความมั่นคงของรัฐบาลเกี่ยวกับเสถียรภาพของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ถึง 90% จากที่ได้รับคะแนนเสียงการเลือกตั้งข้างมาก แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐและเอเซีย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ และการอุปโภคบริโภคการใช้จ่ายและการลงทุนของเอกชนและกำไรของบจ.ที่เติบโตเพิ่มขึ้น ทำให้มีการปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ปิดที่ 1,197 จุด จากสำรวจครั้งก่อนที่ 1,181 จุด
ทั้งมองว่ากรอบการเคลื่อนไหวดัชนีในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ในกรอบ 995-1,221 จุด ซึ่งอาจปรับตัวต่ำสุดที่ระดับ 995 จุด เพราะมีปัจจัยที่ยังกดดันการลงทุนอยู่ นั่นคือ ปัญหาหนี้สาธารณะยุโรป อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และสถานการณ์ทางการเมืองภายในที่มีความไม่แน่นอน รวมถึงดอกเบี้ยขาขึ้น ที่คาดว่าสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 3.6% ซึ่งคาดว่าปีนี้จะอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นได้อีก 1-2 ครั้ง และคาดว่าปีนี้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4.1%
นอกจากนี้นักวิเคราะห์คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการซื้อสุทธิในช่วงครึ่งปีหลัง (1ก.ค.-30 ธ.ค.)เฉลี่ย 34,571 ล้านบาท เพราะมั่นใจเรื่องปัจจัยการเมืองหลังจากผ่านการเลือกตั้งและนโยบายของรับบาลใหม่จะกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ด้วยการเพิ่มรายได้ให้กับรากหญ้า ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศคาดว่าจะซื้อสุทธิเฉลี่ย 18,286 ล้านบาท และคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโต 4.3% ซึ่งใกล้เคียงกับผลการสำรวจครั้งก่อนที่โตเฉลี่ย4.4%
นายสมบัติ กล่าวว่า การลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนักวิเคราะห์แนะนำให้มีการการะจายการลงทุน คือลงทุนในหุ้นและกองทุนหุ้นในประเทศ สัดส่วน 50% ลงทุนในทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์ส 13% ตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้ 19% เงินสดและเงินฝาก 11% และอื่นๆเช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนน้ำมัน สินค้าเกษตร 3%
สำหรับ นักลงทุนระยะกลางและระยะยาว ควรลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี มีปันผลสูง กว่าอัตราเงินเฟ้อ มีสถานะการเงินที่ดี หนี้สินต่ำ ควรทยอยสะสมในช่วงตลาดปรับฐานหรือช่วงราคาหุ้นปรับตัวลดลง ควรเลือหหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศแต่ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งในประเทศและต่างประเทศใก้ลชิด ส่วนนักลงทุนระยะสั้นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น
ส่วนนโยบายของรับบาลใหม่ที่นักวิเคราะห์เห็นด้วยที่จะให้มีการดำเนินการเรื่องการลงทุนในสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เช่นการลงทุนรถไฟฟ้า รถไฟฟ้ารางคู่ การลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 23%และปีหน้าเหลือ 20% แต่ไม่เห็นด้วยในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน เงินเดือนเริ่มต้นของป.ตรีที่ 15,000 บาท และการยกเลิกกองทุนน้ำมัน เพราะจะทำให้ต้นทุนเพิ่ม พร้อมเสนอให้ทยอยปรับขึ้นค่าแรงให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ ส่วนเงินเดือนป.ตรีควรอยู่ที่ความรู้ความสามารถและกลไกตลาด ส่วนเรื่องการยกเลิกกองทุนน้ำมันจะมีผลกระทบหากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและรับอาจต้องแบกภาระในส่วนดังกล่าว
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ได้มีข้อเสนอใหม่ให้รัฐบาลใหม่นำไปดำเนินการ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทย คือ 1นโยบายด้านภาษี โดยปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล และเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย ผลักดันภาษีที่ดินภาษีมรดก2.นโยบายด้านการศึกษา โดยวางรากฐานการศึกษาให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง พัฒนาศูนย์ความรู้ไปยังภูมิภาค สนับสนุนเงินเพื่อการศึกษา 3. นโยบายด้านแรงงาน โดยพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้สูงขึ้น เพิ่มสิทธิประโยชน์ในระบบประกันสังคม ปรับค่าแรงขั้นต่ำแบบค่อยเป็นค่อยไป
อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยังไม่รับรองผลการเลือกตั้งได้95% ภายใน 45 วัน และยังไม่รับรองการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.)ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากเป็นส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย โดยหาก ก.ก.ต.ใช้เวลานานกว่า 45 วัน อาจจะทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเทศมีความกังวลอาจเกิดความผิดปกติเกิดขึ้น จึงทำให้อาจมีการเขียนบทวิเคราะห์ออกมาในทิศทางลบทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีแรงแทขายหุ้นไทยออกมา โดยทางก.ก.ต.ควรที่จะเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
***หุ้นไทยรีบาวน์15จุด
ขณะเดียวกันวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,077.40 จุด เพิ่มขึ้น 15.01 จุด หรือ 1.41% มูลค่าการซื้อขาย 20,635 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับตัวในทิศทางบวกเช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ที่ความหวังมาตรการ QE3 จะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐให้กลับมา
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้ (13ก.ค.) บวกแรงทิศทางเดียวกับภูมิภาคปัจจัยหลัก QE3 เป็นความหวังน่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐที่ซบเซาให้กลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังแฝงไว้ด้วยความเสี่ยงจากเรื่องยุโรปที่จะต้องตามดูประชุมสุดยอดผู้นำของยุโรปวันศุกร์นี้ผลจะเป็นยังไงทำให้ทิศทางวันนี้(14ก.ค.) การเคลื่อนไหวของดัชนียังอยู่ในกรอบ1,080-1,090 จุด แนวรับ 1,070 และ 1,060 ตราบใดที่ปัจจัยในตลาดยังเป็นเรื่องอเมริกา ยุโรป จีน และจับตารัฐบาลไทย ถ้าไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ดัชนีน่าจะวิ่งในกรอบนี้