xs
xsm
sm
md
lg

Vote No กับจินตนาการทางการเมือง (4)

เผยแพร่:   โดย: บรรจง นะแส

ในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยที่ผ่านมา ชนชั้นกลางคือพลังก่อหวอดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสทางสังคม มีโอกาสทางการศึกษา มีโอกาสในการประกอบอาชีพที่มั่นคงและก้าวหน้า ในบรรดาชนชั้นกลางที่เป็นปัญญาชนหมายถึงการมองภาพสังคมแบบองค์รวม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า รักธรรมชาติ ศิลปะ และติดตามข้อมูลข่าวสารการเคลื่อนไหวการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมอย่างเป็นเนื้อเดียวกันกับการดำรงชีวิตประจำวัน มีจิตใจสาธารณะ จุดแข็งของคนชั้นกลางคือมีจิตใจที่หลุดพ้นจากระบบอุปถัมภ์ค้ำชู สังคมใดที่มีคนชั้นกลางจำนวนมากสังคมนั้นจะเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีงามได้ง่าย

การเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงในต้นเดือนหน้านี้ จะเป็นการสำรวจพลังของคนชั้นกลางที่เป็นปัญญาชนในสังคมไทยอีกครั้ง ว่ามีกี่มากน้อย เพียงพอที่จะส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่เต็มไปด้วยสารพัดสารพันปัญหาว่าจะขับเคลื่อนไปโดยง่ายหรือยังจะต้องยากเย็นแสนเข็ญกันอีกนาน

Vote No เป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งที่บรรดาปัญญาชนคนชั้นกลางในสังคมไทยที่ต่างหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอย่างเอาจริงเอาจัง เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่สะพานมัฆวานฯ และผ่านจอ ASTV ได้หยิบยกแง่มุมและการเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างละเอียดหลังยุทธการ Vote No ซึ่งรอเพียงคำตอบและยอดจำนวนที่จะมาถึงเท่านั้น จำนวนและปริมาณคือประเด็นหนึ่งที่ปัญญาชนและคนชั้นกลางเฝ้ารอผล แต่สำหรับตัวพวกเขาเองยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะเอาอย่างไร

การได้มีโอกาสสนทนาวิสาสะกับพวกเขาหลายๆ กลุ่ม ทำให้ได้เข้าใจพวกเขาบ้างในบางมิติ เช่น หลายๆ คนมองไปที่นโยบายของพรรคการเมืองใหญ่ต่อเรื่องสำคัญๆ ที่พวกเขาติดตามและสนใจไม่ว่าเรื่องสำคัญๆ แต่ละเรื่องโดยเฉพาะในประเด็นเศรษฐกิจ เช่น กรณีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เขามองว่ารัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณใช้เวลา 67 เดือนในการทำงาน มีเงินเหลือเพียง 28,399 ล้านเหรียญสหรัฐ รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้เวลาแค่ 28 เดือนในการทำงาน มีเงินเหลือตั้ง 78,876 ล้านเหรียญสหรัฐ แล้วใช้ตรรกะทางคณิตศาสตร์ว่าหากรัฐบาลอภิสิทธิ์มีเวลา เท่ากับรัฐบาลทักษิณ 67 เดือน จะมีเงินเหลือ 188,739 ล้านเหรียญสหรัฐ

