xs
xsm
sm
md
lg

“เครดิตสวิส” อัดซ้ำฉุดหุ้นไทยรูดหนัก 3 วันต่างชาติเทขาย 1.1 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นไทยโดนซ้ำเติมไม่เลิก หลัง “โกลด์แมนแซคส์” ทำร่วง ล่าสุด ยังโดน “เครดิตสวิส” อัดซ้ำหั่นน้ำหนักลงทุนในหุ้นไทยอีกราย ฉุดดัชนีรูดอีก 20 จุด 3 วันต่างชาติเทขาย 1.1 หมื่นล้าน ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีไม่เหลือ กลายเป็นขายสุทธิ 1.6 พันล้าน บทวิเคราะห์เมืองนอก ระบุ ปัจจัยสำคัญหวั่นปัญหาการเมืองหลังเลือกตั้ง “จรัมพร” เชื่อ เมื่อมีความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ ในทีมและนโยบายเศรษฐกิจ เม็ดเงินจะไหลกลับมา มั่นใจเป็นผลกระทบแค่ระยะสั้น ปัจจัยพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนยังแข็งแกร่ง

ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (8 มิ.ย.) ดัชนีหลักทรัพย์ยังปรับตัวลงต่อเนื่องจาก 2 วันก่อนหน้า และลดลงหนักขึ้น โดยปิดที่ระดับ 1,014.58 จุด ลดลง 20.17 จุด หรือ -1.95% มูลค่าการซื้อขาย 36,547.28 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติเทขายหนักขึ้นเป็น 6,310.75 ล้านบาท ทำให้เพียงแค่ 3 วันแรกของสัปดาห์นี้นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 11,248.61 ล้านบาท อีกทั้งยอดซื้อสุทธิสะสมจากต้นปีก็กลายเป็นยอดขายสุทธิ 1,6787.61 ล้านบาท

โดยการปรับตัวลงอย่างรุนแรงของดัชนีหุ้นไทยครั้งนี้ ถือว่าแรงกว่าตลาดต่างประเทศ เพราะทั้งตลาดภูมิภาค-ตลาดในแถบยุโรปต่างปรับตัวลงเล็กน้อยไม่ถึง 1% เหตุเจอแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองที่ยังไม่ชัดเจน เข้ามาร่วมกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ 1,030.71 จุด และต่ำสุดที่ 1,009.03 จุด

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดทุนไทยโดย โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ ว่า เรื่องดังกล่าวจะมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น เพราะบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ยังมีผลประกอบการที่ดี นอกจากนี้ เมื่อผ่านพ้นการเลือกตั้งแล้ว เมื่อรัฐบาลใหม่ทำให้เกิดความชัดเจนด้านทีมเศรษฐกิจ และนโยบายเศรษฐกิจ ก็เชื่อว่าความมั่นใจของผู้ลงทุนต่างประเทศจะกลับมาสู่ตลาดทุนไทยอีกครั้ง

ส่วนการที่ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงในระยะที่ผ่านมา เป็นผลจากความไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจโลก ทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ที่มีสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวอีกครั้ง นอกจากนี้ ในกรณีของประเทศไทยยังได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศด้วย

ด้าน นางเทียนทิพ สุพานิช ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงระยะสั้นจะมีการปรับตัวลดลงจากปัจจัยเรื่องต่างประเทศมีการลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากความกังวลในเรื่องการเมือง อัตราเงินเฟ้อที่มีการปรับตัวสูงขึ้น และแผนจัดการเศรษฐกิจในระยะยาวที่ไม่ดีจึงกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง แต่ในด้านปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่จากการที่บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) มีกำไรสุทธิเติบโตสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศในแถบภูมิภาคนี้ ซึ่งไตรมาส 1/54 เติบโต 30% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ผลสำรวจของบลูมเบิร์กคาดว่ากำไร บจ.ไทยปีนี้จะโต 20%ประกอบกับผลตอบแทนจากเงินปันผลของ บจ.ไทยดีที่สุดในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ จึงเชื่อว่า หากหลังเลือกตั้งแล้วคาดว่าภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ภาวะปกติเม็ดเงินต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยและภูมิภาคนี้จากเม็ดเงินลงทุนทั่วโลกขณะนี้ที่มีจำนวนมาก โดยแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศในระยะสั้นที่ออกมานั้นคาดว่าจะมีการนำเงินออกนอกประเทศ เพื่อนำไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่น เช่น นำไปลงทุนในทองคำ หรือ พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเห็นได้จากพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ มีผลตอบแทนต่ำกว่า 3% ซึ่งสะท้อนความต้องการที่จะเข้าไปลงทุน ขณะที่ผลอตบแทนพันธบัตร 10 ปีของไทย อยู่ที่ 3.7-3.8% การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยของไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า

“การขายของนักลงทุนต่างประเทศในระยะสั้นมองว่าเป็นการขายทำกำไรระยะสั้นจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ประกอบกับมีความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการที่เศรฐกิจไทยเริ่มที่จะชะลอตัว ซึ่งเห็นจากการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่ลชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อสูง ส่งผลให้นักลงทุนต่างประเทศมีความกังวลในช่วงสั้น แต่หากพ้นการเลือกตั้งการลงทุนเข้าสู่ปกติ ” นางเทียนทิพ กล่าวว่า

