ASTVผู้จัดการรายวัน - ยูโอบีเร่งขยายฐานลูกค้าธนบดี ตั้งเป้าเพิ่มอีก 5 พันราย เป็น 1.5 หมื่นราย พอร์ตรวม 9 หมื่นล้าน พร้อมออกผลิตภัณฑ์รองรับทั้งด้านเงินฝาก-กองทุน และเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 20 แห่งในปีนี้
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือข่ายสาขาและบริการ ธนาคายูโอบี จำกัด (มหาชน) (UOB) เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ลงทุนกับธนาคารด้วยวงเงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป เป็น 15,000 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 10,000 ราย โดยธนาคารได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการลงทุนในกองทุนและเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูง
โดยเบื้องต้นได้มีผลิตภัณฑ์ทั้งตั๋วแลกเงินในช่วงระยะเวลา 3 เดือนมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.25% ต่อปี ระยะเวลา 9 เดือนอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.50% ต่อปี ระยะเวลา 15 เดือนอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 4.25% ต่อปี และระยะเวลา 36 เดือนอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 5% ต่อปี ส่วนเงินฝากโปรแกรมพิเศษมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 4% ต่อปี
สำหรับผลิตภัณฑ์เงินฝากระยะยาวของธนาคารถือว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงหรือสูงว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่ปัจจัยการเมืองภายในประเทศอาจทำให้การลงทุนอาจจะมีการชะลอตัวไปบ้าง ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อจึงขยายตัวไม่รวดเร็วมากนัก โดยประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คงจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีก 0.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะมีการปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันธนาคารมีพอร์ตเงินฝากและกองทุนของผู้ลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 9 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของบัญชีเงินฝาก 70% ซึ่งมีลูกค้าประมาณ 10,000 ราย ขณะที่อีกประมาณ 30% จะอยู่ในลักษณะการลงทุนในรูปแบบกองทุน
ส่วนแผนการขยายจำนวนสาขาของธนาคาร ได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 20 สาขาในปีนี้ จากปัจจุบันที่ธนาคารมีสาขาอยู่ที่ 140 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งหากการขยายสาขาเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ก็จะทำให้ในสิ้นปี 2554 นี้ สาขาของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเป็น 160 สาขาทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาทในการขยายสาขาในปีนี้ และในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ธนาคารตั้งเป้าขยายสาขาให้เพิ่มขึ้นมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ เนื่องจากมองว่าฐานลูกค้าจะยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทแม่ที่สิงคโปร์ก็ยังคงมียุทธศาสตร์ในการขยายธุรกิจหลักในประเทศไทย
"สถานการณ์ทางด้านการเมืองของไทยที่กำลังเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ โดยส่วนตัวมีความเห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังจากการเลือกตั้ง ควรจะต้องมีนโยบายในเชิงเศรษฐกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของธุรกิจภาคการลงทุน เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะช่วยทำให้ต่างชาติหันมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น"
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือข่ายสาขาและบริการ ธนาคายูโอบี จำกัด (มหาชน) (UOB) เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ลงทุนกับธนาคารด้วยวงเงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป เป็น 15,000 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 10,000 ราย โดยธนาคารได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการลงทุนในกองทุนและเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูง
โดยเบื้องต้นได้มีผลิตภัณฑ์ทั้งตั๋วแลกเงินในช่วงระยะเวลา 3 เดือนมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.25% ต่อปี ระยะเวลา 9 เดือนอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 3.50% ต่อปี ระยะเวลา 15 เดือนอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 4.25% ต่อปี และระยะเวลา 36 เดือนอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 5% ต่อปี ส่วนเงินฝากโปรแกรมพิเศษมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 4% ต่อปี
สำหรับผลิตภัณฑ์เงินฝากระยะยาวของธนาคารถือว่ามีอัตราดอกเบี้ยที่ใกล้เคียงหรือสูงว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่ปัจจัยการเมืองภายในประเทศอาจทำให้การลงทุนอาจจะมีการชะลอตัวไปบ้าง ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อจึงขยายตัวไม่รวดเร็วมากนัก โดยประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คงจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีก 0.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะมีการปรับเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันธนาคารมีพอร์ตเงินฝากและกองทุนของผู้ลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 9 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนของบัญชีเงินฝาก 70% ซึ่งมีลูกค้าประมาณ 10,000 ราย ขณะที่อีกประมาณ 30% จะอยู่ในลักษณะการลงทุนในรูปแบบกองทุน
ส่วนแผนการขยายจำนวนสาขาของธนาคาร ได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 20 สาขาในปีนี้ จากปัจจุบันที่ธนาคารมีสาขาอยู่ที่ 140 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งหากการขยายสาขาเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ก็จะทำให้ในสิ้นปี 2554 นี้ สาขาของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเป็น 160 สาขาทั่วประเทศ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาทในการขยายสาขาในปีนี้ และในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ธนาคารตั้งเป้าขยายสาขาให้เพิ่มขึ้นมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ เนื่องจากมองว่าฐานลูกค้าจะยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และบริษัทแม่ที่สิงคโปร์ก็ยังคงมียุทธศาสตร์ในการขยายธุรกิจหลักในประเทศไทย
"สถานการณ์ทางด้านการเมืองของไทยที่กำลังเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ โดยส่วนตัวมีความเห็นว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังจากการเลือกตั้ง ควรจะต้องมีนโยบายในเชิงเศรษฐกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของธุรกิจภาคการลงทุน เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งจะช่วยทำให้ต่างชาติหันมาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น"