ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งเคยชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์มากตั้งแต่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งเมื่ออายุ 18 ปีจนถึงปัจจุบัน ผมไปเลือกตั้งทุกครั้ง และทุกครั้งผมเลือกพรรคประชาธิปัตย์ สมัยผมเรียนหนังสือผมเคยเดินตามคุณอาทิตย์ อุไรรัตน์ในการออกหาเสียงบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพราะผมศรัทธาทั้งในตัวของ ดร.อาทิตย์ และพรรคประชาธิปัตย์
แต่เลือกตั้งครั้งนี้ หลังจากที่ผมโตขึ้น เรียนหนังสือมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น ได้รับทราบข้อมูลจากหลายๆ ฝ่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งติดตามการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ผมมีแต่ความหนักใจที่จะออกไปกากบาทเลือกผู้สมัครและพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งที่กำลังจะถึงในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามแม้มุมมองของผมอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป แต่เมื่อพิจารณาใคร่ครวญคิดวิเคราะห์ดีแล้ว ผมได้คำตอบกับตัวเองครับ ว่าวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ผมจะออกไปเลือกตั้ง และผมจะกากบาทช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน หรือ “โหวตโน” ที่ผมจะเลือกช่องนี้เพราะ ผมเลือกเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และเพื่อพรรคประชาธิปัตย์ครับ โดยผมมีเหตุผลดังต่อไปนี้
ข้อแรก ในฐานะที่ผมเป็นนักสังคมศาสตร์ ระเบียบวิธีวิจัยอันหนึ่งซึ่งผมไม่เคยนิยมเลยคือการทำโพลล์ เพราะการทำโพลล์ ไม่ได้เป็นการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมโดยใช้หลักเหตุและผล ไม่ได้เป็นการศึกษาเชิงลึก แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นล้วนๆ ซ้ำร้ายบางครั้งผู้ที่ตอบคำถามจากการสำรวจโพลล์ยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องที่กำลังให้ข้อมูลอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับการเลือกตั้งของประเทศไทย ที่คนส่วนใหญ่ออกไปเลือกโดยอาศัยอารมณ์ความรู้สึก ความคิดเห็นล้วนๆ เป็น “ประชาธิปไตย 4 วินาที” โดยไม่ได้ทำการเปรียบเทียบวิเคราะห์นโยบายที่แต่ละพรรคนำเสนอทั้งในเรื่องผลที่จะเกิดขึ้นและความเป็นไปได้ของการใช้นโยบายนั้นๆ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ การทำโพลล์ดูจะกลายเป็นเครื่องมือวิจัยที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด และโพลล์ส่วนใหญ่ก็วิเคราะห์ว่า เพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงส่วนมาก ประชาธิปัตย์จะตามมาเป็นที่สอง และแม้จะเอาคะแนนที่คนเลือกโหวตโนมารวมกับคะแนนของคนที่เลือกประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็ยังแพ้อยู่ดี ดังนั้น “การโหวตโนจึงไม่ใช่การล้มหล่อเพื่อช่วยเหลี่ยม” อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ที่ประชาธิปัตย์น่าจะแพ้การเลือกตั้งเพราะ ประชาธิปัตย์ไม่มีคะแนนเสียงจัดตั้ง ไม่มีฐานสมาชิกพรรคที่ใหญ่ขนาดพรรคเพื่อไทย เพราะ ส.ส.