ขณะเดียวกัน จากการที่ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนทำกำไรได้ลำบาก จึงทำให้นักลงทุนรายย่อยหันไปลงทุนในตลาดอนุพันธ์แทน ทำให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3 หมื่นล้านบาท โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวม36,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.43% จากเดือนเมษายน หรือเพิ่มขึ้น 58.45% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงแรงกว่าตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดในแถบยุโรปส่วนใหญ่จะแกว่งอยู่ในแดนลบเล็กน้อยไม่ถึง 1% แต่ตลาดไทยลงไปกว่า 2% เนื่องจากปัจจัยจากภายนอกประเทศยังเป็นลบ ทั้งเรื่องปัญหาหนี้สินแถบยุโรป และเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ส่งสัญญาณชะลอตัว ทำให้นักลงทุนยังเกิดความวิตกกังวล

ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยการเมืองในประเทศที่เข้ามากระทบ โดยขณะนี้เกิดความกังวลความไม่ชัดเจนขงรัฐบาลใหม่ เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่โบรกเกอร์ต่างชาติปรับลดคำแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นไทยลง ทำให้มีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (9 มิ.ย.) แนวโน้มของตลาดฯยังไม่น่าลงทุน พร้อมให้แนวรับ 1,000 จุด แนวต้าน 1,025-1,030 จุด

**เครดิตสวิสเอาด้วยน้ำหนักหุ้นไทย
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า รายงานว่า เครดิตสวิสกรุ๊ปเอจี ได้ลดน้ำหนักการลงทุนตลาดหุ้นไทยลงมาอยู่ที่ระดับ “เท่าตลาด” หรือ “marketweght” จากระดับ “เหนือตลาด” หรือ “outperform” เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ขณะเดียวกัน เครดิตสวิสได้ลดคำแนะนำการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และท่องเที่ยวมาอยู่ที่ระดับ “ปานกลาง” ซึ่งเป็นผลมาจากความหวั่นเกรงเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองไทยภายหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น เพราะอาจก่อให้เกิดความรุนแรงทางการเมืองได้

ทั้งนี้ ในบทวิเคราะห์ระบุว่า นักลงทุนควรชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองมีอยู่สูงภายหลังการเลือกตั้ง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นมามากแล้ว

**ภาพรวม พ.ค.ต่างชาติขาย 1.6 หมื่นล้าน
สำหรับภาพรวมการซื้อขายหลักทรัพย์ในเดือนพฤษภาคมนักลงทุนต่างประเทศมีการขายออกมาสุทธิ 16,698 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิเดือนแรกหลังซื้อสุทธิติดต่อกันมา 3 เดือน (ก.พ.-เม.ย.) แต่ยอดการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ 5 เดือนแรกยังมียอดซื้อสุทธิ 12,135 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปิดที่ระดับ 1,073.83 จุด ลดลง 1.80% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค โดยมีสาเหตุสำคัญจากความกังวลของผู้ลงทุนต่อการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะยาวของกรีซ ซึ่งกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก

ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปสู่ตลาดสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ส่งผลให้ผู้ลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิในเดือนพฤษภาคม เช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ซึ่งการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปสู่ตลาดสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเฉพาะทองคำ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเปิดการซื้อขาย โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของ Gold Futures ขนาด 50 บาท และ ขนาด 10 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนถึง 39.52% และ 25.99% ตามลำดับ

โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) ของตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) อยู่ที่ 8,741,716 ล้านบาท ลดลง 1.34% จากเดือนก่อน ขณะที่ของ mai อยู่ที่ 76,510 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.42% จากเดือนก่อน เนื่องจากหลักทรัพย์ของ บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายได้หลังจากถูกห้ามซื้อขายตั้งแต่ปี 2542 ส่วนอัตราส่วนระหว่างราคาหลักทรัพย์ต่อกำไรสุทธิคาดการณ์ต่อหุ้น (forward P/E ratio) ของ SET ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ลดลงเป็น 12.42 เท่า เทียบกับ 12.85 เท่าในเดือนก่อน ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนของ SET ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ระดับ 3.57% ส่วน mai มีอัตราเงินปันผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.99% ลดลงจากระดับ 3.90% ในเดือนก่อน

สำหรับ การลงทุนในตลาดอนุพันธ์ในเดือนพฤษภาคม 2554 มีปริมาณการซื้อขายรวม 662,663 สัญญา โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 36,815 สัญญา ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดอนุพันธ์เริ่มเปิดการซื้อขาย และเพิ่มขึ้น 20.43% จากเดือนก่อน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2554 สูงกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของปี 2553 ถึง 58.45%
 
ทั้งนี้ ทุกตราสารในตลาดอนุพันธ์มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนและมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มซื้อขาย ยกเว้น Single Stock Futures โดยตราสารที่มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นสูงที่สุดได้แก่ SET50 Index Options ที่เพิ่มขึ้นถึง 86.35% จากเดือนก่อน

ส่วนการระดมทุนในเดือนพฤษภาคม 2554 บริษัทจดทะเบียนมีการระดมทุนในรูปตราสารทุนมูลค่ารวม 8,290 ล้านบาท โดยมีการระดมทุนในตลาดแรก (Initial public offering: IPO) มูลค่า 4,060 ล้านบาท จากการเข้าจดทะเบียนของ บมจ. แอล เอช ไฟแนนซ์เชียลกรุ๊ป (LHBANK) บมจ. น้ำตาลครบุรี (KBS) และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ศรีไทย (SSTPF) ขณะที่มีการระดมทุนในตลาดรอง (Secondary equity offering: SEO) มูลค่า 4,230 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2554 มีมูลค่าระดมทุนรวม 55,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.69% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น