ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ด้วยใจจริงที่ท่านแสดงในความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ขอถามว่าท่านเข้าใจเรื่องระบอบประชาธิปไตยต่างกับเผด็จการหรือไม่อย่างไรไม่ใช่โมเมเอาว่า การมีรัฐธรรมนูญ มีระบบรัฐสภา มีการเลือกตั้ง มี ส.ส. มี ส.ว. รัฐบาลมีวาระ แล้วก็เข้าใจว่า นี่คือระบอบประชาธิปไตย นี่คือความล้มเหลวทางความคิดของผู้ปกครองที่สืบทอดตามๆ กันมายาวนาน 79 ปี และท่าน ผบ.ทบ. ก็เช่นเดียวกันหรือไม่ และไม่ใช่การโจมตีท่าน ผบ.ทบ. อย่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสงแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ การดูง่ายๆ ใครเป็นแนวร่วมฯ คนนั้น พวกเขาเหล่านั้นโจมตีกองทัพ เพื่อทำให้กองทัพอ่อนแอลง หมดความเชื่อถือ แล้วก็เอากองกำลังประชาชน (แดง) ติดอาวุธเข้ายึดกุมกองทัพที่เรียกว่าลุกขึ้นสู้ (Uprising) อย่าทำเลยมีคนรู้ทัน
การเตือนสติ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลบ้านเมือง ให้ความรู้ ปัญญาที่ถูกต้องเป็นภารกิจสำคัญยิ่งของเรา ไม่ใช่เข้าใจการเมืองการปกครองตามสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อหนังสือพิมพ์มักจะพูดผิดเสมอ เช่นคำว่า “ปฏิวัติ” กับ “รัฐประหาร” จินตภาพ (concept) มันต่างกันชนิดหน้ามือกับหลังมือ การปฏิวัติย่อมทำการโดยเปิดเผย เช่น สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย (ThaiPBS) เขากำลังนำการเคลื่อนไหวปฏิวัติ ดูเหมือนจะสอดคล้องกับคณะกรรมการปฏิรูปซึ่งนำโดย นายอานันท์ ปันยารชุน หมอประเวศ วะสี แนวคิดแบบสาธารณรัฐ เลือกผู้ว่าราชการจังหวัดเรื่องนี้จำเป็นต้องอธิบายชำแหละกันต่อไปว่ามันอันตรายต่อชาติ พูดสั้นๆ ว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องประชาธิปไตยและไม่รู้เรื่องการกระจายอำนาจ เขาไม่รู้อำนาจอะไรต้องกระจาย อำนาจอะไรต้องรวมศูนย์ อำนาจอะไร กึ่งกระจายกึ่งรวมศูนย์ ส่วนรัฐประหารทำการอย่างลับที่สุด
ท่าน ผบ.ทบ. ท่านต้องทราบอย่างลึกซึ้งว่า ระบอบเผด็จการใดๆ ก็ตามย่อมบ่อนทำลายลิดรอนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมเดชานุภาพให้เสื่อมถอยลง นี่คือเหตุสำคัญยิ่งใหญ่ของชาติ
การเริ่มต้นของระบอบเผด็จการ ตามหลักฐาน คณะราษฎรมีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎรไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน... พวกเขาไม่ได้โกหก ไม่ได้บิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่ยึดอำนาจเพื่อสร้างธรรมนูญการปกครองบิดเบือนในภายหลังว่าเป็นประชาธิปไตย
จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนร้ายกาจที่สุด เห็นผิดที่สุด เป็นเล่ห์กลเผด็จการเพื่อสร้างความชอบธรรมของคณะเผด็จการ อยู่ๆ ก็บัญญัติคำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” ไว้ใน รัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1 บททั่วไป โดยที่ยังไม่ได้สถาปนาหลักการฯ หรือระบอบประชาธิปไตย
มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคจอมเผด็จการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายรัฐมนตรี
ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาก็บัญญัติไว้ในฉบับที่8 พ.ศ. 2511 ใน มาตรา 2 ฉบับปี ในยุคจอมเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาฉบับ พ.ศ. 2517, 2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างโง่เขลา สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่รู้จบสิ้น รู้ๆ กันว่าที่บิดเบือนระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย 1) ผู้ปกครองได้ประโยชน์ 2) หลอกได้เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไรรู้แต่เพียงรูปแบบและวิธีการจากตะวันตก ส่วนหลักการปกครองหรือแก่นแท้ของการปกครองซึ่งเป็นตัวระบอบที่แท้จริง ไม่มีใครรู้และเข้าใจเลย โดยเฉพาะพรรคการเมืองทุกพรรค และโดยเฉพาะผู้นำเหล่าทัพใช่หรือไม่
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ 2 ขั้ว ระหว่างฝ่ายพรรคการเมืองเผด็จการกับฝ่ายเผด็จการรัฐประหาร ทั้งสองฝ่ายมีลัทธิรัฐธรรมนูญคือยกร่างรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้วก็บอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย แล้วก็เชื่อตามๆ กันมาจนประเทศชาติหายนะ ล้าหลังกว่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายสิบปี
ระบอบประชาธิปไตย เริ่มต้นด้วย 2 ขั้นตอน 1) เจริญรอยตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงประกาศสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ค้นหาอ่านได้จากบทความก่อนหน้านี้) เป็นสัมพันธภาพยิ่งใหญ่ระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับปวงชนในชาติเป็นก้าวแรกที่ถูกต้อง
2) ยกร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีหลักการปกครองฯ เป็นตัวตั้ง เป็นสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองฯ กับรัฐธรรมนูญ (หมวดและมาตราต่างๆ) ดุจดังสัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ ข้อสังเกต สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นทั้งฝ่ายหลักการปกครองและฝ่ายวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) หากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ถูกยกเป็นหลักการปกครอง ย่อมเสี่ยงต่อการยกเลิกโดยการเมืองแดงชั่วข้ามคืนเฉกเช่นในประเทศเนปาล ก็แค่ลบหมวดพระมหากษัตริย์ออกเท่านั้น แล้วถามว่ามีพรรคไหนบ้างที่คิดเสนอนโยบายสถาปนาหลักการปกครองฯ มีแต่พรรคลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งนั้น จึงไม่มีพรรคไหนๆ ให้น่าเลือกเลย นี่คือความจริงทางการเมืองไทย “โหวตโนกันดีกว่าเพื่อความก้าวหน้าของปวงชนในแผ่นดิน”
การเตือนสติ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลบ้านเมือง ให้ความรู้ ปัญญาที่ถูกต้องเป็นภารกิจสำคัญยิ่งของเรา ไม่ใช่เข้าใจการเมืองการปกครองตามสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อหนังสือพิมพ์มักจะพูดผิดเสมอ เช่นคำว่า “ปฏิวัติ” กับ “รัฐประหาร” จินตภาพ (concept) มันต่างกันชนิดหน้ามือกับหลังมือ การปฏิวัติย่อมทำการโดยเปิดเผย เช่น สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย (ThaiPBS) เขากำลังนำการเคลื่อนไหวปฏิวัติ ดูเหมือนจะสอดคล้องกับคณะกรรมการปฏิรูปซึ่งนำโดย นายอานันท์ ปันยารชุน หมอประเวศ วะสี แนวคิดแบบสาธารณรัฐ เลือกผู้ว่าราชการจังหวัดเรื่องนี้จำเป็นต้องอธิบายชำแหละกันต่อไปว่ามันอันตรายต่อชาติ พูดสั้นๆ ว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องประชาธิปไตยและไม่รู้เรื่องการกระจายอำนาจ เขาไม่รู้อำนาจอะไรต้องกระจาย อำนาจอะไรต้องรวมศูนย์ อำนาจอะไร กึ่งกระจายกึ่งรวมศูนย์ ส่วนรัฐประหารทำการอย่างลับที่สุด
ท่าน ผบ.ทบ. ท่านต้องทราบอย่างลึกซึ้งว่า ระบอบเผด็จการใดๆ ก็ตามย่อมบ่อนทำลายลิดรอนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมเดชานุภาพให้เสื่อมถอยลง นี่คือเหตุสำคัญยิ่งใหญ่ของชาติ