ประชาธิปัตย์ดูแลฐานเสียงไม่ใกล้ชิดเหมือนเพื่อไทยที่เข้าพื้นที่ตลอด เพราะเมื่อประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์ไม่เคยจัดการขั้นเด็ดขาดจนทำให้มวลชนเสื้อแดงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะกระสุนที่ยิงออกไปมีไม่เท่ากัน จะเพราะอะไรก็ตามประชาธิปัตย์ก็น่าจะแพ้การเลือกตั้ง ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี นอกจากโพลล์ที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้ว สถานทูต สำนักข่าวต่างประเทศ สถาบันการเงินระดับโลกก็ทำการสำรวจและวิเคราะห์ไปในทิศทางเช่นเดียวกันนี้ สังเกตได้จากการปรับลดการลงทุนในหลักทรัพย์ของไทย หรือการเทขายหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะหลายๆ สำนักวิเคราะห์ว่า เพื่อไทย ซึ่งมีกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงที่ทำลายเศรษฐกิจชาติเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์อันดับต้นๆ จะได้เป็นรัฐบาล
ดังนั้นคะแนนเสียงโหวตโนจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากที่จะทำให้ฝ่ายค้านในชุดต่อไปซึ่งน่าจะนำโดยประชาธิปัตย์ได้ใช้ในการคานอำนาจกับรัฐบาลเพื่อไทย วันนี้พรรคประชาธิปัตย์อาจรังเกียจการโหวตโน แต่ผมเชื่อว่าเมื่อวันที่เขาเป็นฝ่ายค้าน คะแนนโหวตโนจะถูกนำมาอ้างถึงเมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเพื่อไทยซึ่งน่าจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องในอนาคตอันใกล้ ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อไทยทำอย่างแน่นอน อาทิ การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน หรือการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายที่น่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นการโหวตโนจึงเท่ากับเป็นการติดอาวุธให้กับประชาธิปัตย์ซึ่งน่าจะกลายเป็นฝ่ายค้านในอนาคต
ประเด็นที่สอง ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีความเป็นสถาบันสูง แม้ว่าปัจจุบันคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคจะเป็นคนดี มีความเหมาะสม แต่เลขาธิการพรรค และหลายๆ คนในพรรคอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในบทความของคุณอภิสิทธิ์ใน Facebook ที่พยายามสื่อว่า คุณอภิสิทธิ์จะไม่ต่อรองหรือปรองดองความความไม่ดี กับคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเหล็ก 9 ข้อ ผมเชื่อว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นอย่างนั้นจริง แต่คนอื่นๆ ในพรรคไม่แน่ ดังนั้นยิ่งการที่โหวตโนมีคะแนนเสียงมากเท่าใด และยิ่งพรรคแพ้เพื่อไทย ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีโอกาสกลับไปพิจารณาตนเอง จัดการล้างท้องถ่ายพยาธิ ปรับปรุงโครงสร้างพรรคใหม่ เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ และกลายเป็นสถาบันทางการเมืองที่น่าเชื่อถือต่อไปในอนาคต
ประการที่สาม เพื่อไทยเตรียมแผนสำรองไว้ใช้เป็นทางออกแล้ว เช่น เตรียมข้ออ้างในกรณีที่ไม่สามารถมี ส.ส.ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่งคือ 250 เสียง โดยจะอ้างได้ว่าสวนทางกับโพลล์ที่ตนเองทำ และที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากรัฐบาลประชาธิปัตย์กลั่นแกล้ง ดังนั้นเมื่อคิดในมุมมองเชิงกลยุทธ์การโหวตโนก็อาจจะกลายเป็นข้ออ้างที่ประชาธิปัตย์ใช้ได้เช่นกันในกรณีที่แพ้การเลือกตั้ง โดยอ้างว่าที่แพ้ไม่ใช่แพ้เพราะกรรมการบริหารพรรคเดินเกมผิด แต่แพ้เพราะโหวตโนมาแย่งคะแนนไป ซึ่งก็พอฟังได้ และทำให้คุณอภิสิทธิ์ยังสามารถเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องลาออก โดยความผิดที่พวกตนแพ้เลือกตั้งไปให้พวกพันธมิตร พร้อมกับอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในประเด็นที่สองว่า คุณอภิสิทธิ์ก็สามารถใช้ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เป็นข้ออ้างในการปฏิรูปพรรคไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน และยิ่งเมื่อผมได้อ่าน Facebook ของคุณอภิสิทธิ์ตอนที่ 1 เรื่องการเมืองสลับขั้ว ผมยิ่งแน่ใจว่าคุณอภิสิทธิ์รับได้ที่จะต้องเป็นผู้นำฝ่ายค้านอีกรอบเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ แม้คนอื่นๆ ในพรรคที่ต้องการเป็นรัฐบาลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าคุณอภิสิทธิ์รับได้
