xs
xsm
sm
md
lg

อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา ไม่เลือกใครทั้งแมลงสาบและปูแดง!?

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


“อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา โหวต No ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง X กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน”

ป้ายคัตเอาต์หลังเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่หันหน้าไปยังสำนักงานองค์การสหประชาชาติในกรุงเทพมหานาคร ได้สร้างความเดือดร้อนทุรนทุรายให้แก่นักการเมืองหลายคน ถึงกับมีข้าราชการตำรวจต้องออกมาให้สัมภาษณ์เอาอกเอาใจนักการเมืองว่าจะจัดการเอาป้ายที่แสลงใจนักการเมืองนี้ให้จงได้

ความจริงแล้วป้ายคัตเอาต์นี้ก็อธิบายในตัวเองอยู่แล้วว่า เป็นการรณรงค์เฉพาะไม่ให้สัตว์เข้าสู่สภา ส่วนนักการเมืองที่คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์และไม่ได้เป็นไปดังภาพนั้น ก็ไม่ควรจะแสดงความเดือดร้อนใดๆ

เพราะด้านหนึ่งประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาจะทราบดีว่านักการเมืองไทยไม่มีทางเป็นสัตว์ไปได้ แต่ประชาชนจะสามารถตัดสินใจด้วยวิจารณญาณของตัวเองได้ว่านักการเมืองไทยมีพฤติกรรมเหมือนสัตว์เหล่านี้จริงหรือไม่?

ในขณะอีกด้านหนึ่ง หากนักการเมืองคนใดหรือคณะใดที่คิดว่าตัวเองเดือดร้อนจากป้ายนี้ ก็ควรจะต้องเปิดเผยตัวออกมาให้สังคมได้รับรู้ว่า...

สัตว์ตัวไหนในป้ายที่หมายถึงตัวเองแล้วจึงทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน!!?

บางคนเดือดร้อนบอกว่าป้ายนี้มีความไม่เหมาะสม เพราะเป็นคำหยาบคายทำให้สมาชิกผู้ทรงเกียรติจำนวนไม่น้อยมีความไม่พอใจสูง แต่แท้ที่จริงแล้วสัตว์ที่อยู่ในภาพเหล่านี้ต่างเคยถูกนำมาใช้เป็นคำด่าในสภาผู้แทนราษฎรของท่านผู้ทรงเกียรติมาแล้วทั้งสิ้น

และบังเอิญว่าสถานที่ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐสภานั้นก็คือสวนสัตว์ดุสิต!!!
แต่ว่าสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในสวนสัตว์ดุสิตไม่ได้ทำความเดือดร้อนกับคนอื่นๆ เพราะถูกขังอยู่ในกรง แต่นักการเมืองต่างหากที่ปล้นชาติขายแผ่นดินทำร้ายและทำบาปให้กับประเทศชาติได้อย่างมหาศาล

“หมาใส่สูท” จึงเป็นตัวแทนของสัตว์ปากหมา ทะเลาะเหมือนหมากัดกัน กัดกันจนเขี้ยวฟันหักน้ำลายยืดเหมือนหมาบ้า

“เสือใส่สูท” จึงเป็นตัวแทนความดุร้ายและเขี้ยวลากดิน มีความอำมหิต โหดเหี้ยม เป็นผู้ทรงอิทธิพลเลี้ยงมือปืนที่เที่ยวเข่นฆ่าและทำร้ายคนอื่นไปทั่วโดยไม่มีความผิด

“ควายใส่สูท” จึงเป็นตัวแทนของการถูกลากจูงไปทำอะไรก็ได้ ไปไหนไปกันเป็นคอกเกาะกลุ่มกันตัวละ 20-60 ล้านบาท ไม่มีวิจารณญาณ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พร้อม “ยกกีบ” ไว้วางใจให้พรรคพวกได้เข้าสู่อำนาจ หรือ “ยกกีบ” สนับสนุนกฎหมายได้ทุกฉบับขอให้นายซึ่งเป็นเลขาธิการพรรคควายสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“เหี้ยใส่สูท” จึงเป็นตัวแทนของสัตว์ที่ชอบขโมยไข่ไก่ และไก่หรือสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านและประชาชนไปเป็นอาหาร ชอบลักขโมยส่วนหนึ่งเอาไปเป็นของตัวเอง อีกส่วนหนึ่งขโมยนำส่งไปให้ฤๅษีที่ภาพลักษณ์ดีเพื่อจะได้ปกป้องตัวเอง มีลิ้นสองแฉกเป็นสัญลักษณ์ของการตลบตะแลง ตระบัตสัตย์ และไว้ใจไม่ได้ ซึ่งสัตว์ประเภทนี้เห็นได้บ่อยมากกว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งในรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และเคยผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์ในทำเนียบรัฐบาลกันมาแล้ว

