xs
xsm
sm
md
lg

ข้อมูลเชิงลึกเรื่องล้มเจ้า ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องวิสัชนา

เผยแพร่:   โดย: จิตตนาถ ลิ้มทองกุล

ดีใจครับที่ช่วงนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง บุคคลสาธารณะหลายคน พากันออกมาแสดงจุดยืนความห่วงใยชาติบ้านเมือง เตือนสติให้คนไทยฉุกคิดก่อนการเลือกตั้ง ไม่กี่วันก่อนก็คุณกนกในประเด็นเผาบ้านเผาเมือง ตามมาด้วย พล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นเป็นห่วงสถาบัน ให้คนไทยเลือกพรรคการเมืองที่ดี อย่าไปเลือกพวกล้มเจ้า

ใครจะไปกระแหนะกระแหนท่าน ว่า แอบช่วยพรรคอะไรอยู่ คนที่ใช้ธรรมนำหน้าปกป้องเช่นท่านย่อมต้องไม่หวั่นไหวอยู่แล้ว ความจริงก็คือความจริง ว่า ปัจจุบันขบวนการล้มเจ้ากำลังเบ่งบานอยู่ ทั้งในแง่ของมวลชน กลุ่มทุน พรรคการเมือง สื่อ ทั้งยังระบาดไปสู่นักคิดนักเขียนรุ่นใหม่ตามแบบฉบับ สมอลล์รู กูแนว (พวกที่นั่งเพ้อฝันจินตนาการ อยู่กันในรูเล็กแคบๆ)ที่กำลังฝันอยากเป็น somebody ในประวัติศาสตร์

ลองท่าน ผบ.ทบ.ออกมาพูดขนาดนี้แล้ว เสธ.ไก่อู คงต้องกู้หน้าคืนจากที่ไปปล่อยไก่ในศาลหน่อยนะครับ ไม่ใช่ไปบอกว่าไปประมวลผังขบวนการล้มเจ้าจากสื่อ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรสนับสนุน กอ.รมน.ก็เช่นเดียวกันช่วยไปเช็กรูปที่มีอยู่ทุกบ้านในหมู่บ้านแดงหน่อยว่าเป็นรูปใคร อย่าปล่อยให้ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ ท่านต้องเหนื่อยอยู่ท่านเดียว

สำหรับสื่อเอเอสทีวีเรา ได้ตามติดเรื่องขบวนการล้มเจ้ามานานแล้ว และก็ได้ตีพิมพ์หนังสือชำแหละขบวนการนี้ พร้อมข้อมูลประกอบ ยอดพิมพ์นับเป็นแสนเล่ม ก็หวังว่า เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายจะนำไปขยายผลต่อ และดำเนินการให้เกิดรูปธรรมในการแก้ปัญหานี้

จากการที่ติดตามและขลุกกับข้อมูลข่าวสารบ้านเมืองมาประมาณหนึ่ง อยากจะสื่อออกมาให้เข้าใจครับ ว่า การแก้ไขปัญหาแนวคิดทำลายสถาบันนั้นเราต้องมองภาพรวม มองทั้งระบบ มองให้เห็นป่าทั้งป่า ที่จริงขบวนการล้มเจ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาเท่านั้น

ที่จริงแล้วสามารถกล่าวได้เต็มปากครับว่า ระบบการเมือง พรรคการเมือง และนักการเมืองนั้น คือ ต้นตอของปัญหากว่าครึ่ง

ระบบการเมืองแบบทุนนิยมเปิดโอกาสให้นักการเมืองและพรรคการเมืองสามารถใช้เงินเข้ามาซื้อเสียงได้ และฟอกตัวได้ว่าได้รับเลือกเข้ามาจากประชาชน นี่เป็นที่มาของการคอร์รัปชันเพื่อถอนทุนคืนของกลุ่มทุนการเมือง ซึ่งความเดือดร้อนก็ย่อมตกไปสู่ประชาชนโดยตรง

ส่วนพรรคการเมืองและนักการเมืองนั้น โดยหลักๆ แบ่งได้เป็น 3 จำพวก พวกแรกคือกลุ่มพวกล้มเจ้า ซึ่งเป็นกลุ่มทุนใหม่ และพวกแนวคิดซ้ายอกหักอยู่เบื้องหลัง ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น และเราท่านรู้กันอยู่ คนเหล่านี้เป็นภัยต่อสถาบัน และความมั่นคงอย่างชัดเจน มีความมั่นใจในทุนและมวลชนตนเองว่าจะสามารถเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นรัฐไทยใหม่ได้ พร้อมที่จะเผาเมืองไทย เพื่อให้เกิดรัฐไทยใหม่

พวกที่สอง คือ พวกช่างเจ้า เป็นนักการเมือง หรือพรรคการเมือง ที่พร้อมจะจับมือกับใครก็ได้ขอให้ตัวเองได้เสพสุขร่วมรัฐบาล โดยไม่สนใจว่าคนที่ตัวจับมือด้วยมีแนวคิดและแนวทางเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันเช่นไร และมีแต่ต่อรองทางการเมืองเพื่อกงสีตัวเอง

