xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ยิ่งลักษณ์” แอ๊บแตก ประกาศล่าศัตรู รื้อศาล นิรโทษกรรม “แม้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เพียงแค่ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาภายหลังการเปิดตัวเป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โคลนนิงของ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นี้ก็ได้เปลือยตัวตนและเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองออกมาให้เห็นอย่างล่อนจ้อนว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของเธอคืออะไร

เพราะเป็น 1 สัปดาห์ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคำโกหกของว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยว่า สิ่งที่เธอพูดออกมานั้นเป็นเพียงแค่การผายลม

เพราะขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศว่าคิดแก้ไข ไม่คิดแก้แค้นนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กลับเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม

มิหนำซ้ำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า เป้าหมายสำคัญในการทำศึกเลือกตั้งและการเปิดหน้าเป็นโคลนนิงของพี่ชายในครั้งนี้ก็คือ การนิรโทษกรรมและนำพี่ชายกลับประเทศไทย

“ต้องกลับมาดูช่วงหลังรัฐประหารว่า มีอะไรบ้างที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมและมีกระบวนการอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ได้รับความเท่าเทียมกันทุกคน ไม่ใช่ทำเพื่อคนคนเดียว...ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมจะเป็นหัวเรือใหญ่ในการดำเนินการเรื่องดังกล่าว”

แปลความหมายได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะ “มั่วนิ่ม” นำคดีความอื่นๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหาร เช่น คดีของคนเสื้อแดงมาเหมารวมใส่เข่งแล้วเขย่ารวมกับคดีของพี่ชายตนเอง จากนั้นก็จะผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมโดยอ้างว่า ไม่ได้ทำเพื่อคนๆ เดียว ซึ่งถ้าหากจำกันได้ ในการให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ล่าสุด 2 ครั้ง นช.ทักษิณก็มีแนวคิดไปในท่วงทำนองนี้เช่นกัน

“ถ้าผมจะได้ต้องได้ด้วยระบบ ไม่ใช่ด้วยการออกกฎหมายฉบับเดียวให้ผม มันไม่ได้ และผมไม่ต้องการอย่างนั้นด้วย ต้องมีกระบวนการ ต้องมีหลัก สมมติหลักเป็นอย่างนี้ ผมเข้าอยู่ในหลักนั้นด้วยคนหนึ่ง ก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ไม่ใช่ทั้งหมดออกมาเพื่อผมคนเดียวทำไม่ได้ และผมก็ไม่หน้าด้านพอ” นช.ทักษิณเปิดเผยความในใจของตนเองเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน

แต่สิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้สื่อสารกับสังคมหรืออาจตั้งใจทำให้คลุมเครือก็คือ สิ่งที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมตามความหมายของโคลนนิ่งผู้นี้นั้น ครอบคลุมถึงขอบเขตใดบ้าง เพราะต้องไม่ลืมว่า โทษที่ นช.ทักษิณ ผู้เป็นพี่ชายของเธอได้รับทั้งคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินรัชดา และการยึดทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบจำนวน 4.6 หมื่นล้านนั้น ดำเนินการภายใต้คำพิพากษาของศาล

ที่สำคัญคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังแผ่นเสียงตกร่องอยู่กับ 2-3 เรื่องคือ ไม่แก้แค้นแต่จะแก้ไข ขอนำความเป็นผู้หญิงมาแก้ปัญหาให้บ้านเมืองและต้องคำนึงถึงหลักนิติธรรม

ขณะที่ในความเป็นจริงคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้อธิบายว่า หลักนิติธรรมของเธอคืออะไรกันแน่ เพราะย้ำคิดย้ำธรรมอยู่กับคำว่า ประชาธิปไตยและความเสมอภาคเท่าเทียมกันในกระบวนการทางกฎหมาย แต่ยังไม่ได้เสนอว่า นช.ทักษิณไม่รับกระบวนการยุติธรรมที่เขาเห็นว่า ไม่ใช้หลักนิติธรรมอย่างไรบ้าง

