xs
xsm
sm
md
lg

การเลือกตั้ง เทศกาลแห่งการทำบาป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ปัญญาพลวัตร”
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง หลายคนก็ทราบดีอยู่แล้ว แต่มีบางมิติของการเมืองที่ผู้คนมุมมองตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นั่นคือระหว่างการเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณค่าเชิงคุณธรรม กับ การเมืองเป็นเรื่องของเงิน อำนาจ และการจัดองค์การ

การมีเงินทุนมาก การมีอำนาจรัฐ และการมีระบบการจัดตั้งที่เข้มแข็งย่อมเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชัยชนะทางการเมือง แต่ถ้าหากสิ่งเหล่านี้คือทั้งหมดของการเมืองและถ้าหากการเมืองไม่มีประเด็นเชิงจริยธรรมและคุณธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่มีความหมายอะไรไม่ว่าใคร พรรคการเมืองใดเป็นผู้ชนะ ยกเว้นสำหรับผู้ที่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ของนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้น

แต่การเมืองไทยปัจจุบันดูเหมือนเงิน อำนาจ ระบบการจัดตั้งที่เข้มแข็งของพรรค และนโยบายประชานิยมคือแกนกลางหลักในการขับเคลื่อน ประเด็นเชิงคุณธรรมไม่ดำรงอยู่แม้แต่กระทั่งชายขอบของการเมือง มันถูกนักการเมือง นักวิชาการ และผู้คนในสังคมลืมเลือน ละเลย และจมหายลงไปในทะเลน้ำเน่าทางการเมือง

ในภาพกว้าง การหาเสียงของนักการเมืองทุ่มเทให้กับสองเรื่องหลัก คือ การแข่งขันกันว่าใครมีนโยบายที่แจกเงินได้มากกว่า ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้เลือกตั้งได้มากกว่า แข่งขันกันทุ่มเงินว่าใครสร้างโครงการขนาดยักษ์ ได้มากกว่า ต่างอ้างว่าโครงการของตนดีกว่าของคู่แข่ง ส่วนอีกเรื่องคือ แข่งขันกันสร้างบทละคร ใครสร้างบทละครได้ดีกว่า เข้าถึงบทมากกว่า ทำตัวเป็นพระเอกหรือนางเอกมากกว่า

เราจึงเห็นพระเอกคาดผ้าขาวม้า ลุยโคลน ดำนา นั่งรถและขับรถที่ใช้ในไร่นา ทำอาหาร ใส่เสื้อวินขับรถจักรยานยนต์ เข้าวัดหาพระ บางคราวก็ถูกโห่ ถูกชูป้ายประท้วง ถูกขว้างด้วยไข่ เมื่อถูกกระทำมาดพระเอกก็ฉายแววออกมาเดินหน้าเข้าหาไปทำความเข้าใจ แต่บางครั้งมาดพระเอกก็พังทลายโดยไปตอบโต้เหน็บแนม เสียดสีผู้ประท้วงกลับไป

ส่วนนางเอกก็ไม่น้อยหน้า เธอสวยตลอดเวลา เดินหน้าเข้าสู่ไร่นานั่งรถไถ ใส่งอบ เตะฟุตบอล ทำตัวกลมกลืนกับกลุ่มผู้สนับสนุนที่รอรับ แสดงอาการรักเด็กอุ้มเด็กถ่ายภาพดูน่าเอ็นดูดี ครั้นพอนักข่าวถามหนักๆเข้าเกี่ยวกับเรื่องพี่ชายของเธอ ตาของเธอก็เริ่มแดงและน้ำตาคลอเบ้า และหลายโอกาสที่เธอหลั่งน้ำตา เรียกความสงสารจากคนดู และก็เช่นเดียวกับนางเอกหนังไทยทั่วไปคือการมีข้อจำกัดทางความคิดและสติปัญญา ก็จึงพูดอะไรได้แต่เพียงสั้นๆตามบทที่ผู้กำกับสอนมา


วิธีการการหาเสียงของนักการเมืองไทยเกือบทั้งหมดสะท้อนวิธีคิดของพวกเขาเกี่ยวกับผู้เลือกตั้งและสังคมไทย พวกเขาคิดว่าผู้เลือกตั้งไทยส่วนใหญ่เป็นผู้คนที่มีความโลภเป็นที่ตั้ง และมีเหตุผลหลักในการตัดสินใจเลือกตั้งโดยยึดผลประโยชน์ของตนเองเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งตัดสินใจกระทำการใดๆเป็นไปเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์และหลีกเลี่ยงจากผลกระทบทางลบที่ตามมา

