xs
xsm
sm
md
lg

“ประพันธ์” ชี้ป่วยการไล่ “นช.แม้ว-มาร์ค” ลั่นต้อง “โหวตโน” ขุดรากถอนโคนเชื้อชั่ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายประพันธ์ คูณมี
“ประพันธ์” ระบุ “นช.แม้ว-มาร์ค” ตัวแทนระบอบการเมืองชั่ว ไล่ไปการเมืองสามานย์กัดกินประเทศก็ยังอยู่ ย้ำ “โหวตโน” คือจุดเริ่มต้นขุดรากถอนโคนระบอบการเมืองเก่า บอกนักรบมือตบจงภูมิใจในความเป็นพันธมิตรฯ ผู้เป็นเนื้อแท้จิตวิญญาณเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักชาติ เชื่อไม่มีอะไรต้านทานพลังประชาชนได้ สิ่งที่ต่อสู้มาจะไม่สูญเปล่าแน่นอน


วันที่ 25 พ.ค. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า หากจะรำลึกสรุปบทเรียนพันธมิตรฯ ต้องย้อนไปถึงหน่ออ่อน ตั้งแต่เกิดชมรมคนรู้ทันพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อ 8 ส.ค. 2547 ต่อมามีคณะกรรมการประชาชนเพื่อชาติราชบัลบังก์ ต่อต้านรัฐบาลทักษิณ เมื่อ 25 ก.ย. 2547 และเริ่มมีชื่อพันธมิตรฯเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่สนามหลวงเมื่อ 14 ต.ค. 2547 เริ่มจากคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งพัฒนาการจนกระทั่งมีรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ก็ต้องถูกปิดรายการลง มาเริ่มใหม่เมื่อ 23 ก.ย. 2548 ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทั้งนี้ ด้วยการนำเสนอข้อมูลจริง ได้จุดประกายให้คนตื่นหันมารับรู้ถึงความเลวร้ายของระบอบทักษิณ ภายใต้การถ่ายทอดของทีวีช่องเล็กๆ คือ เอเอสทีวี นับจากวันนั้นเป็นต้นมาทำให้เอเอสทีวีกลายเป็นทีวีของประชาชน มีคนเข้าร่วมขบวนการต่อต้านการเมืองระบอบทักษิณมาขึ้นตามลำดับ จากจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่หอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ มาเป็นหอประชุมใหญ่ คนล้นจนต้องย้ายไปจัดที่สวนลุมพินี กลายเป็นปรากฎการณ์สนธิ

“ปรากฏการณ์สนธิ ทำให้เกิด 1.เป็นผู้ประกาศจุดเทียนแห่งธรรมคนแรก จนกลายเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2.ประกาศตัวขอเป็นยามรักษาแผนดิน จนเกิดยามรักษาแผนดินทั่วประเทศ ทำให้คนไทยมีความกล้าหาญที่จะออกมาต่อสู้เพื่อแผ่นดิน 3.ทำให้ประชาชนทั้งประเทศลุกขึ้นมาทวงเอาประเทศไทยคืนจากระบอบทักษิณ”

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่างเป็นตัวแทนของระบอบหารเมือง ซึ่งถึงแม้เราจะไล่คนเหล่านี้ไประบอบการเมืองสามานย์ก็ยังอยู่เพราะยังไม่ได้ถูกขุดรากถอนโคนไปด้วย การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นยังเป็นสัญลักษณ์การเมืองเก่าที่คอยกัดกินประเทศ นักการเมืองที่เข้ามายึดเอาพรรค เอาผลประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง แม้คนในพรรคการเมืองใหม่ยังยึดประโยชน์ของพรรคสูงกว่าประโยชน์ของชาติอยากลงเลือกตั้ง ดังนั้น ถูกแล้วที่ นายสุริยะใส กตะศิลา ตัดสินใจบอกว่าขอเพียงมีพี่น้องประชาชนจะมีพลังต่อสู้ทำให้บรรลุเป้าหมาย หากปราศจากประชาชน มีแต่พรรค ชื่อพรรค อาคาร ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีพลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ชาติบ้านเมืองได้เลย

ระบอบทักษิณ เป็นระบอบการเมืองที่เปิดโอกาสให้นักการเมือง ผูกขาดอำนาจการเมือง เศรษฐกิจ เอาประชาชนเป็นเพียงตัวละครประกอบการแสดง ทำให้กลไกรัฐต้องมารับใช้นักการเมืองทุจริตโกงกิน องค์กรณ์อิสระไม่สามารถควบคุมตรวจสอบได้ สภานิติบัญญัติกลายเป็นเพียงตรายางของระบอบการเมือง ระบบราชการจะกลายเป็นเครื่องมือรับใช้นักการเมืองไม่ได้รับใช้ประเทศ นอกจากนี้ระบอบทักษิณ ยังเหิมเกริมคุกคามสถาบันชาติ ศาสตร์ กษัตริย์ อีกด้วย นี่คือมูลเหตุที่มาทำให้เกิดปรากฎารณ์สนธิ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

