ตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่ผมได้ร่วมเดินสายรณรงค์โหวตโนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ผมคิดว่ามีกระแสตอบรับที่น่าพอใจ คะแนนโหวตโนมีแน่ครับและมั่นใจว่าไม่น้อยจนเกินไป สำหรับคนที่คาดหวังขั้นต่ำ 3 ล้านเสียงอย่างผมนั้นรู้สึกอุ่นใจขึ้นไม่น้อย และอดไม่ได้ที่แอบหวังคะแนนเสียงแบบไม่คาดฝันอยู่ในใจ
คะแนนโหวตโนจะได้เท่าไหร่ก็เอาเถอะ แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์คะแนนและกระแสนั้นแพ้พรรคเพื่อไทยแน่ๆ และทุกโพลทุกสำนักก็บอกว่าแพ้แน่ๆเช่นเดียวกัน ตอนออกไปรณรงค์ตามข้างทางผมเห็นประชาชนที่ออกมาแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านเราบ้างก็มีแต่ยกนิ้วชี้สู้ว่าจะเลือกเบอร์ 1 ไม่เห็นเบอร์ 10 เลยแม้แต่คนเดียว
แต่ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมา เพื่อไทยชนะหรือประชาธิปัตย์ชนะสามารถรวบรวมเสียงข้างมากตั้งรัฐบาล การเมืองไทยก็ไม่มีวันสงบอีกต่อไป
เพราะถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล การเมืองไทยก็เหมือนเดิมย่ำอยู่กับที่ นายอภิสิทธิ์ก็ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลที่อ่อนแอเกาะโพเดียมพายเรือให้โจรนั่ง ถูกสุเทพ เทือกสุบรรณ บงการ และให้เนวิน ชิดชอบขี่คอต่อไป จากนั้นเสื้อแดงก็จะลุกขึ้นมาก่อหวอดเผาบ้านเผาเมือง เพื่อเรียกร้องให้ทักษิณกลับบ้าน อภิสิทธิ์หลบเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร ประชาชนส่วนหนึ่งที่รักชาติบ้านเมืองอาจจะออกมาต่อต้านบาดเจ็บล้มตายเหมือนที่แล้วๆ มา
ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล สิ่งที่จะทำคือ การนิรโทษกรรมให้ทักษิณ สถาปนารัฐไทยใหม่ตามแนวทางคนเสื้อแดง ขบวนการล้มเจ้าที่แฝงอยู่ในคนเสื้อแดงก็เหิมเกริม ประชาชนส่วนหนึ่งอย่างน้อยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ต้องออกมาต่อต้าน
ถ้าบ้านเมืองย่ำอยู่กับสองพรรคนี้จึงดูเหมือนไม่มีทางออกไม่มีทางไป และหลีกหนีความวุ่นวายไปไม่พ้นเป็นแน่ แต่ทางออกพรรคที่สามนั้นไม่มี เพราะมีแต่พรรคกาฝากรอเป็นรัฐบาล พรรคจำอวด พรรคเฉพาะกิจ และพรรคนอมินีแทบทั้งสิ้น
การโหวตโนหรือกาช่องไม่ประสงค์จะเลือกทั้งคนและพรรคเพื่อยับยั้งนักการเมือง จึงเป็นทางออกที่จะดับวิกฤตของบ้านเมืองได้มากที่สุด เพราะโหวตโนจะเป็นการเตือนสตินักการเมืองให้ยั้งคิดว่าประชาชนกำลังไม่พอใจการเมืองที่เป็นอยู่แล้วต้องการการเปลี่ยนแปลง คะแนนโหวตโนจำนวนมากสามารถยับยั้งนักการเมืองใช้อำนาจกระทำตามอำเภอใจได้
แต่หากจะถามผมว่า โหวตโนและยังไงต่อ คำตอบของผม ณ เวลานี้ก็คือ โหวตโนจะทำให้เราทุกคนหันหน้าเข้าหากันเพื่อหาทางออกให้กับการเมืองไทย และตั้งคำถามค้นหาค้นคว้าและจุดประกายว่าสังคมไทยต้องการการเมืองแบบไหน อะไรที่เป็นเงื่อนไขที่ทำให้คนไทยแบ่งแยกกัน คนเสื้อเหลืองต้องการอะไร คนเสื้อแดงต้องการอะไร รูปแบบไหนที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคมทำให้ประชาชนมีสิทธิและความเสมอภาคกัน