ผมพยายามจะสื่อสารว่าในฐานะที่เป็นคนทำงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและพัฒนาชนบท ที่เห็นปัญหาในระดับชุมชนหมู่บ้านและย้ำกับพวกเขาว่ามันไม่ไหวแล้วจริงๆ สังคมไทยเรากำลังจะล่มสลายในทุกๆ มิติ เขาหยิบข้อมูลสถิติที่พวกเขาติดตามมายื่นให้ผมแผ่นหนึ่ง ในนั้นสรุปผลไว้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์บริหารประเทศมา 2 ปีทำให้ดุลการค้าเราดีขึ้น GDP เทียบกับ ณ เมื่อปี 31 เงินคงคลังก็สูงขึ้นด้วยอัตราส่วนที่มากกว่าบัญชีหนี้สาธารณะก็ลดน้อยลงเมื่อเทียบสมัยทักษิณ อัตราเงินเฟ้อก็ต่ำกว่า สมัยรัฐบาลทักษิณ อัตราเงินเฟ้อสูงสุดช่วงปี 48 ถึง 49 อยู่ร้อยละ 4.6 ปัจจุบันอยู่ที่ 3 กว่า หนี้สาธารณะสูงขึ้นก็จริง แต่ปริมาณเมื่อเทียบกับรายได้กลับลดต่ำลง GDP ณ เมื่อปี 53 โตเป็นอันดับสองรองจากสิงคโปร์ อัตราการเพิ่มของจีดีพีเมื่อเทียบกับปี 53 ซึ่งอยู่อันดับ 22 ของโลก เป็นที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียนรองจากสิงคโปร์

ความสามารถในการใช้หนี้ของประเทศไทยก็สูงมากขึ้นในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ปัจจุบันประเทศเราสามารถใช้หนี้ได้ตกเดือนละ 1 หมื่นล้านแถมมีเงินส่งคลังเยอะกว่าด้วย ต้นปี 54 ส่งเข้ากว่า 3 แสนล้านการลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศต่างก็เพิ่มมากขึ้น ภายในมีผู้ขอรับการลงทุนเพิ่มร้อยละ 13 นี่คือความแตกต่างทางความคิดของการมองปัญหาแบบปัญญาชนคนชั้นกลาง ต่อคำอธิบายถึงยุทธวิธี Vote No ที่เราจะต้องต่อสู้กันด้วยข้อมูลและความคิดกันอีกมาก

พวกเขายังอ้างถึง The board of investment of Thailand ที่เปิดเผยตัวเลขการลงทุนจากภายในประเทศในไตรมาสแรก ปี 54 พบว่ามูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนช่วง ม.ค. 54 ถึง มี.ค. 54 มีมูลค่าถึง 117,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 53โดยเฉพาะในกลุ่มปิโตรเคมี กระดาษ และพลาสติก เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ส่วนกลุ่มที่รองลงมาก็เป็นอุตสาหกรรมบริการและก่อสร้าง อิเล็กทรอนิกส์และไฟฟ้าตามลำดับ จำนวนโครงการที่ลงทุน 453 โครงการเพิ่มขึ้นร้อยละ 58 เมื่อเปรียบเทียบรายปี ส่วนทางจากต่างประเทศมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 70,111 ล้านบาท โดยร้อยละ 50 มาจากทางญี่ปุ่นเน้นหนักทางด้านอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ โดยอัตราเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75 จากปี 53

พวกเขาสรุปกันว่า 2 ปีเศษที่อภิสิทธิ์เป็นหัวหน้ารัฐบาลผสมที่ ปชป.เป็นแกนนำสามารถนำประเทศไทยพ้นจากวิกฤตและเริ่มเติบโตอย่างมั่นคง ปี 2553 เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโต 7.8% และสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศได้ถึง 5 ล้านล้านบาท นับเป็นประเทศหนึ่งที่มีสถานะเศรษฐกิจดีที่สุดหลังยุคแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2553รัฐบาลค้าขายหาเงินเข้าประเทศจากการส่งออกสูงสุดในประวัติศาสตร์คือ 6 ล้านล้านบาท(195 พันล้านดอลลาร์) ด้วยอัตราเติบโต 28% ปี 2553รัฐบาลสร้างรายได้ 5.8 แสนล้านบาทจากการดึงนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาได้ถึง 15.8 ล้านคนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นตลาดทุนมีมูลค่าตลาดเพิ่มจาก 3 ล้านล้านเป็น 8 ล้านล้านบาทดัชนีเพิ่มจาก 4 ร้อยจุดทะลุ 1 พันจุดปี 2553 มีการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่กว่า 5 หมื่นนิติบุคคล และมีการเพิ่มทุนของนิติบุคคลที่มีอยู่เดิมสูงสุดในรอบ 99 ปี หนี้สาธารณะที่เกิดจากการกู้ของภาครัฐลดลงอย่างต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกันทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับ 40%...ฯลฯ