“ระบอบทักษิณได้พัฒนาฝังรากในระบอบการเมืองแล้ว แม้พ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว ระบบการเมืองในระบอบทักษิณก็ยังอยู่ นายอภิสิทธิ์ก็เป็นการเมืองลักษณะเดียวกับระบอบทักษิณ แย่งกันเป็นผู้มีอำนาจเพื่อคุมกลไกของกลุ่มทุนการเมือง หากตราบใดที่ไม่ขุดรากถอนโคนระบอบนี้ ยากที่จะปฎิรูปประเทศ”

นายประพันธ์กล่าวว่า จาการต่อสู้ 3-4 ปีที่ผ่านมา พันธมิตรฯ ได้กลายเป็นคนที่ถูกหล่อหลอม จนพัฒนาตนเป็นคนที่มีปัญญา กลายเป็นคนที่เป็นกำลังหลักของชาติ มีคุณค่าและประโยชน์สูงสุดแก่ชาติบ้านเมือง นักการเมืองยึดพรรคเป็นตัวตั้ง แต่พันธมิตรยึดประเทศชาติและผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้น หากใครคิดปฎิรูปบ้านเมืองควรอาศัยพลังประชาชนที่ก้าวหน้าและเอาการเอางานที่สุดในบรรดาประชาชนในประเทศขณะนี้ ตนกล้าพูดได้เต็มปากว่า ประชาชนที่เสียสละ เอาการเอางานและก้าวหน้าที่สุด คือ พันธมิตรฯ

“พันธมิตรฯ เป็นพลังที่เกิดจากความศรัทธา 1.ศรัทธาต่อสถาบั้นสูงสุดของชาติ 2.ศรัทธาต่อความถูกต้องเป็นธรรม ความดีงามของบ้านเมืองไม่สนับสนุนคนเลว โกง ชั่ว 3.ศรัทธาต่อผู้นำของพี่น้องที่ได้พิสูจน์แล้วถึงความกล้าหาญเสียสละ และ 4.ศรัทธาโดยเชื่อและหวังว่า วันหนึ่งศรัทธาจะต้องเป็นจริงด้วยพลังของตัวเราเอง”

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า พันธมิตรฯ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพลังของประชาชน สามารถเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองได้ เราต้องภูมิใจในความเป็นพันธมิตรฯ ซึ่งถือเป็นเลือดเนื้อจิตวิญญาณของคนไทยและประเทศไทย เราคือ เนื้อแท้ที่กลั่นแล้ว ที่มีคุณค่าที่สุดของประเทศ ด้วยคุณสมบัติเป็นที่ประจักษ์ในเรื่อง ความรักชาติ รักความเป็นธรรม รังเกียจการโกงอย่างไม่เป็นธรรม ยึดมั่นต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย พร้อมเสียสละความสุขประโยชน์ส่วนตัวเพื่อชาติ

“โหวตโน คือ จุดเริ่มต้นที่จะขุดรากถอนโคนระบอบการเมืองเก่า ซึ่งไม่ว่าระบอบทักษิณ ระบอบอภิสิทธิ์ ต่างเป็นระบอบสามานย์ที่ประเทศไทยไม่พึงปรารถนา การจะขุดได้ต้องมีคนอย่างพันธมิตรเป็นกำลังหลัก ในวันที่ประเทศมืดมนไม่มีทางออก เต็มไปด้วยนักการเมืองชั่ว โกง จะไม่มีอะไรต้านทานพลังของพี่น้องได้ ขอให้เชื่อมั่นว่าที่เราต่อสู้กันมาจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน” นายประพันธ์กล่าวทิ้งท้าย



คำต่ำคำ

กราบสวัสดีทักทายพ่อแม่พี่น้องชาวพันธมิตรฯ เพราะวันนี้เป็นงานรำลึกครบรอบ 3 ปีของการชุมนุม 193 วันของพวกเรา แต่คงไม่ใช่เป็นการมาสรุปบทเรียนเพียงเพื่อจะพูดคุยกันในหมู่พี่น้องพันธมิตรฯ เท่านั้น เพราะว่าการต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ก็คือตัวแทนการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนไทยทั้งประเทศนั่นเองครับ เราเป็นตัวแทนที่เป็นจิตวิญญาณของประชาชนทั้งประเทศ ที่มีความปรารถนาจะเห็นประเทศไทยเป็นประเทศไทยใหม่ที่ไม่ใช่ประเทศไทยที่จมปรักอยู่กับการเมืองน้ำเน่าที่ล้าหลังและสามานย์อย่างที่เห็นอยู่ขณะนี้ เราต้องการเห็นสังคมที่เป็นสังคมอยู่ทีมีสุข เปี่ยมไปด้วยความรัก ความสามัคคี และมีชีวิตสดใส มีอนาคตที่งดงามสำหรับประชาชนไทยทุกคน ไม่ใช่เฉพาะพวกเราที่เราต่อสู้ ไม่ใช่สู้เพื่อประโยชน์ของพวกเราเพียงเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์ของคนไทยทุกคน