เราต้องเอาประเทศไทยออกมาจากการแย่งชิงอำนาจของนักการเมืองแล้วเอาประชาชนเป็นตัวประกัน ผมเชื่อมั่นว่า ประชาชนไม่มีวันจะขัดแย้งกันถ้านักการเมืองใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้นถ้านักการเมืองไม่โกงชาติโกงแผ่นดิน
การต่อสู้และออกมารณรงค์โหวตโนของพันธมิตรฯ จึงไม่ใช่เรื่องการช่วงชิงอำนาจการเมืองอย่างที่นักการเมืองกำลังต่อสู้กัน ไม่ใช่เรื่องของความแตกแยกระหว่างเหลืองกับแดง เพราะคนเสื้อเหลืองนั้นไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลืองก็ต้องการความยุติธรรมและความเสมอภาคกันในสังคมเหมือนกับที่คนเสื้อแดงต้องการ
การโหวตโนของพันธมิตรฯ ด้วยการปฏิเสธนักการเมืองทุกคนทุกพรรคนั้น ต้องการให้เกิดพลังที่จะเปลี่ยนแปลงกติกาและดุลอำนาจของสังคมเสียใหม่ ไม่ใช่การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองที่ประชาชนมีหน้าที่แค่ไปกาบัตรลงคะแนนแล้วปล่อยให้นักการเมืองทำอย่างไรกับบ้านเมืองก็ได้ตราบที่อยู่ในอำนาจ เพราะประชาธิปไตยก็บอกอยู่แล้วว่า นักการเมืองใช้อำนาจแทนเราไม่ใช่ใช้อำนาจแทนใจตัวเอง
ผมไม่ปฏิเสธว่าคนเสื้อเหลืองส่วนใหญ่นั้นคือชนชั้นกลางที่มีความตื่นตัวทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันก็มีคนชั้นล่างอยู่ไม่น้อย ผมจึงไม่คิดว่า การตื่นตัวของคนชั้นล่างในเสื้อแดงจะเป็นผลพวงมาจากปัญหาทางชนชั้นแบบที่นักวิชาการพยายามเอาทฤษฎีการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมนิยมในทศวรรษที่ 60 และ 70 มาอธิบาย
ขณะเดียวกันผมอยากจะบอกว่า คนเสื้อเหลืองลุกขึ้นมาต่อสู้เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรมและความฉ้อฉลที่เกิดขึ้นจากนักการเมืองที่เข้ามาใช้อำนาจ ด้วยสำนึกของความผิดชอบชั่วดี
ในมุมมองของผมความแตกแยกของสังคมไทยทุกวันนี้ไม่ใช่ความแตกแยกทางชนชั้น เพียงแต่คนชั้นล่างถูกนักการเมืองกระตุ้นปมด้อยขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการปลุกเร้า แต่ลืมไปว่า ปัญหาทางชนชั้นและไม่เท่าเทียมกันของคนชั้นล่างนั้นก็เกิดมาจากนักการเมืองไม่ใช่โครงสร้างของสังคม เพราะสังคมไทยไม่เคยแบ่งชั้นวรรณะและกีดกันการเติบโตทางชนชั้น
คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนรากหญ้าเป็นผู้สูญเสียโอกาสในสังคมถูกทำให้เชื่อว่า ทักษิณเป็นคนหยิบยื่นโอกาสนั้นให้ตัวเองด้วยนโยบายประชานิยม แต่ลืมไปว่า สิ่งที่ทักษิณหยิบยื่นให้นั้น เป็นอาหารพิษที่ป้อนให้กลายเป็นมนุษย์จีเอ็มโอที่ไม่สามารถเติบโตและโงหัวขึ้นมาได้ด้วยตัวเองนอกจากรอให้นักการเมืองป้อนอาหารไปตลอดชีวิต
ผมมีความเห็นบางส่วนของคุณบิลลี่ โอแกน หรือบิลลี่เข้ม ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เห็นความตั้งใจของพันธมิตรฯ ต่อสังคม ผมเห็นว่า เป็นความเห็นที่น่าสนใจจึงขออนุญาตคุณบิลลี่นำมาเผยแพร่ไว้ดังนี้
“ประชาธิปไตยอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดของการปกครอง หากอำนาจนั้นอยู่ในมือของคนชั่ว คนไร้ศีลธรรม และไม่รู้จักคำว่าพอเพียง และจะยังคงอยู่วังวนนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน หากประชาชน ยอมรับเพียงผลประโยชน์ และนโยบายประชานิยม เพ้อฝัน เปรียบเสมือนเป็นแค่...สุนัขใต้โต๊ะ ที่รอคอยเศษอาหารที่เหลือจากการสวาปามบุฟเฟต์โต๊ะใหญ่ของนักการเมือง ที่นำเอางบประมาณและทรัพยากรของประเทศที่สมควรจะเป็นของคนไทยทุกคนไปแบ่งปันกันอย่างสุขสันต์ หากพวกเรายอมเป็นสุนัขที่คอยกระดิกหางและดีใจกับเศษอาหารที่คนพวกนี้โยนมาให้ ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราคิดเองไม่เป็น และพอใจจะเป็นสุนัขเอง
ดังนั้นคำตอบสุดท้ายของผมคือ โหวตโน ครับ เพราะผมไม่ใช่สุนัขที่พอใจเพียงเศษอาหาร ในเมื่อพ่อของผมเป็นพ่อที่ดีที่สุด และไม่เคยเห็นลูกของท่านเป็นสุนัข ท่านได้เตรียมอาหารที่พอเพียง และเพียงพอสำหรับลูกๆ ของท่านทุกคน”
ความเห็นของคุณบิลลี่ต่อเรื่องนี้ความจริงมีอีกยาวครับ แต่คุณบิลลี่เห็นว่าเป็นการเขียนเพื่อเผยแพร่เฟซบุ๊กและต้องดำรงจุดประสงค์เพื่อให้เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กอ่านเท่านั้น ผมจึงไม่สามารถเอาฉบับเต็มมาเผยแพร่ได้ต้องไปหาอ่านกันเอง
สำหรับผมแล้วไม่ได้หวั่นไหวว่า โหวตโนจะมีผลทางกฎหมายอย่างที่ถกเถียงกันหรือไม่ แต่ผมไปโหวตโนเพราะมันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผมและเพราะหัวใจของผมเรียกร้อง
คะแนนโหวตโนจะได้เท่าไหร่ก็เอาเถอะ แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์คะแนนและกระแสนั้นแพ้พรรคเพื่อไทยแน่ๆ และทุกโพลทุกสำนักก็บอกว่าแพ้แน่ๆเช่นเดียวกัน ตอนออกไปรณรงค์ตามข้างทางผมเห็นประชาชนที่ออกมาแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านเราบ้างก็มีแต่ยกนิ้วชี้สู้ว่าจะเลือกเบอร์ 1 ไม่เห็นเบอร์ 10 เลยแม้แต่คนเดียว
แต่ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมา เพื่อไทยชนะหรือประชาธิปัตย์ชนะสามารถรวบรวมเสียงข้างมากตั้งรัฐบาล การเมืองไทยก็ไม่มีวันสงบอีกต่อไป
เพราะถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล การเมืองไทยก็เหมือนเดิมย่ำอยู่กับที่ นายอภิสิทธิ์ก็ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลที่อ่อนแอเกาะโพเดียมพายเรือให้โจรนั่ง ถูกสุเทพ เทือกสุบรรณ บงการ และให้เนวิน ชิดชอบขี่คอต่อไป จากนั้นเสื้อแดงก็จะลุกขึ้นมาก่อหวอดเผาบ้านเผาเมือง เพื่อเรียกร้องให้ทักษิณกลับบ้าน อภิสิทธิ์หลบเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร ประชาชนส่วนหนึ่งที่รักชาติบ้านเมืองอาจจะออกมาต่อต้านบาดเจ็บล้มตายเหมือนที่แล้วๆ มา
ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล สิ่งที่จะทำคือ การนิรโทษกรรมให้ทักษิณ สถาปนารัฐไทยใหม่ตามแนวทางคนเสื้อแดง ขบวนการล้มเจ้าที่แฝงอยู่ในคนเสื้อแดงก็เหิมเกริม ประชาชนส่วนหนึ่งอย่างน้อยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ต้องออกมาต่อต้าน
ถ้าบ้านเมืองย่ำอยู่กับสองพรรคนี้จึงดูเหมือนไม่มีทางออกไม่มีทางไป และหลีกหนีความวุ่นวายไปไม่พ้นเป็นแน่ แต่ทางออกพรรคที่สามนั้นไม่มี เพราะมีแต่พรรคกาฝากรอเป็นรัฐบาล พรรคจำอวด พรรคเฉพาะกิจ และพรรคนอมินีแทบทั้งสิ้น
การโหวตโนหรือกาช่องไม่ประสงค์จะเลือกทั้งคนและพรรคเพื่อยับยั้งนักการเมือง จึงเป็นทางออกที่จะดับวิกฤตของบ้านเมืองได้มากที่สุด เพราะโหวตโนจะเป็นการเตือนสตินักการเมืองให้ยั้งคิดว่าประชาชนกำลังไม่พอใจการเมืองที่เป็นอยู่แล้วต้องการการเปลี่ยนแปลง คะแนนโหวตโนจำนวนมากสามารถยับยั้งนักการเมืองใช้อำนาจกระทำตามอำเภอใจได้
แต่หากจะถามผมว่า โหวตโนและยังไงต่อ คำตอบของผม ณ เวลานี้ก็คือ โหวตโนจะทำให้เราทุกคนหันหน้าเข้าหากันเพื่อหาทางออกให้กับการเมืองไทย และตั้งคำถามค้นหาค้นคว้าและจุดประกายว่าสังคมไทยต้องการการเมืองแบบไหน อะไรที่เป็นเงื่อนไขที่ทำให้คนไทยแบ่งแยกกัน คนเสื้อเหลืองต้องการอะไร คนเสื้อแดงต้องการอะไร รูปแบบไหนที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคมทำให้ประชาชนมีสิทธิและความเสมอภาคกัน
เราต้องเอาประเทศไทยออกมาจากการแย่งชิงอำนาจของนักการเมืองแล้วเอาประชาชนเป็นตัวประกัน ผมเชื่อมั่นว่า ประชาชนไม่มีวันจะขัดแย้งกันถ้านักการเมืองใช้อำนาจอย่างเป็นธรรม ความเป็นอยู่ของประชาชนจะดีขึ้นถ้านักการเมืองไม่โกงชาติโกงแผ่นดิน
การต่อสู้และออกมารณรงค์โหวตโนของพันธมิตรฯ จึงไม่ใช่เรื่องการช่วงชิงอำนาจการเมืองอย่างที่นักการเมืองกำลังต่อสู้กัน ไม่ใช่เรื่องของความแตกแยกระหว่างเหลืองกับแดง เพราะคนเสื้อเหลืองนั้นไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลืองก็ต้องการความยุติธรรมและความเสมอภาคกันในสังคมเหมือนกับที่คนเสื้อแดงต้องการ
การโหวตโนของพันธมิตรฯ ด้วยการปฏิเสธนักการเมืองทุกคนทุกพรรคนั้น ต้องการให้เกิดพลังที่จะเปลี่ยนแปลงกติกาและดุลอำนาจของสังคมเสียใหม่ ไม่ใช่การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองที่ประชาชนมีหน้าที่แค่ไปกาบัตรลงคะแนนแล้วปล่อยให้นักการเมืองทำอย่างไรกับบ้านเมืองก็ได้ตราบที่อยู่ในอำนาจ เพราะประชาธิปไตยก็บอกอยู่แล้วว่า นักการเมืองใช้อำนาจแทนเราไม่ใช่ใช้อำนาจแทนใจตัวเอง
ผมไม่ปฏิเสธว่าคนเสื้อเหลืองส่วนใหญ่นั้นคือชนชั้นกลางที่มีความตื่นตัวทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันก็มีคนชั้นล่างอยู่ไม่น้อย ผมจึงไม่คิดว่า การตื่นตัวของคนชั้นล่างในเสื้อแดงจะเป็นผลพวงมาจากปัญหาทางชนชั้นแบบที่นักวิชาการพยายามเอาทฤษฎีการลุกขึ้นสู้ของประชาชนเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมนิยมในทศวรรษที่ 60 และ 70 มาอธิบาย
