ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยร่วงกว่า 10 จุด สอดคล้องตลาดหุ้นต่างประเทศ เหตุหวั่นปัญหาหนี้กรีซบานปลาย บวกกับราคาน้ำมันลดกดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นพลังงาน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีกครั้งกว่า 1.6 พันล้านบาท ด้าน “จรัมพร” ชี้เม็ดเงินต่างชาติเข้าไทยลักษณะเทรดดิ้ง จากความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก –การเมืองในประเทศ มั่นใจฝรั่งหวนคืนหากทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ดี พร้อมเตรียมปรับแผนเพิ่มมูลค่าตลาดหุ้น-บอนด์ หลังเดินทางศึกษาตลาดหุ้นตุรกี
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า โดยได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาหนี้กรีซ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดแตะที่ระดับ 1,017.36 จุด สูงสุดที่ 1,024.60 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,019 จุด ลดลงจากวันก่อน 10.76 จุด หรือลดลง 1.04% มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 19,740.99 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นไทยออกมาอีกครั้ง หลังจากหวนกลับมาซื้อสุทธิได้ 2 วันติดต่อกัน โดยมียอดขายสุทธิ 1,660.95 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 57.39 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 662.84 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,381.18 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS ราคาปิดที่ 12.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือคิดเป็น 2.42% มูลค่าการซื้อขาย 1,247.89 ล้านบาท บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ราคาปิด 3.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 3.38% มูลค่าการซื้อขาย 1,104.54 ล้านบาท และบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RAIMON ราคาปิด 1.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท หรือ 0.76% มูลค่าการซื้อขาย 852.24 ล้านบาท
***หุ้นเอเชียกอดคอกันร่วง***
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นภูมิภาคที่สำคัญต่างปรับตัวลดลงเช่นกัน อาทิ ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ระดับ 21,953.11 จุด ลดลง 390.66 จุด หรือ 1.75% ปิด ตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิเกอิ ปิดที่ 9,411.28 จุด ลดลง 163.04 จุด หรือ 1.70% และตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีเสตรทไทม์ ปิดที่ระดับ 3,021.13 จุด ลดลง 33.69 จุด หรือคิดเป็น 1.12%
*** ปัจจัยลบรุมเร้าตลาดหุ้นไทย ***
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติขณะนี้จะเป็นลักษณะเทรดดิ้งตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ เนื่องจากยังมีความไม่ชัดเจนทั้งในเรื่องการเมืองในประเทศและเศรษฐกิจโลก ปัญหาหนี้ของกรีซ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหากหลังเลือกตั้งเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล ทีมเศรษฐกิจ และมีนโยบายที่ดีเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับมาเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเหมือนกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
ส่วนกรณีที่นักลงทุนต่างประเทศที่กลับเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 วันที่ผ่านมา (14-15 มิ.ย.)น่าจะเป็นการซื้อกลับหลังจากที่ผ่านมาได้มีการขายหุ้นไทยออกไปแล้วจำนวนมาก หลังจากนักลงทุนมีความกังวลในเรื่องปัจจัยการเมืองภายในประเทศหลังจากที่มีโบรกเกอร์ต่างประเทศมีการออกบทวิเคราะห์และมีคำแนะให้ลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศ
***ตลาดหุ้นเริ่มนิ่งหากไร้ปัจจัยลบเพิ่ม***
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงนี้ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่อ่อนแอ โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินในกรีซที่บานปลาย จนล่าสุดถูกสถาบันจัดอันดับปรับลดอันเครดิตลงสู่ระดับที่ไม่น่าลงทุน จึงส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลก บวกกับเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง กดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมสูงสุด ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น วันนี้ (17 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะยืนอยู่ในแดนบวกได้ หากยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ เพราะได้รับผลกระทบปัจจัยลบในต่างประเทศมาระดับหนึ่งแล้ว โดยประเมินแนวรับไว้ที่ระดับ 1,017 จุด และแนวต้นที่ระดับประมาณ 1,025 จุด
***บินดูงานตลาดหุนตุรกี***
นายจรัมพร กล่าวถึง การเดินทางไปศึกษางานที่ตลาดหลักทรัพย์ประเทศตุรกี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ตลาดหุ้นตุรกีมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาหลักทรัพย์ (มาร์เกตแคป) เท่ากับตลาดหุ้นไทย จำนวนประชากรใกล้เคียงกัน แต่ทำไมนักลงทุนสนใจเข้าไปลงทุนจำนวนมาก โดยมูลค่าการซื้อขายที่ตลาดหุ้นตุรกีสูงกว่าตลาดหุ้นไทยถึง 1 เท่าตัว และจำนวนนักลงทุนในหุ้นมี 1.3 ล้านคน จากประชากรที่มี 70 ล้านคน
จากการศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นตุรกี พบว่า ตุรกีมีการใช้สาขาของธนาคารพาณิชย์ให้เข้าถึงลูกค้า เป็นจำนวนมาก โดยสามารถที่จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และตราสารหนี้ผ่านธนาคารพาณิชย์ได้ ทำให้ตลาดหุ้น และตลาดบอนด์มีมูลค่าการซื้อขายที่สูงมาก ขณะที่ตลาดบอนด์ของไทยนั้นมูลค่าการซื้อขายไม่มาก
