อคัญญสูตร (1)
ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งลองชิมง้วนดินนั้นดู รู้ว่ากินได้ก็ทำให้สัตว์อื่นๆ พากันกินง้วนดินนั้น สมัยที่จุลชีวิตดำเนินด้วยการบริโภคง้วนดินนี้กินเวลามาอีกนาน จนกระทั่งสัตว์เหล่านั้นมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏแตกต่างกันออกไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกก็มีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงามพากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเราดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกันขึ้น เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย
นอกจากนั้นในยุคนี้ก็ปรากฏว่าสัตว์เหล่านั้นเริ่มมองเห็นความแตกต่างระหว่างกันคือ เห็นเพศ... จนเกิดกามราคะ
สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ นัยว่าสตรีก็เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนทั้งสองเพศต่างเพ่งดูกันอยู่ ก็เกิดความกำหนัดขึ้น เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย เพราะความเร่าร้อนเป็นปัจจัย เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมกัน...สัตว์พวกใดเห็นพวกอื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่า คนชาติชั่วจงฉิบหายๆ
และต่อจากนั้นการเสพเมถุนจึงเป็นธรรมขึ้น และคนก็เริ่มสร้างบ้านเรือนขึ้น โดยมีสาเหตุว่าต้องการปิดบังการเสพเมถุนธรรมนั้น
หลังจากนั้นอาหารของสัตว์ก็เปลี่ยนจากง้วนดินมาเป็นกะบิดินที่ใหญ่ขึ้น หรือพัฒนาขึ้นมาเป็นเครือดิน (ที่ผลิดอกออกผล) และพัฒนามาเป็นพวกพืช เช่น ข้าวสาลี สัตว์เวลานั้นเก็บพืชมาเป็นมื้อๆ เช่น เก็บเพื่อพอกินในเวลาเช้า กลางวัน และเย็น จนต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเกียจคร้านคือไปเก็บมามากพอที่จะกินได้ทั้งเช้า กลางวัน และเย็น จนสัตว์อื่นๆ พากันทำตามอย่าง
ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่งเกิดความเกียจคร้านขึ้นจึงมีความเห็นอย่างนี้ว่าดูกรท่านผู้เจริญ เราช่างลำบากเสียนี่กระไร ที่ต้องไปเก็บเอาข้าวสาลีมาทั้งในเวลาเย็นสำหรับอาหารเย็น ทั้งในเวลาเช้าสำหรับอาหารเช้า อย่ากระนั้นเลย เราควรไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวกันเถิด
...ต่อนั้นมาสัตว์ผู้นั้นก็ไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวกัน... ครั้งหนึ่งสัตว์ผู้หนึ่งเข้าไปหาสัตว์ผู้นั้นแล้วชวนว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิดเราจักไปเก็บข้าวสาลีกัน สัตว์ผู้นั้นตอบว่าดูกรสัตว์ผู้เจริญ ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวแล้ว ต่อมาสัตว์ผู้นั้นถือตามแบบอย่างของสัตว์นั้น จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้คราวเดียวเพื่อสองวัน
ในยุคนี้สัตว์จึงเริ่มรู้จักสะสมและเมื่อสะสมกันมากๆ เข้า สิ่งที่พอสำหรับแต่ละวัน ก็ย่อมขาดแคลนไปเป็นธรรมดา ส่วนที่ถูกนำไปเก็บสะสมไว้ก็สะสมเพื่อความขี้เกียจด้วย เพื่อความสะดวกสบายของสัตว์ทั้งหลายด้วย หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว สิ่งที่ตามมาคือการขาดแคลนทางปัจจัยบริโภค คุณภาพของข้าวสาลีเปลี่ยนไป กลายเป็นข้าวมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกแทน ข้าวสาลีที่บริโภคได้อย่างทั่วถึงจึงขาดเป็นตอนๆ มีเป็นกลุ่มๆ ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่เดิมมา การสะสมผสมกับการสร้างครัวเรือนและต่างคนต่างเก็บข้าวทำให้คนดำริที่จะแบ่งข้าวสาลี และเริ่มปักปันเขตแดนกัน เมื่อมีครอบครัว มีเขตแดนกันแล้ว ก็มาถึงอีกยุคหนึ่งซึ่งพระสูตรกล่าวต่อไปว่า
