บนเวทีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มประชาชนไทยผู้รักชาติ ภายใต้การนำของคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้มีการจัดงานรำลึกครบรอบ 3 ปีของการชุมนุมพันธมิตรฯ 193 วัน เมื่อ 25 พฤษภาคม 2554 การชุมนุมของประชาชนที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประเทศไทย หรืออาจเป็นที่สุดระดับโลกก็ว่าได้นี้ ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 บนถนนราชดำเนินตั้งต้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเคลื่อนขบวนมาปักหลักอยู่ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ยืดเยื้อไปจนถึงในทำเนียบรัฐบาล เคลื่อนขบวนดาวกระจายไปหลายแห่ง โดยไม่จบลงและประกาศยุติการชุมนุมเมื่อ 3 ธันวาคม 2551 ณ บริเวณด้านหน้าอาคารสนามบินสุวรรณภูมิ
การชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานที่สุดของการชุมนุมการเมืองภาคประชาชนครั้งนี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยขึ้น อย่างยากที่จะหาใครหรือเหตุการณ์การชุมนุมใดๆ มาลบล้างได้ยากอีกนานเท่านาน เหตุปัจจัยสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชนเรือนแสนเรือนล้านมาร่วมชุมนุมเพื่อต่อต้านคัดค้านรัฐบาลทักษิณ หรือตัวแทนหุ่นเชิดของเขาอย่างกล้าหาญ เสียสละ และทรหดอดทนนั้น จึงเป็นบทเรียนที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว น่าจะพิจารณาถึงมูลเหตุได้ดังนี้คือ
1. รัฐบาลทักษิณโดยสมุนหุ่นเชิด ไม่ว่าจะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรัฐบาลตัวแทนของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ และทุนผูกขาดขนาดใหญ่ของประเทศไทย ที่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐ โดยผูกขาดรวบอำนาจทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไว้ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว
2. ทักษิณ และครอบครัวญาติพี่น้องกับสมุนบริวาร ต่างเข้ายึดกุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ฮุบเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจไว้ในกำมือแทบทุกด้าน ขยายอำนาจอิทธิพลไปจนถึงการยึดหรือแปรรูปเอากิจการสำคัญๆ ของรัฐ รัฐวิสาหกิจที่เป็นแหล่งผลประโยชน์ขนาดมหึมา มาเป็นของตนเองและพวกพ้อง อาทิ แปรรูปกิจการการปิโตรเลียม (ปตท.), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ, การขนส่งทางเรือ, อากาศ ฯลฯ
3. ทักษิณกับพวกยึดกุมกลไกอำนาจรัฐ คือ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครอบงำสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสื่อสารมวลชนครบวงจร ทั้งหมดเพื่อสนองอำนาจของตน โดยการทุจริตคอร์รัปชัน และปกปิดการกระทำความผิดของเขา และคณะรัฐมนตรี
4. กลไกการตรวจสอบ และบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายถูกแทรกแซง ครอบงำ ไม่สามารถทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการบริหารประเทศที่ผิดพลาด ล้มเหลว และเต็มไปด้วยการโกง ทุจริต และประพฤติมิชอบทั้งหลายของรัฐบาลขณะนั้นได้ จนองค์กรเหล่านั้นกลายเป็นเสือกระดาษ ง่อยเปลี้ยไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง
5. ภายใต้การปกครองของทักษิณ และรัฐบาลหุ่นเชิดของเขา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกคุกคามท้าทายอย่างหนัก ด้วยความเหิมเกริมในอำนาจ เหลิงอำนาจที่ได้มาแบบเบ็ดเสร็จทำให้ทักษิณ ถูกมองและตั้งข้อสงสัยถึงปัญหาความจงรักภักดีอย่างมาก เพราะพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของเขา ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดี ไม่พอใจ และไม่เชื่อมั่นในตัวทักษิณในเรื่องนี้
