ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกถึงการแข่งกันดุเดือดเลือดพล่านที่สุดเที่ยวนี้ แต่ละพรรคการเมืองล้วนมีการ “จัดหนัก” และ “จัดเต็ม” กันทั้งนั้น และในเวลานี้ใครยังพอมีอะไรเหลืออยู่ในกระเป๋า โดยเฉพาะไพ่ใบสุดท้ายที่เตรียมไว้ก็ได้ควักออกมาเกทับบลัฟกันมันหยดเลยทีเดียว
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในพื้นที่ทั่วปักษ์ใต้ ป้ายหาเสียงชุดใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ถูกกระจายเต็มพื้นที่ มุ่งเน้นเฉพาะเจาะจงแต่การโชว์เดี่ยวอย่างโดดเด่นเป็นสง่าด้วยภาพของ “นายหัวชวน” นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาของพรรค เพื่อเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนชาวใต้ลงคะแนนเสียงให้ กาเบอร์ 10 บัตรเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและปาร์ตี้ลิสต์
พร้อมๆ กับในช่วงสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังกำหนดแผนยกทัพใหญ่เดินสายตีหัวเมืองใต้ ที่นอกจากจะมีการหยิบยกนายชวนขึ้นมาชูเชิดเพื่อขอคะแนนจากบรรดาลูกสะตอแล้ว ก็ยังมีขุนพลคนสำคัญๆ อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค คุมทัพร่วมมาด้วย มีทั้งการเปิดเวทีหาเสียงใหญ่ในหลายพื้นที่ การส่งขุนพลของพรรคออกเดินสายหาเสียงพบปะชาวบ้านร้านตลาดในเขตเมืองใหญ่ๆ และก็ไม่เว้นแม้กระทั่งพื้นที่ที่มากมายไปด้วยปัญหาความไม่สงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้
สำหรับพื้นที่ภาคใต้ที่ประชาธิปัตย์ยึดครองเก้าอี้ ส.ส.มากที่สุดมาได้ค่อนข้างเกือบจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างยาวนานนั้น แม้ในเวลานี้หัวหน้าพรรคจะได้รับฉายาว่า “หล่อใหญ่” ที่เป็นเสมือนตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ของความทันสมัย รวมถึงมี “หล่อโย่ง” “หล่อกลาง” “หล่อเล็ก” และหล่ออะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แต่พลพรรคประชาธิปัตย์ต่างก็ยังเชื่ออย่างสนิทใจว่า “นายหัวชวน” เท่านั้นจะยังคงเป็นจุดขายทางการตลาดต่อบรรดาแม่ยกพ่อยกที่สำคัญที่สุด
ความจริงไม่เฉพาะการเลือกตั้ง ส.ส.เท่านั้น ในสนามเลือกตั้งแทบจะทุกรูปแบบ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนที่เป็นพลพรรคประชาธิปัตย์ทั้งของจริงและไม่ใช่ของจริง ต่างก็พยายามใช้วิธีการเรียกคะแนนเสียงในลักษณะนี้มาโดยตลอด
โดยเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งคนไหนสามารถนำเอา “นายหัวชวน” ไปใช้เรียก “น้ำตา” หรือร้องขอคะแนน “สงสาร” จากคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นเสาหลักของครอบครัวได้ด้วยแล้ว เอาปูนหมายหัวไว้ได้เลยว่า ผู้สมัครคนนั้นไม่น่าจะพลาดการนั่งในตำแหน่ง “ท่านผู้แทน” แน่นอน
ต้องยอมรับว่านับเนื่องจากนายชวนก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยการได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 20 ของไทย จากสามัญชนคนธรรมดาๆ ลูกแม่ค้าขายไตปลาในตลาดแห่งเมืองหมูย่าง สามารถไต่เต้าขึ้นไปนั่งบัลลังก์เสนาบดีใหญ่ด้านการบริหารกิจการประเทศได้ถึง 2 สมัย เขาก็คือความภาคภูมิใจอย่างยิ่งใหญ่ของพี่น้องประชาชนชาวใต้นับเนื่องแต่นั้นมา
นายชวนเกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2481 ที่ ต.ท้ายพรุ อ.เมือง จ.ตรัง เป็นบุตรคนที่ 3 ของนายนิยม-นางถ้วน หลีกภัย คนในครอบครัวเรียกขานตั้งแต่ตอนเด็กๆ ว่า “เอียด” เพราะเป็นคนรูปร่างเล็ก หลังผ่านโรงเรียนวัดควนวิเศษและโรงเรียนตรังวิทยาที่บ้านเกิดก็ได้เข้ากรุงไปต่อวิทยาลัยช่างศิลป์ จากนั้นไปจบที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเนติบัณฑิตยสภาในเวลาต่อมา