พี่น้องครับ บรรยากาศการรำลึกเหตุการณ์ที่เราผ่านช่วงชีวิตการต่อสู้ร่วมกันมานั้น ช่างได้บรรยากาศเสียเหลือเกิน เพราะเป็นการรำลึก และชุมนุมกันท่ามกลางสายฝน ซึ่งตลอดเวลา 193 วัน เป็นบรรยากาศที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี ถ้าจะว่าตามความจริง พันธมิตรฯ ไม่เพียงเกิดขึ้นในระยะเวลา 3 ปีเท่านั้น ถ้าจะรำลึกสรุปบทเรียนของพี่น้องพันธมิตรฯ คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่การก่อเกิด ตั้งแต่ปี 2547 ความจริงหน่ออ่อนของพันธมิตรฯ เกิดขึ้นมาตั้งแต่การรวมพลของชมรมคนรู้ทันทักษิณ ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 2547 ครับพี่น้อง เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2547 เกิดชมรมคนรู้ทันฯ หลังจากเกิดชมรมคนรู้ทันฯ มีคณะกรรมการประชาชนเพื่อชาติ ราชบัลลังก์ ไปชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ ต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ครั้งแรกเมื่อ 25 ก.ย.2547 ยาวนาน รำลึกไปจนกระทั่งถึง 14 ต.ค.2547 แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของคนที่ไม่พอใจทักษิณและระบอบทักษิณ เป็นคนที่ลุกขึ้นมาในรุคแรกๆ วันที่ 14 ต.ค.2547 ชื่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่สนามหลวง โดยผมกับสุริยะใส ประชุมที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ และประกาศตั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นครั้งแรก 14 ต.ค.2547 แต่การเกิดขึ้นของพวกเรายุคแรก เป็นการเกิดขึ้นของคนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนการเกิดใหม่ของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ย่อมกำเนิดจากเล็กไปสู่ใหญ่ เหมือนกับเด็กที่ปฏิสนธิแล้วตั้งครรภ์ก่อนจะคลอดเป็นเด็กและเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีหน่ออ่อนและปฏิสนธิขึ้นมาตั้งแต่ยุคนั้น แต่ยังไม่เพียงพอจะโค่นล้มหรือต่อสู้กับระบอบทักษิณ จึงมีพัฒนาการต่อมาจนกระทั่งถึงรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เกิดขึ้น และสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกปิดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ เริ่มรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2548 ที่หอประชุมธรรมศาสตร์

นั่นเป็นพัฒนาการต่อเนื่องมาและการเกิดขึ้นของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล มีครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ต่อมาหลังจากที่ครั้งที่ 1 ประสบความสำเร็จ ประชาชนให้การต้อนรับและสนับสนุนคุณสนธิจนล้นหอประชุมเล็กธรรมศาสตร์ การนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง และการบริหารประเทศที่เต็มไปด้วยการทุจริต คดโกง และฉ้อฉลของรัฐบาลทักษิณ ด้วยข้อมูลอันเป็นความจริง มาบอกกล่าวกับประชาชนนั้น ได้เป็นการจุดประกายให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศตื่นขึ้น และรับรู้ปัญหาของทักษิณ และระบอบทักษิณ โดยพร้อมเพียงกัน ภายใต้การนำเสนอและถ่ายทอดของทีวีช่องเล็กๆ คือ ASTV ครับ จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ที่ทำให้ ASTV กลายเป็นทีวีของประชาชน หลังจากเหตุการณ์ชุมนุม 193 วันแล้ว ขออนุญาตนะครับ สโลแกนของ ASTV เมื่อก่อนไม่ใช่แบบนี้ คุณเติมศักดิ์คงจะจำได้ ผมบอกว่า สโลแกนของ ASTV ควรจะต้องเปลี่ยนใหม่หลังจากการชุมนุม 193 วันแล้ว ผมเสนอให้ควรจะเปลี่ยนว่า"ASTV ทีวีของประชาชน" แล้วคุณสนธิเห็นด้วย เพราะเป็นทีวีช่องเดียวที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นทีวีของประชาชนจริงๆ ครับ ด้วยคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของ ASTV

จากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ พัฒนามาเป็นปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล เพราะกระแสประชาชนที่ตื่นขึ้นมา เข้าร่วมขบวนการของเมืองไทยรายสัปดาห์ และสนธิ ลิ้มทองกุล นั้น จากหอประชุมเล็ก พัฒนามาเต็มห้องประชุมใหญ่ ย้ายสถานที่ไปสวนลุมพินี ขยายตัวใหญ่โตไปในขอบข่ายทั่วประเทศ กลายเป็นปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล ที่ทุกวันศุกร์ทุกคนจะต้องไปสุขสำราญที่สวนลุมพินี