ประเด็นที่ 4 หลายๆ คนถามผมว่า แล้วยอมได้หรือ กับการที่พรรคร่างทรงหรือตัวโคลนนิ่งของนักโทษชายทักษิณจะกลับมาครองบ้านครองเมืองอีกครั้ง บ้านเมืองเราไม่ฉิบหายอีกรอบหรือ ผมคิดว่าเราต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง ถ้าคนส่วนใหญ่จะเอาเพื่อไทย เพื่อไทยก็ต้องเป็นรัฐบาลครับ แต่การโหวตโนจำนวนมากจะเป็นมิติใหม่ของการเมืองไทย เป็นการประกาศในเวทีโลกว่า สำหรับคนไทยแล้ว ถ้าตัวเลือกที่เสนอเข้ามาในการเลือกตั้งมีแต่ตัวเลือกที่ไม่ดี คนไทยก็มีปัญญาพอที่จะไม่เลือก และจะทำให้นานาชาติจับตามองการทำงานของรัฐบาลเพื่อไทยต่อไปอย่างใกล้ชิด การโกงจะทำได้ยากขึ้น และไม่สามารถออกมาอ้างได้ว่าผมทำได้เพราะประชาชนเลือกผมเข้ามาตั้งกี่ล้านเสียง เพราะเรามีคะแนนโหวตโนค้ำคอพวกเขาอยู่ ประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ดีที่สุดในประเทศ ซึ่งตัวเขาเองก็ยอมรับ สังเกตได้จากป้ายหาเสียงที่ประกาศว่าตนเองเป็นนักตรวจสอบมืออาชีพ ก็จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่เพราะมีคะแนนโหวตโนสนับสนุนอยู่ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งโหวตโนจำนวนมากแสดงว่าการเมืองภาคประชาชนโดยเฉพาะพันธมิตรกำลังจับตาดูการทำงานของรัฐบาลเพื่อไทยอยู่อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหวทันทีที่มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ดังนั้นโอกาสในการสลับขั้วอีกครั้ง ย่อมเป็นไปได้และเป็นโอกาสของประชาธิปัตย์อีกด้วย
ประเด็นที่ 5 ถ้าการสลับขั้วเกิดขึ้นในอนาคต ประชาธิปัตย์กลับมาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง อาจด้วยอุบัติเหตุทางการเมือง หรืออาจเพราะรัฐบาลเพื่อไทยแพ้ภัยตนเองโดนจับได้เรื่องผิดกฎหมายเลือกตั้ง เรื่องขาดคุณสมบัติ หรือเรื่องการโกงกินคอร์รัปชั่น คะแนนโหวตโนจำนวนมากจะทำให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ใช้เป็นอำนาจต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลขนาดเล็กและขนาดกลางอาทิ ชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทย ฯลฯ ได้ว่า คะแนนที่พรรคพวกคุณได้เข้ามายังไม่อาจชนะคะแนนโหวตโนได้เลย ดังนั้นถ้าเป็นรัฐบาลด้วยกันต้องปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆ อาทิ กฎเหล็กชุดต่อไปให้ได้ ดังนั้นอำนาจการต่อรองที่เพิ่มมากขึ้นเพราะคะแนนโหวตโนก็จะทำให้ภาวะจำยอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องพายเรือให้โจรนั่งเกิดขึ้นได้ยาก หรือไม่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องพึ่งพาพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งมีอำนาจต่อรองสูงอย่างที่ผ่านมา
และ ประเด็นสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่การโหวตโนเพื่อประชาธิปัตย์ แต่ผมเคยเขียนไปแล้วในบทความครั้งก่อนหน้านี้นั่นคือ พระบรมราโชวาทของในหลวงที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
ในทัศนคติหรือในมุมมองของผม โหวตโน คือการทำหน้าที่นี้ครับ!