ผมถามคำถามสั้นๆ ว่าแล้วไง? เศรษฐกิจของประเทศเราเติบโตเชิงตัวเลขในเกือบทุกแกนหลักของระบบทุนนิยมเสรีที่ประเทศของเรากำลังเดินตาม และยอมรับระบบนี้ถึงขั้นระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศไว้ในส่วนที่ 7 (ที่ว่าด้วยนโยบายด้านเศรษฐกิจ) มาตรา 84 (1) คือ รัฐจะต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรมโดยอาศัยกลไกตลาด...ฯลฯ

แต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่จริงก็คือ การผูกขาดทางเศรษฐกิจ การทุจริตคอร์รัปชันทั้งนโยบายและอย่างหน้าด้านๆ ไม่ว่าการส่งส่วย การรีดไถ การเรียกเปอร์เซ็นต์จากธุรกิจการรับเหมาก่อสร้างตั้งแต่ระดับ อบต. อบจ.จนถึงระดับประเทศ ยาเสพติดระบาดทุกหย่อมหญ้า ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถูกทำลายไร้การคุ้มครองดูแล ช่องว่างระหว่างคนในชาติขยายกว้างขึ้นไร้จุดจบ เด็กเยาวชนเดินขายพวงมาลัยตามสี่แยกทุกหัวเมือง คนรุ่นคุณตาคุณยายนั่งพับเพียบยกมือไหว้ผู้คนเพื่อขอทานทุกสะพานลอย

นักการเมืองส่วนใหญ่มาจากผู้มีอำนาจและอิทธิพลทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติที่เข้ามาใช้อำนาจรัฐเพื่ออาชีพและธุรกิจของตัวเองและบริวาร พรรคการเมืองก็เป็นเสมือนห้างหุ้นส่วนจำกัดหรือกงสี ที่ทำหน้าที่ดูแลและกระจายผลประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ร่วมเป็นหุ้นส่วนหรือทายาทในกงสี ปัญหาของประเทศชาติโดยรวมจึงหมักหมมและเต็มไปด้วยปัญหาทั้งในระดับโครงสร้างและในจุดเล็กๆ อย่างชุมชนหมู่บ้านที่ต้องอาศัยฐานทรัพยากรธรรมชาติในการประกอบอาชีพและดำรงชีพ

Vote No ยุทธวิธีของประชาชนตาดำๆ ที่ตื่นรู้และตระหนักต่อปัญหาต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญอยู่ จึงร่วมกันใช้ยุทธวิธี Vote No ในครั้งนี้เพราะเห็นว่ามันคือช่องทางหนึ่ง ที่จะหลุดรอดจากกรอบที่กำลังจะถูกลากเข้าสู่กลไกของระบบการเมืองที่ล้มเหลว เพื่อหาทางสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ยอมจำนน พวกเขาต้องการพลังของปัญญาชนและคนชั้นกลางอีกส่วนหนึ่งที่เห็นปัญหา ที่จะต้องตัดสินใจอย่างกล้าหาญโดยมองไปในอนาคตข้างหน้าที่มากไปกว่าตัวเลข และข้อมูลทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวแต่มันหมายถึงชีวิตของผู้คน ของลูกหลานของประชาชนไทยโดยรวม ให้มาร่วมจินตนาการไปด้วยกันว่าวันนี้ประเทศไทยสังคมไทยจะต้องได้รับการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลงใหญ่กันอีกครั้ง และเราจะมาเริ่มต้นพร้อมกันด้วยการ Vote No.
กำลังโหลดความคิดเห็น