ปรากฏการณ์สนธิบอกให้เรารู้อะไร ผมคิดว่า ปรากฏการณ์สนธิบอกให้เรารู้ 3 เรื่องใหญ่ เรื่องที่ 1. สนธิเป็นผู้ประกาศจุดเทียนแห่งธรรมคนแรกในยุคสมัยที่ประเทศมืดมนด้วยอำนาจของระบอบทักษิณ และเทียนแห่งธรรม เทียนแห่งปัญญาที่สนธิจุดขึ้นนั้น ได้ทำให้เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ และพัฒนากลายมาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในวันนี้ครับ 2. นอกจากจุดเทียนแห่งธรรมแล้ว สนธิยังสร้างปรากฏการณ์ที่ประกาศตัวกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่า ขอเป็นยามรักษาแผ่นดิน และทำให้เกิดยามรักษาแผ่นดินขึ้นมาทั่วประเทศ นี่คือปรากฏการณ์สนธิ ลิ้มทองกุล และนำมาซึ่งมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และนำมาซึ่งการต่อสู้เพื่อปกป้องราชอาณาจักร และปกป้องแผ่นดิน นั่นก็คือ ทำให้คนไทยทุกคนมีความกล้าหาญ และกล้าเสียสละที่จะออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินของตนเอง ปรากฏการณ์ที่ 3 ที่สนธิสร้างคุณูปการไว้กับประเทศไทย คือ สนธิทำให้ประชาชนทั้งประเทศลุกขึ้นมาทวงประเทศไทยของเราคืนจากนายแม้ว และระบอบทักษิณ

เพราะฉะนั้นมาถึงช่วงนี้ ขบวนการต่อสู้ของประชาชนนั้น ต้องยอมรับว่า เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีทักษิณและระบอบทักษิณเกิดขึ้น ทักษิณและระบอบทักษิณ อย่างที่คุณมาลีรัตน์ พูดไปบ้างบางส่วน และคุณสุริยะใส พูดไปบางส่วนว่า ทักษิณไม่ใช่ตัวบุคคลนะครับวันนี้ ทักษิณเป็นตัวแทนของระบอบการเมือง และอภิสิทธิ์ก็คือตัวแทนของระบอบการเมืองแบบเดียวกับระบอบทักษิณ ทักษิณเป็นระบอบการเมือง ดังนั้นแม้เราไล่ทักษิณไปแล้ว ไล่สมัครไปแล้ว ไล่สมชายไปแล้ว แม้กระทั่งจะไล่นายมาร์คไป ระบอบทักษิณระบอบการเมืองสามานย์นี้ยังอยู่ เพราะมันยังไม่ถูกขุดรากถอนโคนครับพี่น้อง การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. เป็นการเลือกตั้งที่เป็นสัญลักษณ์ของการเมืองระบอบทักษิณ ก็คือระบอบการเมืองเก่าที่กัดกินประเทศนั่นเองครับ เพราะฉะนั้นนักการเมืองในระบอบทักษิณ และระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ นักการเมืองเขาจึงยึดเอาพรรคเป็นที่ตั้ง เขายึดเอาผลประโยชน์พรรคเป็นประโยชน์สูงสุด เขาไม่ยึดประโยชน์ชาติ ประชาชน แม้กระทั่งคนในพรรคการเมืองใหม่ที่อยากจะลงเลือกตั้ง ยังยึดประโยชน์พรรค ประโยชน์ตนสูงกว่าประโยชน์ชาติ เพราะฉะนั้นถูกแล้วที่คุณสุริยะใสตัดสินใจ และบอกว่า ขอเพียงมีพี่น้องประชาชน เมื่อมีประชาชนอยู่ที่ไหน เราจะมีพลังและมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเป้าหมายร่วมกัน แต่ถ้าปราศจากประชาชน มีแต่เพียงพรรคชื่อพรรค อาคารพรรคเก่าๆ ก็ไร้ราคา ไร้ความหมาย ไม่มีพลังจะไปต่อสู้เอาประโยชน์ชาติบ้านเมืองได้เลยครับ เพราะฉะนั้นระบอบทักษิณเป็นระบอบการเมืองที่เปิดโอกาสให้นักการเมืองเข้ามาครอบงำ ผูกขาดอำนาจปกครอง และผูกขาดอำนาจเศรษฐกิจของประเทศ ผูกขาดผลประโยชน์ของชาติ จัดสรรค์ แบ่งปันเพียงกลุ่มนักการเมืองและพรรคการเมืองเท่านั้น ประชาชนเป็นเพียงตัวละครประกอบการแสดงเท่านั้นเองครับ นี่คือการเมืองในระบอบทักษิณ และระบอบปัจจุบัน ทักษิณเป็นตัวแทนของการเมืองระบอบเก่า