ขณะเดียวกันผมอยากจะบอกว่า คนเสื้อเหลืองลุกขึ้นมาต่อสู้เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรมและความฉ้อฉลที่เกิดขึ้นจากนักการเมืองที่เข้ามาใช้อำนาจ ด้วยสำนึกของความผิดชอบชั่วดี
ในมุมมองของผมความแตกแยกของสังคมไทยทุกวันนี้ไม่ใช่ความแตกแยกทางชนชั้น เพียงแต่คนชั้นล่างถูกนักการเมืองกระตุ้นปมด้อยขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการปลุกเร้า แต่ลืมไปว่า ปัญหาทางชนชั้นและไม่เท่าเทียมกันของคนชั้นล่างนั้นก็เกิดมาจากนักการเมืองไม่ใช่โครงสร้างของสังคม เพราะสังคมไทยไม่เคยแบ่งชั้นวรรณะและกีดกันการเติบโตทางชนชั้น
คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนรากหญ้าเป็นผู้สูญเสียโอกาสในสังคมถูกทำให้เชื่อว่า ทักษิณเป็นคนหยิบยื่นโอกาสนั้นให้ตัวเองด้วยนโยบายประชานิยม แต่ลืมไปว่า สิ่งที่ทักษิณหยิบยื่นให้นั้น เป็นอาหารพิษที่ป้อนให้กลายเป็นมนุษย์จีเอ็มโอที่ไม่สามารถเติบโตและโงหัวขึ้นมาได้ด้วยตัวเองนอกจากรอให้นักการเมืองป้อนอาหารไปตลอดชีวิต
ผมมีความเห็นบางส่วนของคุณบิลลี่ โอแกน หรือบิลลี่เข้ม ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่เห็นความตั้งใจของพันธมิตรฯ ต่อสังคม ผมเห็นว่า เป็นความเห็นที่น่าสนใจจึงขออนุญาตคุณบิลลี่นำมาเผยแพร่ไว้ดังนี้
“ประชาธิปไตยอาจไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดของการปกครอง หากอำนาจนั้นอยู่ในมือของคนชั่ว คนไร้ศีลธรรม และไม่รู้จักคำว่าพอเพียง และจะยังคงอยู่วังวนนี้ต่อไปอีกนานเท่านาน หากประชาชน ยอมรับเพียงผลประโยชน์ และนโยบายประชานิยม เพ้อฝัน เปรียบเสมือนเป็นแค่...สุนัขใต้โต๊ะ ที่รอคอยเศษอาหารที่เหลือจากการสวาปามบุฟเฟต์โต๊ะใหญ่ของนักการเมือง ที่นำเอางบประมาณและทรัพยากรของประเทศที่สมควรจะเป็นของคนไทยทุกคนไปแบ่งปันกันอย่างสุขสันต์ หากพวกเรายอมเป็นสุนัขที่คอยกระดิกหางและดีใจกับเศษอาหารที่คนพวกนี้โยนมาให้ ก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเราคิดเองไม่เป็น และพอใจจะเป็นสุนัขเอง
ดังนั้นคำตอบสุดท้ายของผมคือ โหวตโน ครับ เพราะผมไม่ใช่สุนัขที่พอใจเพียงเศษอาหาร ในเมื่อพ่อของผมเป็นพ่อที่ดีที่สุด และไม่เคยเห็นลูกของท่านเป็นสุนัข ท่านได้เตรียมอาหารที่พอเพียง และเพียงพอสำหรับลูกๆ ของท่านทุกคน”
ความเห็นของคุณบิลลี่ต่อเรื่องนี้ความจริงมีอีกยาวครับ แต่คุณบิลลี่เห็นว่าเป็นการเขียนเพื่อเผยแพร่เฟซบุ๊กและต้องดำรงจุดประสงค์เพื่อให้เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กอ่านเท่านั้น ผมจึงไม่สามารถเอาฉบับเต็มมาเผยแพร่ได้ต้องไปหาอ่านกันเอง
สำหรับผมแล้วไม่ได้หวั่นไหวว่า โหวตโนจะมีผลทางกฎหมายอย่างที่ถกเถียงกันหรือไม่ แต่ผมไปโหวตโนเพราะมันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผมและเพราะหัวใจของผมเรียกร้อง