ดั้งนั้นวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ผมจะออกจากบ้านแต่เช้าไปใช้และรักษาสิทธิ์ทางการเมืองโดยการเลือกตั้ง และจะกากบาทในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนหรือช่อง “โหวตโน” ด้วยความสบายใจครับ
แต่เลือกตั้งครั้งนี้ หลังจากที่ผมโตขึ้น เรียนหนังสือมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น ได้รับทราบข้อมูลจากหลายๆ ฝ่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งติดตามการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ผมมีแต่ความหนักใจที่จะออกไปกากบาทเลือกผู้สมัครและพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งที่กำลังจะถึงในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามแม้มุมมองของผมอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป แต่เมื่อพิจารณาใคร่ครวญคิดวิเคราะห์ดีแล้ว ผมได้คำตอบกับตัวเองครับ ว่าวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ผมจะออกไปเลือกตั้ง และผมจะกากบาทช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน หรือ “โหวตโน” ที่ผมจะเลือกช่องนี้เพราะ ผมเลือกเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และเพื่อพรรคประชาธิปัตย์ครับ โดยผมมีเหตุผลดังต่อไปนี้
ข้อแรก ในฐานะที่ผมเป็นนักสังคมศาสตร์ ระเบียบวิธีวิจัยอันหนึ่งซึ่งผมไม่เคยนิยมเลยคือการทำโพลล์ เพราะการทำโพลล์ ไม่ได้เป็นการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมโดยใช้หลักเหตุและผล ไม่ได้เป็นการศึกษาเชิงลึก แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นล้วนๆ ซ้ำร้ายบางครั้งผู้ที่ตอบคำถามจากการสำรวจโพลล์ยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องที่กำลังให้ข้อมูลอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับการเลือกตั้งของประเทศไทย ที่คนส่วนใหญ่ออกไปเลือกโดยอาศัยอารมณ์ความรู้สึก ความคิดเห็นล้วนๆ เป็น “ประชาธิปไตย 4 วินาที” โดยไม่ได้ทำการเปรียบเทียบวิเคราะห์นโยบายที่แต่ละพรรคนำเสนอทั้งในเรื่องผลที่จะเกิดขึ้นและความเป็นไปได้ของการใช้นโยบายนั้นๆ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ การทำโพลล์ดูจะกลายเป็นเครื่องมือวิจัยที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด และโพลล์ส่วนใหญ่ก็วิเคราะห์ว่า เพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงส่วนมาก ประชาธิปัตย์จะตามมาเป็นที่สอง และแม้จะเอาคะแนนที่คนเลือกโหวตโนมารวมกับคะแนนของคนที่เลือกประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็ยังแพ้อยู่ดี ดังนั้น “การโหวตโนจึงไม่ใช่การล้มหล่อเพื่อช่วยเหลี่ยม” อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ที่ประชาธิปัตย์น่าจะแพ้การเลือกตั้งเพราะ ประชาธิปัตย์ไม่มีคะแนนเสียงจัดตั้ง ไม่มีฐานสมาชิกพรรคที่ใหญ่ขนาดพรรคเพื่อไทย เพราะ ส.ส.ประชาธิปัตย์ดูแลฐานเสียงไม่ใกล้ชิดเหมือนเพื่อไทยที่เข้าพื้นที่ตลอด เพราะเมื่อประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์ไม่เคยจัดการขั้นเด็ดขาดจนทำให้มวลชนเสื้อแดงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะกระสุนที่ยิงออกไปมีไม่เท่ากัน จะเพราะอะไรก็ตามประชาธิปัตย์ก็น่าจะแพ้การเลือกตั้ง ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่ดี นอกจากโพลล์ที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยต่างๆ แล้ว สถานทูต สำนักข่าวต่างประเทศ สถาบันการเงินระดับโลกก็ทำการสำรวจและวิเคราะห์ไปในทิศทางเช่นเดียวกันนี้ สังเกตได้จากการปรับลดการลงทุนในหลักทรัพย์ของไทย หรือการเทขายหุ้นโดยนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้เพราะหลายๆ สำนักวิเคราะห์ว่า เพื่อไทย ซึ่งมีกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงที่ทำลายเศรษฐกิจชาติเป็นผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์อันดับต้นๆ จะได้เป็นรัฐบาล