นอกจากนั้น กลไกรัฐทั้งหมดจะต้องสนองนักการเมืองและพรรคการเมือง รับใช้การเมืองโกง ทุจริต กลไกองค์กรอิสระจะถูกครอบงำไม่สามารถควบคุมตรวจสอบได้ สภานิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นเพียงตรายางของระบอบการเมือง ระบบราชการเป็นเพียงเครื่องมือรับใช้นักการเมือง ไม่ใช่รับใช้ประเทศชาติ รับใช้ประชาชน ไม่เพียงเท่านั้น ระบอบทักษิณยังเหิมเกริมขนาดคุกคามสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อีกด้วยครับพี่น้อง หลังจากประชาชนถูกหลอกกลายเป็นเครื่องมือสนับสนุนเลือกตั้งจนกระทั่งเขามีคะแนนเสียงถึง 300 กว่าเสียง เขาเหิมเกริมจะเป็นใหญ่เหนือกว่าทุกสถาบันในประเทศนี้ นี่คือที่มา และเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิด ปรากฏการณ์สนธิ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทย ที่จะต้องจารึกไว้ในช่วง 7 ปี ตั้งแต่ปี 47 - 54 7 ปีมานี้คือหน้าประวัติศาสตร์การเมืองที่ต้องจารึกเรื่องราวของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ระบอบทักษิณได้พัฒนามาก เวลานี้ทำไมทักษิณไปแล้วการเมืองในระบอบทักษิณยังอยู่ อภิสิทธิ์ก็เป็นการเมืองเดียวกับระบอบทักษิณ เพียงแต่แย่งกันว่า ใครจะเป็นผู้มีอำนาจ กุมกลไกอำนาจรัฐของกลุ่มทุนการเมืองในระบอบนี้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการจะยึดประเทศ เปลี่ยนแปลงระบบล้มล้างสถาบันนั้น ระบอบทักษิณยังฝังอยู่ในสังคมไทย ตราบใดไม่ถูกขุดโค่น ขุดรากถอนโคนออกไป คงยากที่เราจะปฏิรูปประเทศชาติบ้านเมือง จะปฏิรูปประเทศชาติบ้านเมืองได้ ต้องโค่นล้ม ขุดรากถอนโคนระบอบการเมืองเก่านี้เสียก่อนครับ

ผมพูดถึงบทบาทการเกิดขึ้นของพี่น้องพันธมิตรฯ ปรากฏการณ์สนธิแล้ว มาถึงยุคปัจจุบันนี้ พลังของพันธมิตรฯ อยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน เพราะพันธมิตรฯ คือ ประชาชน และประชาชนก็คือ พันธมิตรฯ ครับ ไม่ได้ไปไหน ใครที่แตกออกไปจากนี้เป็นคนที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และสถานการณ์คัดคนที่ไม่ยืนหยัดออกไปเท่านั้นเอง และเป็นการคัดคุณภาพให้กับพันธมิตรฯ ได้พลังประชาชนที่มีคุณภาพที่สุดเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องที่เราจะวิตกกังวลกับการที่คนเคยสู้กับเราและไม่อยู่กับเรา อย่าวิตกกังวล และอย่าอาลัยอาวรณ์ เ พราะสถานการณ์จะคัดเลือกคนให้กับพี่น้องประชาชนเอง โดยเป็นไปตามสถานการณ์ และธรรมะจัดสรร ในบรรดาผู้ที่ร่วมต่อสู้กับพวกเรามา หลายคนไม่ได้เป็นวิทยากรบนเวที ไม่ได้เป็นแกนนำ ไม่ได้เป็นอะไร แต่ทุกคนยังยืนหยัดอยู่เท่าทุกวันนี้ บางคนอาจจะทุ่มเท เสียสละ และมีความกล้าหาญจะสู้ และขับเคลื่อนต่อไปมากยิ่งกว่าด้วยซ้ำไป โดยไม่เปิดเผยตัวตน ผมเองเป็นส่วนหนึ่งที่ยืนหยัดอยู่กับพี่น้องตลอด ไม่ว่าได้เป็นอะไรไม่ได้เป็นอะไรไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่ว่า เราได้เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยจิตวิญญาณของเราเองหรือเปล่า

ผมอยากจะกราบเรียนว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ต่อสู้ 3 ปีที่เราร่วมรำลึกในวันนี้ ผมอยากสรุปว่า พันธมิตรฯ คืออะไร จากการต่อสู้ที่ผ่านมา 3 ปี ผมอยากจะกราบเรียนว่า พันธมิตรประชาชนนั้น ไม่ได้เป็นประชาชนธรรมดาเสียแล้วครับ ที่บอกว่าไม่ธรรมดาไม่ใช่ท่านมีความวิเศษเหนือกว่าบุคคลอื่น เป็นแต่เพียงว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลายเป็นประชาชนที่ถูกหล่อหลอม ที่ผ่านการต่อสู้จนพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นคนที่มีปัญญา และกลายเป็นประชาชนที่เป็นกำลังหลักของประเทศชาติ และของแผ่นดิน การต่อสู้ 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีประชาชนที่มีพลังและคุณภาพอย่างพี่น้องประชาชนนี้ถือว่า เป็นคุณูปการและเป็นคุณค่าที่มีประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติบ้านเมือง นักการเมืองเขายึดเอาพรรคเป็นตัวตั้ง แต่ประชาชนพลเมืองอย่างพันธมิตรฯ ยึดเอาประเทศชาติและผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เราจึงต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครคิดจะปฏิรูปบ้านเมือง ควรจะต้องอาศัยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าและที่เอาการเอางานที่สุดในบรรดาประชาชนในประเทศ ณ ขณะนี้ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ประชาชนที่เสียสละ ที่เอาการเอางาน และมีความคิดก้าวหน้าที่สุด คือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถ้าปราศจากพลังพี่น้องพันธมิตรฯ การปฏิรูปผมยังมองไม่เห็นความหวัง เพราะฉะนั้น อ.ประเวศ ก็ดี ท่านอานันท์ ก็ดี และผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่คิดดี ประสงค์ดีต่อชาติบ้านเมือง ถ้าอยากปฏิรูปชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น ต้องอาศัยพลังพี่น้องประชาชนเป็นกำลังหลักในการปฏิรูปบ้านเมือง ต้องสามัคคีพลังเหล่านี้ไปด้วยกัน แล้วการปฏิรูปบ้านเมืองจะประสบความสำเร็จ