แน่นอน เมื่อนายหญิงมีความชัดเจนเช่นนี้ มีหรือที่คนอย่างเป็ดเหลิมจะไม่เด้งรับในฉับพลันทันทีด้วยการขึ้นไปประกาศบนเวทีปราศรัยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ผมเป็นคนเปิดออกมาเอง เพราะถ้าไม่พูดแล้วประชาชนไม่เอา ดังนั้น ต้องเปิดหน้าชนเลย....ความคิดเรื่องนิรโทษกรรม ไม่เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว แต่ให้ทั้งหมด ทั้งคนที่ถูกรังแก คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง หลักนิติธรรม นิติรัฐ ต้องเป็นไปตามนี้”

เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว สิ่งที่ นช.ทักษิณ หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีเป้าหมายประการเดียวคือ ต้องการกลับเมืองไทยโดยไม่ต้องรับโทษอาญา ไม่ต้องติดคุกในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ

จากนั้นก็ตามมาด้วยคำ “ข่มขู่” ศัตรูทางการเมือง หรือกล่าวคำอาฆาตมาดร้ายเพื่อคนที่พวกเขาคิดว่าเป็น “ศัตรูทางการเมือง” เกิดความหวาดกลัว ดังเช่นที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวข่มขู่ “มล.ปนัดดา ดิศกุล” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

"ขอฝากเสียงเตือนไปยัง ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นครั้งสุดท้ายว่าถ้ายังขยันเรียกประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน วางตัวไม่เป็นกลาง เตรียมเก็บของเข้ากรุงเทพฯได้เลย เพราะอั้วจะย้ายลื้อ แม้ว่าสมัยหน้าจะไม่ได้เป็น รมว.มหาดไทยก็ตาม แต่ถ้าวางตัวเป็นกลาง ก็อยู่เชียงใหม่ต่อไป วันนี้อีสานปั้นข้าวเหนียวติดหมดแล้ว ถ้าภาคเหนือปั้นติด พท.ชนะเกินกึ่งหนึ่ง ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว แล้วให้ ปชป.กับ ภท.กอดคอกันตาย เลือกตั้งครั้งนี้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ ปชป. บอก ปชป.จะชนะ ขอบอกเลยว่าถ้า พท.แพ้ เลิกเล่นการเมืองเด็ดขาด"ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวปราศรัยที่โรงยิมเนเซียม สนามกีฬา 700 ปี จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม

แต่ที่ร้ายแรงและสร้างความตื่นตระหนักให้กับสังคมมากที่สุดก็คือ การประกาศแก้รัฐธรรมนูญ การรื้อระบบศาลและองค์กรอิสระ ซึ่งแม้จะไม่ได้ออกมาจากปากของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทว่า การพรั่งพรูออกมาจากปากของคนระดับ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็มิอาจทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์แก้ตัวไปในทางอื่นได้

“หากเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็ยังต้องการจำนวนเสียงที่มากพอเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในจุดที่มีปัญหาต่อการบริหารจัดการประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาล องค์กรอิสระ กฎหมายสองมาตรฐานและความเท่าเทียมอื่นๆ”

คำประกาศดังกล่าวของนายปลอดประสพมิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า พรรคเพื่อไทยต้องการรื้อระบบนิติรัฐของประเทศไทยให้เป็นไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการ

เพราะทั้งองค์กรอิสระ ทั้งศาลล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่นายใหญ่ของคนเสื้อแดงมองว่าเป็น “ศัตรู” ที่ทำให้เขาหมดอำนาจวาสนาและจะต้องปฏิบัติการ “ล้างแค้น” ให้สาสมกับสิ่งที่องค์กรเหล่านี้ได้ทำไว้

และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยประกาศเจตนารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน

ดังนั้น การที่ นช.ทักษิณส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงสมัครปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับ 1 เพื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้คือการอาศัยผลการเลือกตั้งเป็นเครื่องตัดสินและนำ นช.ทักษิณกลับบ้านโดยไม่ต้องรับความผิด

ไม่ต้องติดคุกติดตะรางในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปีในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ ดังที่ ร.ต.อ.เฉลิมประกาศก้องเอาไว้บนเวทีปราศัยของคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ว่าจะพุ่งเป้าไปที่คดีนี้เป็นลำดับแรก

ทั้งนี้ โดยอาศัยชัยชนะของผลการเลือกตั้งครั้งนี้โดยอ้างว่าเป็นมติของมวลมหาประชาชน และลบล้างความผิดที่ตัดสินโดยอำนาจตุลาการที่กระทำการภายใต้พระปรมาภิไธยอย่างมิใยดี

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่แปลกใจว่า ทำไมนายปลอดประสพถึงตั้งใจโยนแนวความคิดในเรื่องของการรื้อศาลและระบบยุติธรรมออกมาสู่สังคมตั้งแต่ไก่โห่ เนื่องเพราะเขามั่นใจแล้วว่า ศึกเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นจึงเปิดหน้าชกอย่างไม่มีปิดบังหรือซ่อนเร้นอีกต่อไป

เนื่องจากถ้าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยทำสำเร็จจริงๆ นั่นจะส่งผลถึงคดีทั้งเก่าทั้งใหม่ที่ศาลตัดสินไปก่อนหน้านี้ รวมทั้งอีกหลายสิบคดีที่ยังค้างคาอยู่ในศาลเนื่องจากตัวผู้ต้องหาคือ นช.ทักษิณหลบหนีไปยังต่างประเทศ

และคดีหนึ่งที่เชื่อว่า เป็นลำดับต้นๆ ที่ นช.ทักษิณต้องการมากที่สุดคือ คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาชัดเจนว่า นายใหญ่ของคนเสื้อแดงกระทำผิดคิดร้ายต่อบ้านเมือง

“เพราะผมเป็นนายกฯ มายึดผมไปยังไม่พอ ยึดแม้กระทั่งดอกเบี้ย เงินฝาก เงินปันผล ซึ่งจำนวนหุ้นเท่าเดิม มันไม่เป็นธรรม”นช.ทักษิณให้สัมภาษณ์ถึงแนวความคิดในเรื่องเงิน 4.6 หมื่นล้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างชัดเจน ก่อนที่จะออกตัวว่า “แต่ไม่ใช่ว่าผมจะมามุ่งตรงนี้”

ทว่า ถึงแม้ นช.ทักษิณจะออกตัวว่า ไม่คิดที่จะมุ่งเน้นในเรื่องกล่าว แต่ร่องรอยความคิดข้างต้นสามารถเชื่อมโยงให้เห็นถึงแก่นแท้ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของนักโทษหนีคดีผู้นี้ได้เช่นกันว่า อาจเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กำลังเร่งแผ้วถางความฝันของโคลนนิ่งผู้พี่อย่างสุดหัวใจ

จากนั้นก็มาตอกย้ำกับบทสรุปจากการโยนหินถามทางล่วงหน้าของหัวหน้าทีมกฎหมายนิรโทษกรรมชื่อ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ประกาศถึงแนวทางในการทำงานอย่างชัดเจนว่า “หากพรรคชนะ แปลว่า ประชาพิจารณ์ไปในตัวแล้ว”

นี่กระมัง จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นช.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยตัดสินใจส่งแกนนำคนเสื้อแดงจำนวน 22 คนลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคด้วยความอหังการและไม่ยี่หระต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ต้องเจอกับสารพัดข้อหาที่ล้วนแล้วแต่เป็นภัยความมั่นคงแห่งรัฐทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง รวมทั้งหลายต่อหลายคน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่กำลังเผชิญข้อหาเกี่ยวกับการละเมิดและจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของปวงชนชาวไทย

ด้วยเหตุนี้ 1 สัปดาห์ผ่านไป นช.ทักษิณและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงได้ “เปลือยตัวตน” ที่แท้จริงของเบื้องหลังศึกเลือกครั้งนี้อย่างหมดเปลือกเลยทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น