“ครั้งนั้น... สัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลภ สงวนส่วนของตนไว้ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค สัตว์ทั้งหลายจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้วได้ตักเตือนอย่างนี้ว่าแน่ะ สัตว์ผู้เจริญ ก็ท่านกระทำกรรมชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของตนไว้ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย”
แต่การกระทำความผิด คือ ขโมยรุกรานผู้อื่นก็ยังคงเกิดขึ้น จนกระทั่งเกิดการต่อสู้ขึ้น
สัตว์พวกหนึ่งประหารด้วยฝ่ามือ พวกหนึ่งประหารด้วยก้อนดินบ้าง พวกหนึ่งประหารด้วยท่อนไม้
ในยุคนี้คนมีกิเลสเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ มีการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ มีการติเตียนต่อกัน มีการกล่าวเท็จ มีการถืออาวุธ (ท่อนไม้) ฆ่ากัน
วิวัฒนาการของสังคมยุคนี้คือ เริ่มต้นแห่งสิ่งที่เราเรียกว่า “การเมือง” ในพระสูตรกล่าวว่า
สัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่ จึงประชุมกัน ครั้นแล้วก็ปรับทุกข์ว่า พ่อเอ๋ยก็การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ให้จักปรากฏการติเตียน จักปรากฏการพูดเท็จ จักปรากฏการถือท่อนไม้ (ฆ่ากัน) จักปรากฏเพราะบาปธรรมเหล่าใด บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏแล้วในสัตว์ทั้งหลายอย่ากระนั้นเลย พวกเราจักสมมติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ ให้เป็นผู้ติเตียน ผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ ส่วนพวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น
สัตว์ทั้งหลาย จึงได้ไป “ขอร้อง” ให้สัตว์ที่สวยงามกว่า น่าดู น่าชมกว่า น่าเลื่อมใสกว่า และน่าเกรงขามมากกว่าสัตว์ทุกคนแล้วแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ เมื่อทราบแล้วก็ตกลงกัน พระสูตรอธิบายตอนต่อไปว่า (เป็นตอนสำคัญ)
เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้าอันมหาชนสมมติ มหาชนสมมติจึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก
เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นใหญ่ยิ่งแห่งเขตทั้งหลาย กษัตริย์ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับสอง
เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้ายังชนเหล่าอื่นให้สุขใจได้โดยธรรมราชา จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับสาม
ส่วนการเกิดขึ้นของพวกพราหมณ์นั้นพระสูตรอธิบายว่า สัตว์ทั้งหลาย จึงต่างกันหรือเหมือนกันก็ด้วย ธรรม เท่านั้น ธรรมนี้หมายถึงการกระทำต่างๆ ด้วยคนหรือสัตว์เห็นว่ามีการกระทำที่เป็นธรรมชั่ว จึงคิดพากันปลดปล่อยความชั่วนั้นเสีย คือปลดปล่อย การลักขโมย การพูดติเตียน การพูดเท็จ การถือท่อนไม้ การขับไล่กัน พวกที่ต้องการปล่อยความชั่วจึงพากันสร้างกระท่อมซึ่งมุงและบังด้วยใบไม้ในป่า และนั่งเพ่งตบะอยู่ในที่พักนั้น “พวกเขาไม่มีการหุงต้ม และไม่มีการตำข้าว” เวลาเย็น เวลาเช้าก็พากันเที่ยวแสวงหาอาหารตามคามนิคมและราชธานี เพื่อบริโภคในเวลาเย็น เวลาเช้า แล้วเขาก็กลับไปอยู่ในที่พักอีก ทำอย่างนี้เรื่อยมา บุคคลเหล่านี้เรียกว่าพราหมณ์ หรือพวกเจริญฌาน ซึ่งจัดทำคัมภีร์ แต่ไม่อยู่กับธรรมชาติ (ติดตามตอนต่อไปในสัปดาห์หน้า)