3 ปีของพี่น้องพันธมิตรฯ ผมขอสรุปว่า พันธมิตรฯ เป็นพลังที่เกิดจากความศรัทธา เราศรัทธาต่อสถาบันสูงสุดของชาติ เรายึดถือ ศรัทธาต่อความถูกต้อง เป็นธรรม ความดีงามของบ้านเมือง เราไม่สนับสนุนคนชั่ว คนเลว คนโกง 3.เราศรัทธาต่อผู้นำของพี่น้องประชาชน ที่พิสูจน์แล้วถึงความกล้าหาญ ความเสียสละ ทุกคนที่มาร่วมนำและร่วมต่อสู้กับพี่น้องประชาชนในขณะนี้ ที่สำคัญ พี่น้องพันธมิตรฯ เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้ เพราะเรามีความเชื่อในศรัทธา และมีความหวังว่า ศรัทธาและความเชื่อของเรานั้น วันหนึ่งจะต้องเป็นจริง ด้วยพลังของพวกเราเอง นี่คือพันธมิตรฯ ถ้าคนที่ไม่มีความคิดอย่างนี้ เป็นพันธมิตรฯ ไม่ได้ อันที่สอง คือ การเกิดขึ้นของ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันนี้กลายเป็นส่วนหนึ่ง และเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจลบประวัติศาสตร์พี่น้องพันธมิตรฯ ออกไปจากประวัติศาสตร์การเมืองได้ ในคุณูปการที่พี่น้องร่วมทำ ร่วมต่อสู้กัน ประการที่ 3 คนที่เป็นพันธมิตรฯ พิสูจน์สัจจะให้เห็นแล้วว่า พลังของประชาชนเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง และเปลี่ยนแปลงประเทศได้ เราเคยพิสูจน์มาแล้วด้วยตัวของเราเอง และไม่มีใครต้านทานพลังพี่น้องได้ 3 ปีนี้เราได้สัจจธรรมชีวิต

และที่อยากบอกเป็นประการสุดท้ายคือ คนพันธมิตรฯ พี่น้องครับ เราต้องภูมิใจในตัวพวกเรา เราคือ คนที่เป็นเลือดเนื้อ เป็นจิตวิญญาณของคนไทย และประเทศไทย เพราะเราคือเนื้อแท้ คือส่วนที่กลั่นแล้ว คือเนื้อหาสาระของพลเมืองที่มีคุณค่าของประเทศที่สุดในเวลานี้ ด้วยคุณลักษณะอะไร คนพันธมิตรฯ ต้องมี 1.ความรักชาติ จึงจะเป็นพันธมิตรฯ 2. ต้องรักความเป็นธรรม จึงจะเป็นคนพันธมิตรฯ รักความถูกต้อง รังเกลียดการโกง การเอาเปรียบผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรม 3.คนพันธมิตรฯ ต้องเป็นคนที่ยึดมั่นต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย 4.ต้องพร้อมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อชาติและประโยชน์ส่วนรวม นี่คือคุณลักษณะพิเศษของพวกเรา และเราจะต้องรักษาคุณลักษระพิเศษนี้ไว้ ที่สำคัญต่อมาคือ คนพันธมิตรฯ จริงๆ ต้องรักใคร่สามัคคีเป็นปึกแผ่น และให้อภัยในสิ่งที่คนกระทำความผิดและสำนึกในการกระทำความผิดนั้น ความสามัคคีของเราจะเป็นการสามัคคีเพื่อประโยชน์ชาติ ประโยชน์บ้านเมือง ไม่ใช่สามัคคีกันไปเผาบ้านเผาเมืองครับพี่น้อง นี่แหละคือคนพันธมิตรฯ ในรอบ 4 ปีที่พี่น้องร่วมต่อสู้มานี้ สถานการณ์ผ่านการเคี้ยวกลำพี่น้อง และทำให้เราจำแนกได้ว่า ความเป็นพันธมิตรฯ กับไม่เป็นพันธมิตรฯ ต่างกันตรงไหน หลายคนวันนี้อาจจะมีคนมาค่อนแคะ หรืออาจจะมีคนมาเหยียดหยาม พูดจาให้เจ็บใจ หรือมีคนแสดงท่าทีรังเกลียดความเป็นพันธมิตรฯ พี่น้องต้องยึดอกและภูมิใจในความเป็นพันธมิตรฯ เพราะความเป็นพันธมิตรฯ นั้น คือความเป็นพลเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วครับพี่น้อง คนที่เขาจำนนต่อความชั่ว ความเลว ความไม่ถูกต้อง เขาย่อมไม่พอใจและพยายามทำลายกำลังใจ บั่นทอนกำลังใจของเรา เพราะฉะนั้นผมจึงอยากจะบอกว่า จงภูมิใจความเป็นพันธมิตรฯ เกิดสักกี่ชาติก็ต้องสู้ด้วยความหฤหรรษ์และมีความมั่นใจ แม้เกิดใหม่อีกกี่ชาติเราต้องมุ่งมั่นและมีความหวัง ตั้งใจ และขอเป็นพันธมิตรฯ ใช่ไหมครับพี่น้อง และต้องยึดมั่นในความเป็นพันธมิตรฯ เพราะพันธมิตรฯ คือความดีงามและความถูกต้อง ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะต้องรังเกลียดหรือไม่ภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นผมอยากบอกพ่อแม่พี่น้องว่า ในงานรำลึก 3 ปี การชุมนุม 25 พ.ค.มาถึงวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่น้องทำมานั้น ต้องภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำให้กับชาติบ้านเมือง