“ลิงหลอกเจ้า” จึงเป็นตัวแทนสัตว์ที่ชอบหลอกลวง ไม่อยู่กับที่ ไม่มีวินัย วิ่งกระโดดโลดเต้นไม่อยู่ในที่ประชุมสภา มือไม้ไวเที่ยวฉกฉวยขโมยของ ทำลายทรัพย์สินข้าวของเป็นนิจ เปลี่ยนใจย้ายข้างหักหลังกันได้ตลอดเวลาโดยไม่มีจุดยืน และพฤติกรรมหนึ่งที่ทำกันมาแล้วคือชอบแจกกล้วยในสภา

สัตว์ที่มีพฤติกรรมข้างต้นนั้น ไม่ว่า หมา เสือ ควาย เหี้ย และลิง นั้นต่างหลงตัวเองว่าอยู่เหนือกว่าคนอื่น ใส่เสื้อสูทผูกเนกไท สัตว์พวกนี้ชอบเรียกพวกเดียวกันเองว่า “ท่าน” นำหน้าชื่อตัวเอง และชอบเรียกพวกเดียวกันว่า “ท่านสมาชิกผู้ทรงเกียรติ” และจัดระเบียบที่คอปกเสื้อสูทให้เรียบร้อยว่าตัวเองฟอร์มดีเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป

สำหรับนักการเมืองที่ออกมาร้อนรนแล้วพูดว่านักการเมืองไม่ได้เลวทุกคน และหลายคนก็เป็นคนดีๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำอวดอ้างตนเองของนักการเมืองทั้งสิ้น เพราะประชาชนที่เห็นป้ายคัตเอาท์ก็คงจะคิดได้ว่าคนส่วนใหญ่ในสภานั้นมีพฤติกรรมเหมือนสัตว์บนป้ายคัตเอาท์ หรือเป็นคนดีจริงหรือไม่?

ประการสำคัญ “คนดี” หรือ “คนเลว” นักการเมืองที่มาคิดและพูดเอาเองว่านักการเมืองส่วนใหญ่เป็นคนดี หรือพวกข้าเลวน้อยกว่าอีกพวกหนึ่งนั้น อันที่จริงแล้วประชาชนเท่านั้นจะเป็นคนที่จะต้องตัดสินใจและใช้วิจารณญาณเองว่าระบบที่เป็นอยู่นั้นส่วนใหญ่นักการเมืองเลวจริงหรือไม่?

โดยเฉพาะในทางการเมืองนั้นหากจะวัดความดีและความเลว จะต้องดูพฤติกรรมว่าเป็นอย่างไรระหว่าง

1. นักการเมืองคนนั้นเลวด้วยตัวเองปล้นชาติขายแผ่นดิน ปลิ้นปล้อน
ตลบตะแลง ไร้ความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดี หรือไม่? หรือ

2. ทำตัวเหมือนว่าเป็นคนดีแต่แท้ที่จริงก็สมคบและสนับสนุนยกมือให้คนชั่วปกครองบ้านเมือง หรือไม่?

เพราะไม่ว่านักการเมืองที่อ้างว่าคนในวิชาชีพของตัวเองเป็นคนดี เหตุใดคนที่คิดว่าดีเกือบทั้งสภาเวลาเป็นรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยกลับยกมือไว้วางใจคนที่โกงมากที่สุดให้ปกครองบ้านเมืองต่อไป?

เวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจนักการเมืองโกงบ้านกินเมือง นักการเมืองในฝ่ายรัฐบาลที่ชอบอวดอ้างว่าในสภามีคนดี หายศีรษะไปไหนกันหมด แล้วยังไปยกมือไปไว้วางใจนักการเมืองชั่วอีก!?

ส่วนคนที่มีสำนึกแห่งความรู้รับผิดชอบชั่วดีหากงดออกเสียง หรือยกมือสวนมติพรรคเพราะเห็นว่านักการเมืองที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นโกงบ้านกินเมือง กลับไม่สามารถอยู่ในระบบนี้ได้เพราะนักการเมืองต่างสนใจที่จะปกป้องพวกพ้องเพื่อรักษาอำนาจมากยิ่งกว่าความผิดชอบชั่วดี

แสดงว่าตัวระบบที่มีผลิตผลเป็นนักการเมืองที่มีแต่จำพวกนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน เพราะแม้แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังสุด นักการเมืองที่ประชาชนไว้วางใจน้อยที่สุดกลับได้รับเสียงไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด?

ระบบที่เป็นอยู่จึงเป็นระบบที่เอื้ออำนวยให้คนชั่วปกครองบ้านเมือง คน (ดูเหมือนดี) ก็อยู่ในระบบที่ส่งเสริมให้คนไม่ดีได้มีอำนาจ

ที่เป็นอย่างนี้เพราะนักการเมืองยึดถือเอาเงินเป็นใหญ่ นักการเมืองซื้อเสียงโกงการเลือกตั้ง ขายตัวย้ายข้างได้อย่างไร้อุดมการณ์ โกงทุจริตคอร์รัปชันแล้วนำเงินมาจ่ายเป็นเงินเดือนให้พรรคและซื้อตัว ส.ส.นักการเมืองเหล่านี้จึงคุยกันด้วยภาษาเงินเป็นเสมือน “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยเงิน”

ถ้านักการเมืองคุยกันเรื่องเงินเป็นใหญ่ คนที่รวยมากที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ อภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อใดคนโกงมากที่สุดก็จะเป็นคนรวยมากที่สุด จึงย่อมต้องได้รับความไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด

เลขาธิการพรรคการเมืองที่โกงเงินแผ่นดินมาใช้ในการเลือกตั้งและจ่ายค่าใช้จ่ายในพรรค จึงไม่เคยแพ้ในการยกมืออภิปรายไม่ไว้วางใจ และได้เสียงอย่างท่วมท้นในทุกยุคทุกสมัย

ไม่มีประโยชน์อันใดแล้วที่จะมาข่มขู่ประชาชนว่าระวังถ้าไม่เลือก “พรรคแมลงสาบ” แล้ว “พรรคปูแดง” จะต้องมา เพราะไม่ว่าจะเลือกพรรค “แมลงสาบ” หรือ “พรรคปูแดง” เข้าสู่อำนาจสัตว์การเมืองเหล่านี้ก็จะไปโกงบ้านกินเมืองต่อไปสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไม่รู้จบสิ้น

ถ้าเลือก “พรรคปูแดง” ก็จะมุ่งไปทำลายหลักนิติรัฐเพื่อช่วยเหลือญาติพี่น้องและพ้องพวก ทุจริตคอร์รัปชัน ใช้เงินเป็นใหญ่ รวบอำนาจเอาไว้กับคนในครอบครัว เป็นที่รวมของคนที่คิดร้ายต่อสถาบัน ยกแผ่นดินไทยให้เป็นของชาติอื่น ซึ่งแน่นอนว่าถ้ายังเดินหน้าต่อไปในลักษณะนี้ ก็จะมีประชาชนออกมาชุมนุมต่อต้านอย่างไม่รู้จบสิ้น

ถ้าเลือก “พรรคแมลงสาบ” ให้กลับเข้ามาบริหารประเทศ ประชาชนก็ต้องเดือดร้อนอีกเช่นกัน ประชาชนต้องอพยพหนีออกจากแผ่นดินไทยไม่รู้อีกกี่รอบ ข้าวยากหมากแพงไม่รู้อีกกี่หน ต้องเข้าคิวซื้อน้ำมันปาล์มไม่รู้อีกกี่ครั้ง ต้องหวาดผวาวิตกกังวลที่มีคนใช้ความรุนแรงและเผาบ้านเผาเมืองที่ได้รับประกันตัวออกมานอกคุกอีกกี่ครา และต้องออกมาชุมนุมต่อต้านเพราะโกงบ้านกินเมืองอย่างไม่รู้จบสิ้นเช่นกัน

ดังนั้น ไม่ว่าได้ “พรรคปูแดง” หรือ “พรรคแมลงสาบ” มาก็ไม่ต่างกัน คือ ประชาชนต้องเดือดร้อนเหมือนกัน ประเทศชาติก็ต้องถูกทำร้ายจากนักการเมืองเหล่านี้อย่างแสนสาหัสเหมือนกัน

อย่างน้อยประชาชนที่หย่อนบัตรลงคะแนนแล้วไม่เลือกใคร ก็ได้ภาคภูมิใจว่าคะแนนของเราไม่ได้เป็นคะแนนสมรู้ร่วมคิดถูกนักการเมืองที่ทำร้ายประเทศชาติเอาไปอ้างในการปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมือง จึงเท่ากับว่าคะแนนของเราไม่ได้มีส่วนไปทำบาปและทำร้ายให้กับประเทศชาติ

แม้คะแนนที่กากบาทไม่เลือกใครจะไม่ได้มีผลทางกฎหมายในการเลือกใครเข้าสู่อำนาจ แต่การกากบาทไม่เลือกใครนั้นมีอำนาจที่จะกำหนดว่ารัฐบาลจะอยู่เป็นรัฐบาลต่อไปได้นานหรือไม่

ดังนั้นหากมีคนกากบาทไม่เลือกใครจำนวนมากจะเท่ากับเป็นการลดความชอบธรรมของนักการเมืองซึ่งถือเป็นแรงกดดันและพลังอำนาจต่อรองในการควบคุมพฤติกรรมของนักการเมืองได้

แต่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ การกากบาทไม่เลือกใครนั้นยังเป็นการส่งสัญญาณโดยมีการนัดหมายที่ไม่ยอมจำนนต่อระบบที่เน่าเฟะ จึงมีความชอบธรรมในการเรียกร้องปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ เพื่อให้ประเทศไทยรอดพ้นจากการเมืองที่ล้มเหลว

ดังนั้น การหย่อนบัตรลงคะแนนโดยไม่เลือกใครได้ชัยชนะกับตัวเองว่าคะแนนของเราไม่ได้ไปมีส่วนทำร้ายและทำบาปกับประเทศชาติ แต่ถ้าชวนคนรอบข้างและคนอื่นๆ ไปร่วมกันไม่ทำบาปและทำร้ายประเทศชาติกันมากๆ เพื่อเรียกร้องนำไปสู่ในการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่จะถือว่าทำบุญให้กับประเทศครั้งใหญ่

อย่าลืม 3 กรกฎาฯ เข้าคูหา กาไม่เลือกใคร!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น