ดังนั้นคะแนนเสียงโหวตโนจะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากที่จะทำให้ฝ่ายค้านในชุดต่อไปซึ่งน่าจะนำโดยประชาธิปัตย์ได้ใช้ในการคานอำนาจกับรัฐบาลเพื่อไทย วันนี้พรรคประชาธิปัตย์อาจรังเกียจการโหวตโน แต่ผมเชื่อว่าเมื่อวันที่เขาเป็นฝ่ายค้าน คะแนนโหวตโนจะถูกนำมาอ้างถึงเมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเพื่อไทยซึ่งน่าจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องในอนาคตอันใกล้ ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อไทยทำอย่างแน่นอน อาทิ การนิรโทษกรรมให้กับนักโทษหนีคดีอาญาแผ่นดิน หรือการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบายที่น่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นการโหวตโนจึงเท่ากับเป็นการติดอาวุธให้กับประชาธิปัตย์ซึ่งน่าจะกลายเป็นฝ่ายค้านในอนาคต
ประเด็นที่สอง ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีความเป็นสถาบันสูง แม้ว่าปัจจุบันคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคจะเป็นคนดี มีความเหมาะสม แต่เลขาธิการพรรค และหลายๆ คนในพรรคอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในบทความของคุณอภิสิทธิ์ใน Facebook ที่พยายามสื่อว่า คุณอภิสิทธิ์จะไม่ต่อรองหรือปรองดองความความไม่ดี กับคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเหล็ก 9 ข้อ ผมเชื่อว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นอย่างนั้นจริง แต่คนอื่นๆ ในพรรคไม่แน่ ดังนั้นยิ่งการที่โหวตโนมีคะแนนเสียงมากเท่าใด และยิ่งพรรคแพ้เพื่อไทย ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีโอกาสกลับไปพิจารณาตนเอง จัดการล้างท้องถ่ายพยาธิ ปรับปรุงโครงสร้างพรรคใหม่ เรียนรู้จากความพ่ายแพ้ และกลายเป็นสถาบันทางการเมืองที่น่าเชื่อถือต่อไปในอนาคต
ประการที่สาม เพื่อไทยเตรียมแผนสำรองไว้ใช้เป็นทางออกแล้ว เช่น เตรียมข้ออ้างในกรณีที่ไม่สามารถมี ส.ส.ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่งคือ 250 เสียง โดยจะอ้างได้ว่าสวนทางกับโพลล์ที่ตนเองทำ และที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากรัฐบาลประชาธิปัตย์กลั่นแกล้ง ดังนั้นเมื่อคิดในมุมมองเชิงกลยุทธ์การโหวตโนก็อาจจะกลายเป็นข้ออ้างที่ประชาธิปัตย์ใช้ได้เช่นกันในกรณีที่แพ้การเลือกตั้ง โดยอ้างว่าที่แพ้ไม่ใช่แพ้เพราะกรรมการบริหารพรรคเดินเกมผิด แต่แพ้เพราะโหวตโนมาแย่งคะแนนไป ซึ่งก็พอฟังได้ และทำให้คุณอภิสิทธิ์ยังสามารถเป็นหัวหน้าพรรคต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องลาออก โดยความผิดที่พวกตนแพ้เลือกตั้งไปให้พวกพันธมิตร พร้อมกับอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในประเด็นที่สองว่า คุณอภิสิทธิ์ก็สามารถใช้ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้เป็นข้ออ้างในการปฏิรูปพรรคไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน และยิ่งเมื่อผมได้อ่าน Facebook ของคุณอภิสิทธิ์ตอนที่ 1 เรื่องการเมืองสลับขั้ว ผมยิ่งแน่ใจว่าคุณอภิสิทธิ์รับได้ที่จะต้องเป็นผู้นำฝ่ายค้านอีกรอบเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ แม้คนอื่นๆ ในพรรคที่ต้องการเป็นรัฐบาลเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าคุณอภิสิทธิ์รับได้