สุดท้ายผมขอไว้อาลัย และรำลึกถึงพี่น้องเราที่เสียสละชีวิตจากพวกเราไปท่ามกลางการต่อสู้ และคารวะจิตใจกล้าหาญ เสียสละพี่น้องเราหลายคนที่ยังบาดเจ็บ พิการ มาชุมนุมไม่ได้ แต่ผมเชื่อมั่นว่า จิตใจของเขา และจิตวิญญาณของเขา เขายังภูมิใจในความเนพันธมิตรฯ เสมอทุกคนครับ จึงอยากกราบเรียนว่า ยุคสมัยของประเทศชาติบ้านเมืองที่มาถึงยุคนี้ ที่เราจะก้าวเดินต่อไป พันธมิตรฯ คงจะต้องยกระดับการต่อสู้ของตนเองขึ้น อย่างที่คุณสุริยะใสพูดนั้นถูกแล้ว การโหวตโนในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การขุดรากถอนโคนระบอบการเมืองเก่า ไม่ว่าระบอบทักษิณ ระบอบอภิสิทธิ์ ก็คือระบอบการเมืองสามานย์ระบอบเดียวกัน เป็นระบอบที่ประเทศไทยไม่พึงปรารถนา แต่เราจะขุดโค่นระบอบนี้ได้ เราต้องมีประชาชนที่เข้มแข็ง เอาการเอางานอย่างพี่น้องพันธมิตรฯ เป็นกำลังหลัก และต้องมีผู้นำที่กล้าหาญ ชาญฉลาด กล้าเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งขณะนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการต่อสู้ตามสถานการณ์เองครับ ในวันที่ประเทศมืดมนที่สุด ในวันที่ประเทศไร้ทางออก ในวันที่ประเทศเต็มไปด้วยคนโกง ทุจริต นักการเมืองชั่ว นักการเมืองเลวนั้น ผู้นำที่จะมานำการเปลี่ยนแปลง กำลังเกิดขึ้น และอยู่ในหมู่พี่น้องประชาชน เพียงแต่ว่า พี่น้องประชาชนยังมองไม่เห็นเท่านั้นเอง แต่พี่น้องจะมองเห็นเมื่อวันที่พวกเราลุกขึ้นมาเดินหน้าไปพร้อมๆ กัน ไม่มีอะไรทานพลังการเปลี่ยนแปลงของพี่น้องได้ ผมเชื่อมั่นว่า 3 ปีที่เราต่อสู้มา และก่อนหน้านั้นที่เราสู้มาก็ดี จะไม่มีวันสูญเปล่าอย่างแน่นอนครับพี่น้อง

พี่น้องครับ ผมคิดว่าคำถามที่ท้าทายพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สุด และเป็นคำถามที่เราเจออยู่เสมอ คือว่า พวกเราจะต้องไล่นายกฯ นักการเมือง รัฐบาลไปอีกกี่ชุดกี่สมัยถึงจะจบสิ้นภารกิจพันธมิตรฯ ไม่ว่าใครมาคุณก็ไม่ชอบ คุณก็ไม่เอา นี่คือวาทะกรรมของนักการเมือง นักวิชาการที่พยายามจะปกป้องระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ แท้ที่จริงบทเรียนพันธมิตรฯ ที่ต่อสู้มา เราปะทะตัวบุคคลเป็นหลัก เราไล่คนเป็นหลัก คือ ไล่ทักษิณ ไล่สมัคร ไล่สมชาย แม้จะมีปฏิวัติ 19 ก.ย. เพียงแต่เปลี่ยนคนแต่ไม่เปลี่ยนระบอบการเมืองเสียใหม่ ระบอบเลว ระบอบโกง ระบอบขายชาติยังครอบงำ ระบอบคนเลวปกครองเมือง นักการเมืองครองเมืองครองอำนาจยังคงอยู่ ระบอบโครงการทุจริตยังคงดำรงอยู่หนาแน่น สังคมไทยวันนี้เป็นสังคมที่ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป นักการเมืองดีไม่มี มีแต่นักการเมืองเลว นักการเมืองดีไปอยู่ในพรรคการเมืองก็ต้องเปลี่ยนเป็นนักการเมืองเลวถึงจะอยู่กับเขาได้

