ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จากกรณีที่คณะกรรมการมรดกโลกไม่บรรจุข้อเรียกร้องลบชื่อปราสาทพระวิหารออกจากบัญชีรายชื่อมรดกโลกไว้ในวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 35 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตามที่ภาคประชาชนได้ยื่นหนังสือต่อสำนักงานยูเนสโกประจำประเทศไทย เพื่อให้ส่งต่อไปยังสำนักงานยูเนสโกที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อไปบรรจุในวาระว่า ภาคประชาชนต้องการให้ลบชื่อปราสาทพระวิหารออกจากบัญชีมรดกโลก เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ทำให้ภาคประชาชน โดยคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินทางไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานยูเนสโกกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อกดดันและให้ยูเนสโกที่ฝรั่งเศสยุติการเดินหน้าแผนบริหารจัดการมรดกโลก และถอนบัญชีปราสาทพระวิหารออกจากบัญชีมรดกโลกโดยเร็วที่สุด
อีกทั้ง การออกมาเรียกร้องของภาคประชาชน โดยคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรฯ และพันธมิตรฯ ก็เพื่อต้องการให้ยูเนสโกประจำประเทศไทยส่งสัญญาณไปยังยูเนสโกใหญ่ ให้ทราบถึงปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และขอให้ถอนชื่อปราสาทพระวิหารออกจากการเป็นมรดกโลกในทันที
ทั้งนี้ หากยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องของภาคประชาชน จะส่งผลให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร และอีก 1.8 ล้านไร่ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จึงต้องถือว่ายูเนสโกมีส่วนทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียดินแดน และเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภาคประชาชนพยายามเรียกร้องรัฐบาลไทยในตอนนี้ก็คือ ให้รัฐบาลอย่าสู้แค่เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการออกไป เพราะเป็นการปัดสวะ ทิ้งปัญหาให้ไปเสียดินแดนในอนาคต แต่ต้องยกเลิก และถอนตัวออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก หรือยูเนสโก ดำเนินการลบบัญชีรายชื่อปราสาทพระวิหารออกจากทะเบียนมรดกโลก
ทั้งนี้ จากเอกสารการประชุมที่ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม กรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ที่ไปร่วมสังเกตการณ์อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ส่งมา ทำให้ได้รู้ว่าการประชุมครั้งนี้มีปัญหามากมาย คือ ในเอกสารดังกล่าว ได้มีการอ้างบันทึกข้อตกลงที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงนามเมื่อวันที่ 26 ก.ค.53 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งก่อน ที่เหมือนกับรัฐบาลไทยไม่ปฏิเสธมติคณะกรรมการมรดกโลกย้อนหลังทั้งหมด
อีกทั้ง ยังมีการระบุเนื้อหาสำคัญที่ว่า มีคำร้องขอของนายสุวิทย์ โดยความเห็นชอบจากฝ่ายกัมพูชา ที่ได้ส่งแผนบริหารจัดการชุดหนึ่งให้ทางคณะกรรมการ พร้อมแนบแผนที่ มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ให้แก่รัฐบาล และยูเนสโก โดยรองผอ.ฝ่ายวัฒนธรรมของยูเนสโก เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 53 แสดงว่า ฝ่ายไทยรับเอกสารเรื่องแผนที่นี้มาแล้วอย่างเป็นทางการ โดยปรากฏในรายงานการประชุม ขณะนี้เข้าใจว่า นายเทพมนตรี กำลังเรียกร้องให้นายสุวิทย์ ดำเนินการประท้วงข้อความนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรากฏในเอกสารประกอบการประชุมนี้ ทำให้ยิ่งน่าสงสัยไปใหญ่ว่า เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หากรัฐบาลไทยไม่ประท้วงข้อความนี้ ก็เหมือนว่าฝ่ายไทยไม่ปฏิเสธแผนบริหารจัดการ และไม่ปฏิเสธแผนที่ดังกล่าว สิ่งที่รัฐบาลไทยพยายามเลื่อนการพิจารณาอยู่ในตอนนี้ ย่อมถูกสงสัยได้ว่าเป็นกระบวนการเพื่อเลื่อนการเสียดินแดนให้ไปขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดหน้า ก่อนการหย่อนบัตรเลือกตั้งเท่านั้น เป็นการปัดภาระและปัญหา ไม่ให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ก่อนวันเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