ประเด็นที่ 4 หลายๆ คนถามผมว่า แล้วยอมได้หรือ กับการที่พรรคร่างทรงหรือตัวโคลนนิ่งของนักโทษชายทักษิณจะกลับมาครองบ้านครองเมืองอีกครั้ง บ้านเมืองเราไม่ฉิบหายอีกรอบหรือ ผมคิดว่าเราต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง ถ้าคนส่วนใหญ่จะเอาเพื่อไทย เพื่อไทยก็ต้องเป็นรัฐบาลครับ แต่การโหวตโนจำนวนมากจะเป็นมิติใหม่ของการเมืองไทย เป็นการประกาศในเวทีโลกว่า สำหรับคนไทยแล้ว ถ้าตัวเลือกที่เสนอเข้ามาในการเลือกตั้งมีแต่ตัวเลือกที่ไม่ดี คนไทยก็มีปัญญาพอที่จะไม่เลือก และจะทำให้นานาชาติจับตามองการทำงานของรัฐบาลเพื่อไทยต่อไปอย่างใกล้ชิด การโกงจะทำได้ยากขึ้น และไม่สามารถออกมาอ้างได้ว่าผมทำได้เพราะประชาชนเลือกผมเข้ามาตั้งกี่ล้านเสียง เพราะเรามีคะแนนโหวตโนค้ำคอพวกเขาอยู่ ประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ดีที่สุดในประเทศ ซึ่งตัวเขาเองก็ยอมรับ สังเกตได้จากป้ายหาเสียงที่ประกาศว่าตนเองเป็นนักตรวจสอบมืออาชีพ ก็จะทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่เพราะมีคะแนนโหวตโนสนับสนุนอยู่ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งโหวตโนจำนวนมากแสดงว่าการเมืองภาคประชาชนโดยเฉพาะพันธมิตรกำลังจับตาดูการทำงานของรัฐบาลเพื่อไทยอยู่อย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหวทันทีที่มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ดังนั้นโอกาสในการสลับขั้วอีกครั้ง ย่อมเป็นไปได้และเป็นโอกาสของประชาธิปัตย์อีกด้วย
ประเด็นที่ 5 ถ้าการสลับขั้วเกิดขึ้นในอนาคต ประชาธิปัตย์กลับมาจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง อาจด้วยอุบัติเหตุทางการเมือง หรืออาจเพราะรัฐบาลเพื่อไทยแพ้ภัยตนเองโดนจับได้เรื่องผิดกฎหมายเลือกตั้ง เรื่องขาดคุณสมบัติ หรือเรื่องการโกงกินคอร์รัปชั่น คะแนนโหวตโนจำนวนมากจะทำให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ใช้เป็นอำนาจต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลขนาดเล็กและขนาดกลางอาทิ ชาติไทยพัฒนา ภูมิใจไทย ฯลฯ ได้ว่า คะแนนที่พรรคพวกคุณได้เข้ามายังไม่อาจชนะคะแนนโหวตโนได้เลย ดังนั้นถ้าเป็นรัฐบาลด้วยกันต้องปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆ อาทิ กฎเหล็กชุดต่อไปให้ได้ ดังนั้นอำนาจการต่อรองที่เพิ่มมากขึ้นเพราะคะแนนโหวตโนก็จะทำให้ภาวะจำยอมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องพายเรือให้โจรนั่งเกิดขึ้นได้ยาก หรือไม่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องพึ่งพาพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งมีอำนาจต่อรองสูงอย่างที่ผ่านมา
และ ประเด็นสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่การโหวตโนเพื่อประชาธิปัตย์ แต่ผมเคยเขียนไปแล้วในบทความครั้งก่อนหน้านี้นั่นคือ พระบรมราโชวาทของในหลวงที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”
ในทัศนคติหรือในมุมมองของผม โหวตโน คือการทำหน้าที่นี้ครับ!
ดั้งนั้นวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ผมจะออกจากบ้านแต่เช้าไปใช้และรักษาสิทธิ์ทางการเมืองโดยการเลือกตั้ง และจะกากบาทในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนหรือช่อง “โหวตโน” ด้วยความสบายใจครับ