“หลังจากไปศึกษาดูงานแล้วตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพิจารณาว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้วอลุ่มการซื้อขายของตลาดหุ้น และตลาดบอนด์ของไทยมีการปรับตัวสูงขึ้นเหมือนกับตลาดหุ้นตุรกี” นายจรัมพร กล่าว
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า โดยได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัญหาหนี้กรีซ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดแตะที่ระดับ 1,017.36 จุด สูงสุดที่ 1,024.60 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,019 จุด ลดลงจากวันก่อน 10.76 จุด หรือลดลง 1.04% มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 19,740.99 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นไทยออกมาอีกครั้ง หลังจากหวนกลับมาซื้อสุทธิได้ 2 วันติดต่อกัน โดยมียอดขายสุทธิ 1,660.95 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 57.39 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 662.84 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,381.18 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS ราคาปิดที่ 12.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือคิดเป็น 2.42% มูลค่าการซื้อขาย 1,247.89 ล้านบาท บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ราคาปิด 3.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 3.38% มูลค่าการซื้อขาย 1,104.54 ล้านบาท และบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RAIMON ราคาปิด 1.32 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท หรือ 0.76% มูลค่าการซื้อขาย 852.24 ล้านบาท
***หุ้นเอเชียกอดคอกันร่วง***
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นภูมิภาคที่สำคัญต่างปรับตัวลดลงเช่นกัน อาทิ ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ปิดที่ระดับ 21,953.11 จุด ลดลง 390.66 จุด หรือ 1.75% ปิด ตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิเกอิ ปิดที่ 9,411.28 จุด ลดลง 163.04 จุด หรือ 1.70% และตลาดหุ้นสิงคโปร์ ดัชนีเสตรทไทม์ ปิดที่ระดับ 3,021.13 จุด ลดลง 33.69 จุด หรือคิดเป็น 1.12%
*** ปัจจัยลบรุมเร้าตลาดหุ้นไทย ***
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติขณะนี้จะเป็นลักษณะเทรดดิ้งตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ เนื่องจากยังมีความไม่ชัดเจนทั้งในเรื่องการเมืองในประเทศและเศรษฐกิจโลก ปัญหาหนี้ของกรีซ แต่ส่วนตัวเชื่อว่าหากหลังเลือกตั้งเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาล ทีมเศรษฐกิจ และมีนโยบายที่ดีเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับมาเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเหมือนกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
ส่วนกรณีที่นักลงทุนต่างประเทศที่กลับเข้ามาซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 วันที่ผ่านมา (14-15 มิ.ย.)น่าจะเป็นการซื้อกลับหลังจากที่ผ่านมาได้มีการขายหุ้นไทยออกไปแล้วจำนวนมาก หลังจากนักลงทุนมีความกังวลในเรื่องปัจจัยการเมืองภายในประเทศหลังจากที่มีโบรกเกอร์ต่างประเทศมีการออกบทวิเคราะห์และมีคำแนะให้ลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศ
***ตลาดหุ้นเริ่มนิ่งหากไร้ปัจจัยลบเพิ่ม***
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงนี้ได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่อ่อนแอ โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินในกรีซที่บานปลาย จนล่าสุดถูกสถาบันจัดอันดับปรับลดอันเครดิตลงสู่ระดับที่ไม่น่าลงทุน จึงส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นทั่วโลก บวกกับเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง กดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตามราคาตลาดรวมสูงสุด ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น วันนี้ (17 มิ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะยืนอยู่ในแดนบวกได้ หากยังไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบ เพราะได้รับผลกระทบปัจจัยลบในต่างประเทศมาระดับหนึ่งแล้ว โดยประเมินแนวรับไว้ที่ระดับ 1,017 จุด และแนวต้นที่ระดับประมาณ 1,025 จุด
***บินดูงานตลาดหุนตุรกี***
นายจรัมพร กล่าวถึง การเดินทางไปศึกษางานที่ตลาดหลักทรัพย์ประเทศตุรกี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ตลาดหุ้นตุรกีมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาหลักทรัพย์ (มาร์เกตแคป) เท่ากับตลาดหุ้นไทย จำนวนประชากรใกล้เคียงกัน แต่ทำไมนักลงทุนสนใจเข้าไปลงทุนจำนวนมาก โดยมูลค่าการซื้อขายที่ตลาดหุ้นตุรกีสูงกว่าตลาดหุ้นไทยถึง 1 เท่าตัว และจำนวนนักลงทุนในหุ้นมี 1.3 ล้านคน จากประชากรที่มี 70 ล้านคน
จากการศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นตุรกี พบว่า ตุรกีมีการใช้สาขาของธนาคารพาณิชย์ให้เข้าถึงลูกค้า เป็นจำนวนมาก โดยสามารถที่จะเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น และตราสารหนี้ผ่านธนาคารพาณิชย์ได้ ทำให้ตลาดหุ้น และตลาดบอนด์มีมูลค่าการซื้อขายที่สูงมาก ขณะที่ตลาดบอนด์ของไทยนั้นมูลค่าการซื้อขายไม่มาก
“หลังจากไปศึกษาดูงานแล้วตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพิจารณาว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้วอลุ่มการซื้อขายของตลาดหุ้น และตลาดบอนด์ของไทยมีการปรับตัวสูงขึ้นเหมือนกับตลาดหุ้นตุรกี” นายจรัมพร กล่าว