และสิ่งที่น่าตกใจก็คือ มีรายงานแจ้งว่า นายสุวิทย์ กำลังพยายามทำบันทึกความเข้าใจขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งฉบับ เหมือนร่างประนีประนอมเมื่อการประชุมครั้งที่แล้ว ที่ทำให้ไทยถลำลึกติดกับฝ่ายกัมพูชา โดยนายสุวิทย์กำลังร่างเอกสาร 1 ฉบับ เพื่อให้กัมพูชาและคณะกรรมการมรดกโลกลงนามร่วมกัน เป็นมติการประชุมครั้งที่ 35 เพียงเพื่อแลกกับการเลื่อนแผนบริหารจัดการออกไป เป็นกระบวนการที่ยอมแลกทุกอย่างให้พ้นความรับผิดชอบของรัฐบาลตัวเองเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าเอกสารที่ลงนามจะเป็นอันตรายต่อไปในอนาคตหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวแจ้งมาอีกว่า มีนักการเมืองบางคนที่อยู่ต่างประเทศล็อบบี้เพื่อให้เรื่องนี้ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการมรดกโลก โดยการวิ่งเต้นผ่านผู้แทนฝ่ายไทย เพื่อให้ประเทศไทยเสียท่าในเวทีนี้ คำถามที่ตามมาก็คือ รัฐบาลไทยสมรู้ร่วมคิดหรือไม่ หากไม่ได้สมรู้ด้วย มีวิธีเดียวคือต้องประท้วงและถอนตัวออกจากมรดกโลก แต่หากรัฐบาลนี้สมรู้ร่วมคิดด้วยหมายความว่า จะมีการเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการออกไปให้ตกอยู่ภายใต้รัฐบาลชุดหน้า หรืออาจถูกอนุมัติแผนบริหารจัดการคารัฐบาลชุดนี้เลย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด, นายเทพมนตรี ลิมปพยอม กรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ที่ไปร่วมสังเกตการณ์อยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ได้รายงานความคืบหน้าผ่านทางโทรศัพท์มายังเวทีมัฆวาน ว่า เอกสารที่กัมพูชาจะขอต่อยูเนสโกให้ออกเป็นมติคณะกรรมการมรดกโลก มีทั้งหมด 8 ข้อ โดยข้อที่เรารับไม่ได้มี ข้อ 5 ซึ่งกัมพูชาเสนอว่าไทยเป็นฝ่ายยิงก่อนทำให้ปราสาทเขาวิหารเสียหาย ข้อ6 เขมรบอกไทยทำผิดอนุสัญญาปี 1972 ที่จะต้องปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม และข้อ7 ขอให้ไทยยอมให้เขมรส่งผู้สังเกตการณ์เข้าพื้นที่และขอให้เข้าบูรณะปราสาทเขาวิหาร
ทั้งนี้ ดูจากสถานการณ์แล้ว นายเทพมนตรีให้ความเห็นว่า ไทยถูกบีบพอสมควร จากคณะกรรมการทั้งหมด 21 ประเทศ มีคนยืนข้างไทยเพียง 7 ประเทศ ซึ่งคิดว่าเหตุการณ์เริ่มถลำลึกช่วงสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ที่ไปรับมติครั้งที่ 31 จะร่วมมืออย่างแข็งขันในการขึ้นทะเบียนเขาวิหาร แล้วนายนพดล ปัทมะ มาทำต่อ ส่งผลให้เมื่อเราจะทำความเห็นแย้งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
อย่างไรก็ตาม นายอดุล วิเชียรเจริญ อดีตคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ ครั้งที่ 35 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จะพิจารณารับรองแผนบริหารการจัดการปราสาทพระวิหาร วาระที่ 62 ว่า ส่วนตัวสนับสนุนให้ไทยลาออกจากเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกและจากคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ หากที่ประชุมไม่เลื่อนพิจารณาแผนบริหารการจัดการปราสาทพระวิหาร หรือว่ามีมติออกมาเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา
ทั้งนี้ได้แนะนำมาตลอดว่าไทยจะต้องคัดค้านแผนบริหารดังกล่าว และห้ามยอมรับเด็ดขาด เนื่องจากแผนบริหารจัดการดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับประเทศไทยแม้แต่น้อย
"เหตุผลที่เสนอให้ลาออก เพื่อเป็นการตอบโต้นั้นถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะในเมื่อยูเนสโกไม่รับฟังข้อคัดค้านของประเทศไทยก็ไม่มีประโยชน์ และที่หลายฝ่ายกลัวว่าเมื่อลาออกจากเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลกแล้วไทยจะไม่สามารถเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้อีกนั้น มองว่าการเป็นมรดกโลกไม่ใช่สิ่งสำคัญ การเป็นมรดกโลกในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก ไม่มีความเข้มงวดและความขลังเหลือแล้ว ปัจจุบันการเสนออะไรเป็นมรดกโลกสามารถทำได้ง่าย ซึ่งต่างกับอดีตที่ผ่านมายากและมีความเข้มงวด ที่สำคัญแหล่งมรดกโลกใดมีปัญหาอยู่ก็จะไม่มีการเสนอเป็นมรดกโลก" นายอดุลกล่าว
คำถามก็คือ การกระทำของยูเนสโก เป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย โดยไม่ฟังเสียงเรียกร้องของประชาชนคนไทย ใช่หรือไม่ โดยเฉพาะการเลื่อนพิจารณา 1 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดน ประชาชนบาดเจ็บล้มตายบ้านเรือนถูกทำลายมากมาย ยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลก จึงไม่ควรเป็นผู้ส่งเสริมการทำสงครามหรือทำลายสันติภาพระหว่างประเทศ ดังนั้น ยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลก จึงสมควรยุติทุกอย่างตั้งแต่วันนี้ เพราะหากขืนดึงดันต่อไป “ยูเนสโก” จะกลายเป็นศัตรูกับ “ประชาชนชาวไทย" !