เพราะฉะนั้น บ้านเมืองวันนี้ควรเริ่มยุคใหม่ของการเปลี่ยนแปลงประเทศได้แล้ว เพราะไม่ว่าเราจะเจอใครผลัดเปลี่ยนมาเป็นนายกฯ เป็นรัฐบาล อย่าง 2 ปีที่ผ่านมา คุณเติมศักดิ์บอกแล้วว่า เราเจอรัฐบาลอภิสิทธิ์ประเภทชุ่ย เพียบพูนด้วยเล่ห์ ผมไม่บอกว่าโง่นะ ขี้โกงและแสนทราม ครับพี่น้อง หรือเราเจอวาทะกรรมอย่างที่เราสรุปให้ฟัง ตรงที่สุด คือเจอคนประเภท เลวจนกูงง โกงจนกูมึน ทึ่มจนกูเอียน เถียงจนกูอาย ไม่ว่าใครมาโดยระบอบนี้ แล้วจะเอาเหตุผลมาอ้างว่า ถ้าไม่ยอมให้เขาโกงก็อยู่เป็นนายกฯ เป็นรัฐบาลไม่ได้ จะยกข้ออ้าง ตอแหลกับประชาชนอย่างนี้เพื่อปกป้องระบอบการเมืองเอาไว้ ที่เอื้อประโยชน์ให้นักการเมือง เราเจอรัฐบาลทุกประเภทมาแล้ว หลักๆ เจอรัฐบาลเหลี่ยมโกงและหล่อเลว ตอนนี้ให้สมญานามว่า รัฐบาลหล่อเลว ตัวบุคคล ไม่ว่าจะเอาใครมาเป็นรัฐบาลภายใต้โครงการการเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ไม่มีวันสนองตอบผลประโยชน์พี่น้องประชาชนได้ เพราะทุกคนต้องยึดผลประโยชน์พรรคร่วมรับประทานเป็นหลักครับ ทุกพรรคมาร่วมกันเป็นพรรคร่วมรับประทาน แบ่งกันกิน จัดสรรผลประโยชน์ลงตัวก็อยู่กันได้ ผลประโยชน์ไม่ลงตัวก็ฟาดฟันกัน ต่อรองด่ากัน เดี๋ยวสักพักก็เจรจาตกลงกันได้

เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องเดินหน้ายกระดับไปกว่าที่เป็นอยู่ นั่นก็คือ ภารกิจที่เราทำในขณะนี้ คนบอกทำไมไม่ไล่รัฐบาล ไม่โค่นอภิสิทธิ์ซะ ไล่มันไปก็อัปรีย์ไปจัญไรมาอยู่ดีใช่ไหมครับพี่น้อง ถ้าเราไม่ขุดรากถอนโคนระบอบ เพราะฉะนั้นในตอนจบนี้อยากให้กำลังใจพี่น้องประชาชนพันธมิตรฯ ว่า จุดยืนของพี่น้องพันธมิตรฯ เราต้องรักษาเอาไว้ คุณลักษณะดีงามของพันธมิตรฯ เราต้องรักษาเอาไว้ และจงภาคภูมิใจ บอกตัวเอง บอกลูกบอกหลาน บอกญาติพี่น้องว่า แม้ตายไปแผ่นดินกลบหน้าก็ต้องภาคภูมิใจในความเป็นพันธมิตรฯ ตลอดไป ไม่ต้องหวั่นไหว คนชั่วอยู่ได้อยู่ไป แต่ถ้ามีคนดีอย่างพ่อแม่พี่น้องอยู่ เราสามารถเป็นกำลังของบ้านเมืองได้ ถ้าบ้านเมืองปราศจากคนที่คิดอย่างพวกเรา และคิดเหมือนพวกเขาไปหมด ชาติก็หายนะล่มจม ไม่มีผืนแผ่นดินอยู่อย่างทุกวันนี้แน่นอนครับ ขอชมเชยจิตใจพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนที่มาร่วมกันว่า "จิตพันธมิตรดั่งหยาดฝนชโลมหล้าประชาราษฎร์ ใจองอาจกล้าแข็งแกร่งดุจหินผา พันธมิตรยิ่งใหญ่สถิตย์ในใจประชา คารวะวิญญาณกล้ากราบเท้าประชาชน" ครับพี่น้อง ขอบคุณครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น