การเริ่มต้นของระบอบเผด็จการ ตามหลักฐาน คณะราษฎรมีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎรไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน... พวกเขาไม่ได้โกหก ไม่ได้บิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่ยึดอำนาจเพื่อสร้างธรรมนูญการปกครองบิดเบือนในภายหลังว่าเป็นประชาธิปไตย
จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนร้ายกาจที่สุด เห็นผิดที่สุด เป็นเล่ห์กลเผด็จการเพื่อสร้างความชอบธรรมของคณะเผด็จการ อยู่ๆ ก็บัญญัติคำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” ไว้ใน รัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1 บททั่วไป โดยที่ยังไม่ได้สถาปนาหลักการฯ หรือระบอบประชาธิปไตย
มาตรา 2 ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคจอมเผด็จการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายรัฐมนตรี
ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาก็บัญญัติไว้ในฉบับที่8 พ.ศ. 2511 ใน มาตรา 2 ฉบับปี ในยุคจอมเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาฉบับ พ.ศ. 2517, 2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างโง่เขลา สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่รู้จบสิ้น รู้ๆ กันว่าที่บิดเบือนระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย 1) ผู้ปกครองได้ประโยชน์ 2) หลอกได้เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไรรู้แต่เพียงรูปแบบและวิธีการจากตะวันตก ส่วนหลักการปกครองหรือแก่นแท้ของการปกครองซึ่งเป็นตัวระบอบที่แท้จริง ไม่มีใครรู้และเข้าใจเลย โดยเฉพาะพรรคการเมืองทุกพรรค และโดยเฉพาะผู้นำเหล่าทัพใช่หรือไม่
ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ 2 ขั้ว ระหว่างฝ่ายพรรคการเมืองเผด็จการกับฝ่ายเผด็จการรัฐประหาร ทั้งสองฝ่ายมีลัทธิรัฐธรรมนูญคือยกร่างรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้วก็บอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย แล้วก็เชื่อตามๆ กันมาจนประเทศชาติหายนะ ล้าหลังกว่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายสิบปี
ระบอบประชาธิปไตย เริ่มต้นด้วย 2 ขั้นตอน 1) เจริญรอยตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทรงประกาศสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ค้นหาอ่านได้จากบทความก่อนหน้านี้) เป็นสัมพันธภาพยิ่งใหญ่ระหว่างหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กับปวงชนในชาติเป็นก้าวแรกที่ถูกต้อง
2) ยกร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีหลักการปกครองฯ เป็นตัวตั้ง เป็นสัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครองฯ กับรัฐธรรมนูญ (หมวดและมาตราต่างๆ) ดุจดังสัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ ข้อสังเกต สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นทั้งฝ่ายหลักการปกครองและฝ่ายวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) หากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ถูกยกเป็นหลักการปกครอง ย่อมเสี่ยงต่อการยกเลิกโดยการเมืองแดงชั่วข้ามคืนเฉกเช่นในประเทศเนปาล ก็แค่ลบหมวดพระมหากษัตริย์ออกเท่านั้น แล้วถามว่ามีพรรคไหนบ้างที่คิดเสนอนโยบายสถาปนาหลักการปกครองฯ มีแต่พรรคลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญทั้งนั้น จึงไม่มีพรรคไหนๆ ให้น่าเลือกเลย นี่คือความจริงทางการเมืองไทย “โหวตโนกันดีกว่าเพื่อความก้าวหน้าของปวงชนในแผ่นดิน”