ด้วยเหตุปัจจัยหลักสำคัญทั้ง 5 ประการดังกล่าว ได้กลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้านทักษิณ และ “ระบอบทักษิณ” ลุกลามไปในขอบข่ายทั่วประเทศ ผ่านการก่อตัวจากเล็กสู่ใหญ่ และขยายตัวไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการเกิดขึ้นของ “ชมรมคนรู้ทัน” เมื่อ 8 สิงหาคม 2547 ภายใต้การนำของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ปรึกษา พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม เป็นประธานชมรม พล.ท.อณุ สุมิตร เป็นรองประธาน ประพันธ์ คูณมี รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย โดยมีบุคคลในวงสังคมชั้นสูงมากมายเข้าร่วมเป็นสมาชิก
จากชมรมดังกล่าว ก็พัฒนาเป็นคณะประชาชนเพื่อชาติ ราชบัลลังก์ จัดให้มีการชุมนุมที่สนามหลวงเพื่อต่อต้าน และคัดค้านรัฐบาลทักษิณ เมื่อ 25 กันยายน 2547 การเคลื่อนไหวในช่วงแรกนี้ แม้จะยังไม่ประสบผลสำเร็จสามารถโค่นล้มขับไล่รัฐบาลทักษิณได้ก็ตาม แต่ก็เป็นการจุดประกายไฟของการต่อสู้ และเป็นหน่ออ่อนให้แก่การเกิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเวลาต่อมา
เมื่อการเคลื่อนไหวของประชาชนรุ่นบุกเบิกได้มาบรรจบกับการเกิดขึ้นทางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 1 เมื่อ 23 กันยายน 2548 ที่ทำและดำเนินรายการโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จุดเทียนแห่งธรรม จัดรายการให้ปัญญา สาระความรู้ เปิดโปงการทุจริต คดโกงของทักษิณและพวก ผ่านการถ่ายทอดของ ASTV ทีวีของประชาชน ทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนพัฒนากลายเป็นกระแสคลื่นลูกใหม่ ถาโถมเข้าใส่รัฐบาลทักษิณ และสมุนหุ่นเชิดของเขาอย่างหนัก สุดที่จะต้านทานได้ การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์สนธิ “ผู้นำและผู้ปลุกให้ประชาชนตื่น” หรือจะเรียกว่า “ผู้นำการต่อสู้ของประชาชนยุคดิจิตอล” ก็ว่าได้ เขาคือผู้ทำให้ก่อเกิดขบวนการภาคประชาชนที่ชื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
หลังจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขยายตัวสู่สวนลุมพินี มีผู้คนเข้าร่วมมากมายล้นหลามนับหมื่นหรือเรือนแสน รวมถึงผู้รับชมทางหน้าจออีกนับล้านๆ คน พลังของประชาชนที่ไหลมารวมกัน ด้วยจิตใจมุ่งมั่นต่อสู้ในเป้าหมายเดียวกัน คือ ไล่รัฐบาลทักษิณ จึงเกิดขึ้นด้วยการนำเดี่ยวของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในช่วงแรก ด้วยการเคลื่อนพลออกจากสวนลุมพินีสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2549 หลังจากนั้น 9 กุมภาพันธ์ 2549 จึงกำเนิด “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” อย่างเป็นทางการ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 จึงปิดฉากการต่อสู้และการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 1 ลงนับแต่นั้น
การชุมนุมของพันธมิตรฯ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 และที่มีการจัดงานรำลึกในปีนี้ ครบรอบ 3 ปีนั้น ถือเป็นการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 2 ซึ่งเป็นภาคที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 7 ปีของการเมืองไทย จึงเป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองที่เขียนโดยภาคประชาชน คำถามก็คือ พันธมิตรฯ ต่อสู้กับอะไร และอนาคตจะมุ่งไปทิศทางใด จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และติดตามอย่างยิ่ง ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นหนึ่งในหัวขบวนของการต่อสู้นี้ อยากจะบอกว่า
1. พันธมิตรฯ คือ ประชาชนผู้มีความคิดก้าวหน้า รักชาติ รักความเป็นธรรม
2. เขาคือพลเมืองที่อาสาปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต
3. พวกเขารังเกียจและต่อต้านนักการเมืองที่ทุจริต ฉ้อฉล คดโกงประเทศชาติ ประชาชน