ด้วยการที่นักการเมืองคิดว่าผู้เลือกตั้งมีเหตุผลเชิงจริยธรรมแบบเด็กอนุบาล พวกเขาจึงเสนอผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ผู้เลือกตั้ง ผลประโยชน์ทางตรงที่เห็นได้ชัดคือการซื้อเสียง หรือการให้เงินเพื่อแลกกับคะแนนเสียง และแน่นอนว่าพวกนักการเมืองบางคนในบางพื้นก็ยังมีกลไกในการควบคุมผู้เลือกตั้ง หากผู้เลือกตั้งคนใดรับเงินแล้วไม่ลงคะแนนให้ก็จะได้รับการตอบโต้อย่างใดอย่างหนึ่งจากหัวคะแนนหรือผู้สมัคร กลไกเหล่านี้จึงทำให้ผู้เลือกตั้งต้องเชื่อฟังคำสั่งและไม่กล้าบิดพลิ้วนักการเมือง

ผลประโยชน์ทางอ้อมเป็นการเสนอในลักษณะนโยบายประชานิยม ซึ่งเป็นการซื้อเสียงโดยสัญญาว่าจะให้สิ่งตอบแทน หากได้เป็นรัฐบาล แต่การซื้อเสียงโดยนโยบายประชานิยมแตกต่างจากการซื้อเสียงทางตรงคือ ขณะที่การซื้อเสียงทางตรงเป็นเงินที่นักการเมืองใช้เงินของตนเองซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากทุจริต ส่วนนโยบายประชานิยมเป็นการซื้อเสียงด้วยเงินงบประมาณแผ่นดิน ซื้อด้วยภาษีของคนทั้งประเทศ และเป็นการซื้อโดยสร้างภาระหนี้ให้กับคนทั้งประเทศเพื่อให้คนบางกลุ่มได้รับประโยชน์

สิ่งที่เป็นเรื่องตลกแต่ขำไม่ออกคือ มีนักวิชาการบางกลุ่มพยายามใช้ตรรกะและเหตุผลที่ดูเหมือนเป็นวิชาการเพื่ออธิบายในลักษณะที่สร้างความชอบธรรมให้กับการซื้อเสียงทั้งสองรูปแบบ โดยในการซื้อเสียงทางตรงอ้างว่าเป็นความจำเป็นและเป็นวัฒนธรรมของชาวบ้านที่ต้องขายเสียง เพราะชาวบ้านอยู่ภายใต้บริบทของสังคมแบบอุปถัมภ์ ไม่สามารถปฏิเสธการถูกซื้อได้ ส่วนใครที่ไม่เห็นด้วยกับการซื้อเสียงนักวิชาการเหล่านั้นก็วิจารณ์ว่าเป็นการดูถูกชาวบ้าน

การอธิบายในลักษณะที่สร้างความชอบธรรมให้กับการซื้อขายเสียงนั้น เท่ากับเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับนักการเมืองน้ำเน่าและระบบการเมืองน้ำเน่า ซึ่งมีส่วนสำคัญไม่น้อยที่ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยไทยมีปัญหา ทำให้การเมืองกลายเป็นเรื่องที่ปกคลุมด้วยเงินตราไปทั่วทุกปริมณฑลของสังคมไทย อันนำไปสู่การเบียดขับคุณธรรมทางการเมืองและจิตวิญญาณของประชาธิปไตยไปอยู่ชายขอบ

ส่วนนโยบายประชานิยมก็เช่นเดียวกันได้มีนักวิชาการบางกลุ่ม อธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับนโยบายเหล่านี้โดยเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยกินได้” ทั้งที่นโยบายประชานิยมเป็นนโยบายที่กัดกร่อนจิตวิญญาณของผู้คนให้อ่อนแอและลดการพึ่งตนเองลง ตลอดจนกัดกร่อนความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและการคลังของประเทศในระยะยาว ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในประเทศละตินอเมริกา ซึ่งทำให้ประเทศเหล่านั้นล้มละลาย สังคมแตกสลายและเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง

นักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลายเมื่อได้รับการให้ท้ายโดยนักวิชาการบางกลุ่ม ก็มีความย่ามใจในการกระทำของตนเองมากขึ้น จึงพยายามทุ่มทุนในการซื้อขายเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้นเพื่อให้พรรคตนเองได้รับเสียงส่วนใหญ่ และเมื่อได้รับเสียงส่วนใหญ่ไม่ว่าจะได้มาอย่างไร พวกเขาก็จะอ้างว่ามีความชอบธรรม และทึกทักเอาเองว่าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง

ผมเห็นบทความของนักวิชาการบางคนในหนังสือพิมพ์บางฉบับที่เขียนอย่างหลับหูหลับตาว่า “เสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง” โดยไม่สนใจว่าเสียงส่วนใหญ่ได้มาอย่างไร ก็ได้แต่ถอนหายใจและนึกปลงกับสิ่งที่เขาเขียน สังคมไทยจะเป็นอย่างไรถ้านักวิชาการมีสติปัญญาได้แค่นี้ ความถูกต้องชอบธรรมของเสียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเสียงเหล่านั้นได้มาด้วยวิธีการที่ถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่ได้มาด้วยการซื้อ จัดหา จัดตั้ง ข่มขู่ หลอกลวงหรือคดโกง ดังที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งของสังคมไทย

นอกจากการซื้อขายเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อมแล้ว นักการเมืองน้ำเน่าได้แสดงวิธีคิดที่ดูถูกสติปัญญาของผู้เลือกตั้งเด่นชัดยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาหาเสียงโดยสร้างบทละคร พวกนักการเมืองเหล่านั้นคงวิเคราะห์ว่าผู้เลือกตั้งไทยส่วนใหญ่ชอบละครน้ำเน่า ชอบเรื่องราวที่ตื่นเต้นหวือหวา โดยไม่สนใจเนื้อหา พวกเขาหาเสียงโดยการปั้นพระเอก และนางเอกทางการเมืองขึ้นมา เขียนบทให้ตัวเอกเดินตามและสร้างเหตุการณ์จนเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกวัน

ภาพลักษณ์ที่พวกเขาใช้คือ ความสวย ความหล่อ เป็นสิ่งดึงดูดใจ จากนั้นใช้กิจกรรมในลักษณะที่ดูติดดินเป็นชาวบ้านเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับชาวบ้าน ใช้อุปสรรคเป็นตัวเรียกความสงสาร เช่น ถูกขัดขวางการเสียง ถูกขว้างด้วยไข่ไก่ ใช้การชี้แจงทันทีต่อผู้ไม่เห็นด้วยเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญ ใช้น้ำตาเรียกความเห็นอกเห็นใจ และใช้การพูดแบบสุภาพและกิริยาที่อ่อนน้อมเรียกความนิยม

การที่นักการเมืองหาเสียงโดยใช้แนวทางการสร้างภาพลักษณ์และเดินเรื่องแบบละคร ก็เพื่อที่จะปกปิดลักษณะอันเป็นแก่นแท้ที่ล้มเหลวของตนเอง เช่น บางคนเมื่อมีโอกาสและมีอำนาจ กลับไม่กล้าใช้อำนาจในการจัดการและแก้ไขปัญหา กลายเป็นบุคคลที่ดีแต่พูดหลักการลอยๆไปวันๆหนึ่ง ส่วนบางคนก็อาจมีสติปัญญาจำกัด ในการหาเสียงจึงพยายามพูดให้น้อยที่สุด ไม่แสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศใดๆออกมาให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ ด้วยเกรงว่าผู้คนจะทราบถึงระดับความรู้และปัญญาในการบริหารประเทศของตนเอง ได้แต่ยิ้มสวยๆถ่ายรูปออกสื่ออย่างเดียว

สนามของการเลือกตั้งไทยจึงเป็นการเลือกตั้งที่จอมปลอม และหาจิตวิญญาณหรือการกระทำแห่งความเป็นประชาธิปไตยได้ยาก อันที่จริงเป็นการเลือกตั้งที่บั่นทอน กัดกร่อน และทำลายประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นการเลือกตั้งที่ปกคลุมเป็นด้วยเงินตรา มายาของบทละคร และนโยบายประชานิยม ยังเป็นการเลือกตั้งที่บ่อนทำลายไปถึงคุณธรรมในระดับพื้นฐานแห่งจิตของผู้คน เพราะเป็นการตอกย้ำความโลภ ความทุจริต การหลอกลวง การฉ้อฉล และความรุนแรงทั้งปวง

เทศกาลแห่งการเลือกตั้งจึงเป็นเทศกาลที่คนจำนวนมากลงมือกระทำสร้างบาปกรรมให้กับตนเองและประเทศชาติ เป็นเทศกาลแห่งการโกหกหลอกลวง ทุจิตฉ้อฉล และเป็นเทศกาลแห่งความรื่นเริงของเหล่าปีศาจร้ายทั้งปวง

ผู้เลือกตั้งที่ตื่นรู้และเห็นถึงความจริงเกี่ยวกับการเลือกตั้งไทย ย่อมไม่ร่วมอยู่ในกระบวนการสร้างบาปกรรมแก่ประเทศ พวกเขาจึงตัดสินใจไปใช้สิทธิลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์เลือกใคร เพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่และการเลือกตั้งแบบใหม่ที่เปิดพื้นที่ให้กับประเด็นทางคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมือง

กำลังโหลดความคิดเห็น