พวกสุดท้าย แม้ดูไม่น่ากลัวไม่เท่าพวกล้มเจ้า แต่สร้างหายนะได้ไม่แพ้กัน คือ พวกโหนเจ้า พวกโหนเจ้านั้น แบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก คือ พวกที่แตกตัวออกมาจากพวกล้มเจ้าเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัวกัน จึงเอาเจ้ามาบังหน้าว่าเป็นกลุ่มการเมืองเลือดสีน้ำเงิน ปากประกาศสโลแกนพิทักษ์สถาบัน แต่กลับเป็นตัวทำลายสถาบันทางอ้อมจากการโกงกินโครงการรัฐขนาดมหาศาล และโยกย้ายข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างไม่เป็นธรรม เป็นการผลักให้ข้าราชการพร้อมไปร่วมกับกลุ่มล้มเจ้าในการเลือกตั้ง

พวกโหนเจ้ากลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มพรรคการเมือง และกลุ่มทุนเก่าแก่ อาศัยภาพลักษณ์ที่ดูดี และกลุ่มทุนไฮโซเก่าและใหม่ ปล่อยข่าวว่าเป็นพรรคที่มีสถาบันสนับสนุน แต่กลับบริหารบ้านเมืองให้เกิดข้าวยากมากแพงจากการคอร์รัปชันของพรรคตัวเอง เพื่อเตรียมหาทุนไปเลือกตั้ง นี่คือ สิ่งที่บั่นทอนสถาบันอย่างแท้จริง

ทำให้เกิดการสร้างแนวร่วมมุมกลับจากประชาชนที่เดือดร้อน ไปหลงเชื่อพวกล้มเจ้าว่าเรื่องเหล่านี้มีอำนาจพิเศษอยู่เบื้องหลัง ความเดือดร้อนที่บ้านเมืองถูกเผา จึงดูเบาไปเมื่อเทียบกับปัญหาค่าครองชีพที่สัมผัสได้จับต้องได้กับประชาชนทั่วไป และนั่นกลายเป็นชนวนของการถูกใส่ความอย่างไม่เป็นธรรมของสถาบันจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี

กลุ่มโหนเจ้าผู้ดีเก่านี้ ไม่เคยออกมาแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะไม่ต้องการเผชิญหน้ากับประชาชนที่หลงผิด แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากภาคประชาชนที่ทนไม่ได้มากเท่าไร ซ้ำร้ายยังเลี้ยงไข้ขบวนการล้มเจ้าเอาไว้ เพื่อเป็นหลักประกันเวลาเลือกตั้งให้ประชาชนที่รักสถาบันเลือกตน สร้างภาพความหวาดกลัวกดดันให้ประชาชนเลือกตนโดยเอาเจ้ามาเป็นเงื่อนไข

ถึงแม้จะมีนักการเมืองที่รักชาติ รักสถาบันอย่างแท้จริง แต่เมื่อเทียบกับจำนวนทั้งหมด และชั่งน้ำหนักกับความอยู่รอดของพรรคแล้ว คนเหล่านั้นก็เปรียบเสมือนกับก้อน้ำตาลที่หายไปกับสายน้ำ

ดังนั้น เมื่อเราไม่สามารถฝากความหวังไว้กับระบบการเมือง พรรคการเมือง และนักการเมืองปัจจุบันได้ในการปกป้องสถาบัน เราควรจะใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างมีสติโดยการโหวตโน เพราะอย่างน้อยท่าที และการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนที่ผ่านมาในเรื่องดังกล่าวก็ชัดเจนกว่าทุกภาคส่วนเป็นที่ประจักษ์

เสียงของโหวตโนคือสัญณาณจากภาคประชาชนที่คอยควบคุมนักการเมือง ไม่ว่าจะขั้วไหนโดยเฉพาะพวกล้มเจ้า คนเหล่านี้ต้องคิดหนักหากจะแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกระทำการใดๆ ที่เป็นการหมิ่นหรือจาบจ้วง เพราะประชาชนย่อมไม่ยอมอย่างแน่นอน ยิ่งเสียงโหวตโนดังพวกล้มเจ้ายิ่งไม่กล้า

หากใช้สติในการตรึกตรอง ในภาคส่วนของกองทัพและความมั่นคงเอง ก็สามารถอุ่นใจได้ว่าประชาชนจะเป็นแรงหนุนสำคัญในการจัดการกับเรื่องดังกล่าวได้อย่างเด็ดขาด ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าประชาชนพร้อมจะยืนเคียงข้างกองทัพในการพิทักษ์สถาบันมากกว่านักการเมือง

ตรรกกะที่ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะนำไปคิดเช่นกัน ก็คือ การวางตัวที่เหมาะสมของกองทัพจากนักการเมืองและพรรคการเมืองที่เหลวแหลกทั้งหลาย เมื่อภาพของกองทัพดูสง่า ภาพของภาคประชาชนตื่นตัว ภาพของสถาบันก็ยิ่งจะดูเข้มแข็งเป็นเท่าทวี ช่างหัวนักการเมืองมันสิครับไม่ว่าจะเป็นพวกไหนก็ตาม ล้มเจ้า ช่างเจ้า หรือ โหนเจ้า
กำลังโหลดความคิดเห็น