4. เขาคือกลุ่มคนที่พร้อมเสียสละ อุทิศตนเพื่อส่วนรวม และผลประโยชน์ของชาติ โดยมิได้เรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทน
5. เขาคือกลุ่มประชาชนผู้มีพลัง และความสามัคคีเพื่อต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมทั้งหลายในบ้านเมือง
ด้วยคุณลักษณะสำคัญที่ดีงามดังกล่าว พันธมิตรฯ จึงเป็นพลเมืองผู้เป็นกำลังของแผ่นดิน เขาคือประชาชนที่ทรงคุณค่า ด้วยคารวะ
การชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานที่สุดของการชุมนุมการเมืองภาคประชาชนครั้งนี้ ได้สร้างประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยขึ้น อย่างยากที่จะหาใครหรือเหตุการณ์การชุมนุมใดๆ มาลบล้างได้ยากอีกนานเท่านาน เหตุปัจจัยสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชนเรือนแสนเรือนล้านมาร่วมชุมนุมเพื่อต่อต้านคัดค้านรัฐบาลทักษิณ หรือตัวแทนหุ่นเชิดของเขาอย่างกล้าหาญ เสียสละ และทรหดอดทนนั้น จึงเป็นบทเรียนที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง เมื่อทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว น่าจะพิจารณาถึงมูลเหตุได้ดังนี้คือ
1. รัฐบาลทักษิณโดยสมุนหุ่นเชิด ไม่ว่าจะเป็นนายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นรัฐบาลตัวแทนของกลุ่มทุนนิยมสามานย์ และทุนผูกขาดขนาดใหญ่ของประเทศไทย ที่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐ โดยผูกขาดรวบอำนาจทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไว้ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว
2. ทักษิณ และครอบครัวญาติพี่น้องกับสมุนบริวาร ต่างเข้ายึดกุมอำนาจทางเศรษฐกิจ ฮุบเอาผลประโยชน์ทางธุรกิจไว้ในกำมือแทบทุกด้าน ขยายอำนาจอิทธิพลไปจนถึงการยึดหรือแปรรูปเอากิจการสำคัญๆ ของรัฐ รัฐวิสาหกิจที่เป็นแหล่งผลประโยชน์ขนาดมหึมา มาเป็นของตนเองและพวกพ้อง อาทิ แปรรูปกิจการการปิโตรเลียม (ปตท.), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ, การขนส่งทางเรือ, อากาศ ฯลฯ
3. ทักษิณกับพวกยึดกุมกลไกอำนาจรัฐ คือ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครอบงำสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสื่อสารมวลชนครบวงจร ทั้งหมดเพื่อสนองอำนาจของตน โดยการทุจริตคอร์รัปชัน และปกปิดการกระทำความผิดของเขา และคณะรัฐมนตรี
4. กลไกการตรวจสอบ และบรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายถูกแทรกแซง ครอบงำ ไม่สามารถทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการบริหารประเทศที่ผิดพลาด ล้มเหลว และเต็มไปด้วยการโกง ทุจริต และประพฤติมิชอบทั้งหลายของรัฐบาลขณะนั้นได้ จนองค์กรเหล่านั้นกลายเป็นเสือกระดาษ ง่อยเปลี้ยไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง
5. ภายใต้การปกครองของทักษิณ และรัฐบาลหุ่นเชิดของเขา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกคุกคามท้าทายอย่างหนัก ด้วยความเหิมเกริมในอำนาจ เหลิงอำนาจที่ได้มาแบบเบ็ดเสร็จทำให้ทักษิณ ถูกมองและตั้งข้อสงสัยถึงปัญหาความจงรักภักดีอย่างมาก เพราะพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของเขา ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดี ไม่พอใจ และไม่เชื่อมั่นในตัวทักษิณในเรื่องนี้
ด้วยเหตุปัจจัยหลักสำคัญทั้ง 5 ประการดังกล่าว ได้กลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้านทักษิณ และ “ระบอบทักษิณ” ลุกลามไปในขอบข่ายทั่วประเทศ ผ่านการก่อตัวจากเล็กสู่ใหญ่ และขยายตัวไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากการเกิดขึ้นของ “ชมรมคนรู้ทัน” เมื่อ 8 สิงหาคม 2547 ภายใต้การนำของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่ปรึกษา พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม เป็นประธานชมรม พล.ท.อณุ สุมิตร เป็นรองประธาน ประพันธ์ คูณมี รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย โดยมีบุคคลในวงสังคมชั้นสูงมากมายเข้าร่วมเป็นสมาชิก