ทำอาชีพว่าความอยู่ได้ไม่นานก็เกิดพิสมัยการเมืองขึ้นมา ลงสมัคร ส.ส.ที่บ้านเกิดและได้เข้าสู่สภาฯครั้งแรกในปี 2512 แล้วได้นั่งแท่นเป็นรัฐมนตรีในปี 2518 ผ่านเก้าอี้กระทรวงสำคัญๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นประจำสำนักนายกฯ ยุติธรรม พาณิชย์ เกษตรและสหกรณ์ สาธารณสุข รองนายกฯ และประธานสภาผู้แทนราษฎร ไต่เต้าขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคได้ในปี 2533 จากนั้นในปี 2535 ก้าวสู่ขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก กลับมาเป็นผู้นำฝ่ายค้านช่วงหนึ่ง ก่อนพลิกขั้วได้นั่งนายกฯอีกครั้งในปี 2540 เป็นสมัยที่ 2
ในช่วงที่นายชวนไต่กราฟชีวิตสู่จุดสูงสุด เส้นกราฟกระแสความนิยมชมชอบของคนใต้ที่มีต่อตัวเขาและพลพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นไปในท่วงทำนองเดียวกัน โดยภาพการรุมล้อมหอมแก้มของบรรดาแม่ยก หรือแม้กระทั่งภาพการได้พบปะกับบรรดาผู้นำชาติต่างๆ ถูกนำไปโหมโฆษณากันอย่างเอิกเกริก
ในสมัยขาขึ้นสุดๆ ของนายกฯชวนนั้น ถึงขั้นในสนามเลือกตั้งคราวหนึ่งได้ก่อวาทกรรมอันกึกก้องว่า หากประชาธิปัตย์ส่ง “เสาไฟฟ้า” ลงสมัครรับเลือกตั้งในภาคใต้ คนใต้ก็พร้อมจะลงคะแนนเสียงให้ได้รับชัยชนะ แถมบรรดาแม่ยกพ่อยกยังได้จัดฉาก “กางร่ม” ให้แก่ป้ายหาเสียงที่มีรูปเดี่ยวนายชวนแต่งชุดประดับประดาเครื่องราชเต็มยศ จนเป็นข่าวใหญ่ในเวลานั้นเช่นกัน
หากนำเรื่องนี้ไปอุปมาอุปไมยเทียบเคียงกับสังคมพุทธแบบไทยๆ ก็น่าจะไม่แตกต่างอะไรไปจาก พลพรรคประชาธิปัตย์นิยมที่จะนำ “เจ้าอาวาส” ไปแห่แหนเพื่อแปรความนิยมไปเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้งนั่นเอง
ทว่า เมื่อหันมามองสนามเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ สำหรับในภาคใต้แล้วก็คงไม่น่าแปลกใจที่พลพรรคประชาธิปัตย์จะยังใช้กลยุทธ์นี้อีกครั้ง แต่จะยังคงมนต์ขลังเหมือนเที่ยวที่ผ่านๆ มาอีกหรือไม่
เนื่องเพราะวัฏจักรของชีวิตของผู้คนไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อเส้นกราฟไต่ไปถึงจุดสูงสุดก็ย่อมต้องหันหัวเหลงสู่เบื้องต่ำ ชีวิตของนายชวนก็เช่นกัน ในฐานะบุคคลสาธารณะก็ได้มีเรื่องราวเล่าขานทั้งที่เป็นชีวิตส่วนตัว และเกี่ยวข้องกับหน้าที่หรือตำแหน่งทางการเมืองตามมามากมาย
อย่างในทางชีวิตส่วนตัวของนายชวน วันดีคืนดีก็มีเรื่องราวของเมียและลูกชายโผล่ออกมาให้สาธารณชนได้รับรู้และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันให้แซดคือ “น้องปลื้ม-สุรบถ หลีกภัย” ที่เกิดจาก “นางภักดิพร สุจริตกุล” หรืออย่างน้องชายร่วมสายเลือดคนหนึ่งถูกคดีโกงเงินแบงก์กสิกรไทยนับร้อยล้านบาท ต้องหลบลี้หนีหน้าไปจนหมดอายุความเป็นเวลานับสิบปี
ในด้านตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองก็มีเรื่องราวฉาวฉานมากมาย โดยเฉพาะที่ยังเป็นที่จดจำของสังคมไทยจนทุกวันนี้คือ “กรณี ส.ป.ก. 4-01” ที่เกิดจากฝีมือรัฐมนตรีของพรรคนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่มีการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ส.ป.ก.ให้แก่คหบดีมากมาย โดยเฉพาะบนเกาะภูเก็ตมีการออกให้แก่สามีของนางอัญชลี วานิช เทพบุตร ส.ส.ในสังกัดพรรค ที่ในเวลานั้นคือเลขาคู่กาย นายสุเทพ แถมมีการนำที่ดิน ส.ป.ก.ดังกล่าวไปพ่วงกับโรงแรมใหญ่บนชายหาดกะรนไปเร่ขายนายทุนทั้งในและนอกประเทศ แม้นายชวนจะแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ ว่า ที่ดิน ส.ป.ก.ใครๆ ก็มีสิทธิ์ได้รับเหมือนกับเด็กนักเรียนสอบชิงทุนนั่นแหละ แต่กรณีนี้ถูกนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจจนรัฐบาลนายชวนต้องล้มไปอย่างไม่เป็นท่า
สมัยเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และมีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ปล่อยให้รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลถึง 2 คนต้องคำพิพากษาของศาลคือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคของตัวเองที่นั่งเป็น รมว.มหาดไทย ถูกลงโทษตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี และนายรักเกียรติ สุขธนะ รมว.สาธารณสุข จากพรรคชาติไทย ถึงขั้นถูกตัดสินจำคุก 5 ปีในคดีรับสินบนบริษัทยา
นอกจากนั้นก็ยังมีกรณีสำคัญๆ ได้แก่ กรณีการขายสินทรัพย์ ปรส. และกฎหมายขายชาติ 12 ฉบับ, การอนุมัติแต่งตั้งจอมพลถนอม กิตติขจร 1 ใน 3 ทรราช เป็นนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์, การออกมารับประกันลูกพรรคที่ถูกข้อหาทุจริตบ่อยๆ จนได้รับสมญา “ช่างทาสี” และ “แผ่นเสียงตกร่อง”, การถูกวิจารณ์ว่า “ชวนเชื่องช้า” และ “ปลัดประเทศ”, กรณีปากพล่อยถูกวิจารณ์เรื่องเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในภาคใต้ว่าแค่ต้องการรักษาฐานคะแนนเสียง และกรณีที่คนใต้จำได้ดีคือ การไม่ยอมฟังเสียงประชาชนและไปเซ็นสัญญาโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เป็นต้น
ล่าสุดที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมไม่เฉพาะในประเทศเราเท่านั้น แต่เป็นที่สนใจไปในระดับโลกเลยด้วยในเวลานี้ อันนำมาซึ่งความเสื่อมของนายชวนอีกครั้งสำคัญก็คือ “กรณีเขาพระวิหาร” ที่ไทยกำลังจะเสียแผ่นดินทั้งบนบกและในทะเล รวมถึงแหล่งพลังงานในอ่าวไทยที่มีมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านบาทให้แก่กัมพูชา อันเป็นผลจากรัฐบาลนายชวนได้ไปทำ MOU 2543 แล้วให้เขมรอ้างแผนที่ 1 : 200,000 มาใช้ ทั้งที่รัฐบาลนายชวนเองก็เป็นผู้ออก พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารกินพื้นที่ที่กำลังจะสูญเสียไปก่อนแล้วด้วย
กรณีเขาพระวิหารอันร้อนฉ่าในเวลานี้ ผลจะออกหัวหรือก้อย อันเป็นผลจากที่ประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกได้ตัดสินใจไปอย่างไรนั้น เป็นไปตามความต้องการของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่อยากให้กวาดปัญหาไปหมักหมมไว้ใต้พรมได้ต่อไปหรือไม่ แต่ปัญหานี้ถือว่ากระทบต่อนายชวนในระดับที่อาจจะถูกกล่าวหาขั้นมีส่วนร่วมในขบวนการขายชาติขายแผ่นดินเลยทีเดียว
ถึงวันนี้นายชวนเองก็ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งหนสำคัญใดๆ ทั้งในพรรคและในรัฐบาลด้วย แถมยังถูกคำครหามากมายและหนักหน่วง หากอุปมาอุปมัยในวิถีพุทธแบบไทยๆ ต่อไปก็น่าจะไม่แตกต่างอะไรไปจาก “ศพเจ้าอาวาส” ที่พลพรรคอันเป็นสาวกเชื่อว่ายังมีมนต์ขลังอยู่ เรือนร่างไม่บุบสลายจึงนำไปใส่โลงแก้ว แล้วพยายามสร้างเรื่องราวในเชิงปาฏิหาริย์ว่า เล็บและผมยังงอกได้อะไรประมาณนั้น พร้อมๆ กับนำไปแห่แหนหาคะแนนเสียงกันอีกระลอก
และก็ไม่น่าแปลกเช่นกัน ที่วิธีการในลักษณะเดียวกันนี้ก็ได้ถูกพรรคอื่นๆ นำไปใช้ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ยึดครองคะแนนนิยมอยู่ในภาคอีสานและภาคเหนือ ซึ่งได้หยิบยกเอา “ศพเจ้าอาวาส” อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปสร้างเรื่องราวแห่แหนอย่างคึกคักไม่แพ้กัน
ณ วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ตกเป็นนักโทษหนีคุกสมบูรณ์แบบไปแล้ว แถมยังถูกพิพากษาห้ามยุ่งเกี่ยวการเมือง โดยต้องเปลี่ยนสัญชาติและระเหเร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศ สำหรับนายชวนยังเป็นผู้เป็นสมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ว่าจะตกเป็นผู้ต้องหาในคดี ทำให้ไทยสูญเสียแผ่นดินเขาพระวิหารด้วยหรือไม่ ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป ?!?!