จากชมรมดังกล่าว ก็พัฒนาเป็นคณะประชาชนเพื่อชาติ ราชบัลลังก์ จัดให้มีการชุมนุมที่สนามหลวงเพื่อต่อต้าน และคัดค้านรัฐบาลทักษิณ เมื่อ 25 กันยายน 2547 การเคลื่อนไหวในช่วงแรกนี้ แม้จะยังไม่ประสบผลสำเร็จสามารถโค่นล้มขับไล่รัฐบาลทักษิณได้ก็ตาม แต่ก็เป็นการจุดประกายไฟของการต่อสู้ และเป็นหน่ออ่อนให้แก่การเกิดของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในเวลาต่อมา
เมื่อการเคลื่อนไหวของประชาชนรุ่นบุกเบิกได้มาบรรจบกับการเกิดขึ้นทางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 1 เมื่อ 23 กันยายน 2548 ที่ทำและดำเนินรายการโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้จุดเทียนแห่งธรรม จัดรายการให้ปัญญา สาระความรู้ เปิดโปงการทุจริต คดโกงของทักษิณและพวก ผ่านการถ่ายทอดของ ASTV ทีวีของประชาชน ทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนพัฒนากลายเป็นกระแสคลื่นลูกใหม่ ถาโถมเข้าใส่รัฐบาลทักษิณ และสมุนหุ่นเชิดของเขาอย่างหนัก สุดที่จะต้านทานได้ การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์สนธิ “ผู้นำและผู้ปลุกให้ประชาชนตื่น” หรือจะเรียกว่า “ผู้นำการต่อสู้ของประชาชนยุคดิจิตอล” ก็ว่าได้ เขาคือผู้ทำให้ก่อเกิดขบวนการภาคประชาชนที่ชื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”
หลังจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เกิดขึ้นหลายสิบครั้ง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขยายตัวสู่สวนลุมพินี มีผู้คนเข้าร่วมมากมายล้นหลามนับหมื่นหรือเรือนแสน รวมถึงผู้รับชมทางหน้าจออีกนับล้านๆ คน พลังของประชาชนที่ไหลมารวมกัน ด้วยจิตใจมุ่งมั่นต่อสู้ในเป้าหมายเดียวกัน คือ ไล่รัฐบาลทักษิณ จึงเกิดขึ้นด้วยการนำเดี่ยวของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในช่วงแรก ด้วยการเคลื่อนพลออกจากสวนลุมพินีสู่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2549 หลังจากนั้น 9 กุมภาพันธ์ 2549 จึงกำเนิด “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” อย่างเป็นทางการ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 จึงปิดฉากการต่อสู้และการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 1 ลงนับแต่นั้น
การชุมนุมของพันธมิตรฯ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 และที่มีการจัดงานรำลึกในปีนี้ ครบรอบ 3 ปีนั้น ถือเป็นการชุมนุมพันธมิตรฯ ภาคที่ 2 ซึ่งเป็นภาคที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลอดระยะเวลา 7 ปีของการเมืองไทย จึงเป็นหน้าประวัติศาสตร์การเมืองที่เขียนโดยภาคประชาชน คำถามก็คือ พันธมิตรฯ ต่อสู้กับอะไร และอนาคตจะมุ่งไปทิศทางใด จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และติดตามอย่างยิ่ง ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นหนึ่งในหัวขบวนของการต่อสู้นี้ อยากจะบอกว่า
1. พันธมิตรฯ คือ ประชาชนผู้มีความคิดก้าวหน้า รักชาติ รักความเป็นธรรม
2. เขาคือพลเมืองที่อาสาปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต
3. พวกเขารังเกียจและต่อต้านนักการเมืองที่ทุจริต ฉ้อฉล คดโกงประเทศชาติ ประชาชน
4. เขาคือกลุ่มคนที่พร้อมเสียสละ อุทิศตนเพื่อส่วนรวม และผลประโยชน์ของชาติ โดยมิได้เรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ตอบแทน
5. เขาคือกลุ่มประชาชนผู้มีพลัง และความสามัคคีเพื่อต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมทั้งหลายในบ้านเมือง
ด้วยคุณลักษณะสำคัญที่ดีงามดังกล่าว พันธมิตรฯ จึงเป็นพลเมืองผู้เป็นกำลังของแผ่นดิน เขาคือประชาชนที่ทรงคุณค่า ด้วยคารวะ