มีนาคม 2534
อาจารย์ ที่เคารพ
คนที่ยึดอำนาจ ก็สูตรเดิมอีกครับอาจารย์ คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน แต่ในความเป็นจริงคนอื่นๆ ก็เป็นแค่ “น้ำจิ้ม” เท่านั้นเอง สำคัญที่สุดก็กองทัพบกอย่างเดิม ยกเว้นคราวนี้ ทหารอากาศเป็นผู้ลงมือปฏิบัติการด้วยการจี้นายกฯ ชาติชายและพลเอกอาทิตย์บนเครื่องบิน
ผมเคยเตือนพลเอกอาทิตย์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ว่าระวังอย่าขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับนายกรัฐมนตรีเดี๋ยวจะโดนจี้ แกกลับว่าผมมองโลกในแง่ร้าย ต่อไปนี้เมืองไทยจะไม่มีปฏิวัติรัฐประหารอีกแล้ว “อาจารย์ไม่รู้อะไร ไอ้เต้มันวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ผมกินตั้งแต่ยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่สระบุรี”
“ไอ้เต้” ก็คือ พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ นักเรียน(เตรียมแพทย์) จุฬาฯ ก่อนผม 1 รุ่น มีความคุ้นเคยกันดี ถ้านักสืบราชการลับของรัฐบาลสนใจทำการบ้านอย่างผม ก็จะรู้ว่า พี่เต้ขึ้นเครื่องบินกองทัพไปเกาหลี แล้วแอบขึ้นสายการบินพาณิชย์กลับมาก่อนการยึดอำนาจ 2-3 วัน
หัวหน้านายทหารอากาศที่ลงมือจี้ก็คือ พล.อ.ต.วีรพงษ์ สิงหเสนี หรือ อ๊อด นตอ.รุ่น 1 รุ่นเดียวกับน้องชายผม แต่พระเอกวันนั้นเป็นผู้ช่วยของอ๊อด คือ ผู้การหิน หรือพล.อ.ต.อมฤต จารยะพันธุ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง ตำแหน่งที่พลอากาศเอกบุญชู จันทรุเบกษา เคยเป็นคนแรก หินเป็นหลังอ๊อดโดยมีผู้มาคั่น 1 คนปี 2533 ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในวันหยุด หินเคยพาทหารเอาต้นเข็มและไม้ประดับมาแต่งสวนที่บ้านให้ผม ความสวยงามและความดีของหินยังคงจารึกอยู่ในใจและในสวนของเราจนทุกวันนี้
การยึดอำนาจคราวนี้หาชื่อยาก เพราะรัฐประหารก็ใช้แล้ว ปฏิวัติก็ใช้แล้ว และปฏิรูปก็ใช้แล้ว เลยต้องยืมคำว่า “คณะผู้รักษาการความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” ของเผด็จการพม่ามาใช้
ผู้ที่เป็น Three Musketeers หรือหัวหน้าตัวจริงก็คือ ผบ.ทบ. พลเอกสุจินดา คราประยูร ทูตทหารบกที่วอชิงตัน ของทูตอานันท์ ปันยารชุน รอง ผบ.ทบ.พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ทูตทหารบกสมัยอาจารย์อยู่ลอนดอนคราวก่อน ลูกชายของพลตำรวจโทฉัตร หนุนภักดี อดีตตำรวจติดตามท่านปรีดี นั่นเอง คนที่สามก็คือผู้บัญชาการทหารอากาศ นักเรียนนายเรืออากาศรุ่น 1 ทั้งสามโรงเรียนทหารรุ่นนี้ รหัสรุ่นเรียกว่า 0143 เท่ากับจปร. 5
ผมเรียกสุจินดาว่าพี่สุ เพราะเป็นนักเรียนเก่า “หนองคายวิทยาคาร” ก่อนผม 4-5 รุ่น แต่ผมมาไล่ทันเพราะแกข้ามฟากไปเรียนแพทย์แล้วกลับมาเริ่มต้นเรียนนายร้อยใหม่ ผมเตือนพี่สุว่าหากยึดอำนาจระวังอเมริกาจะถอนวีซ่าไม่ให้ไปฉลองปริญญาโทลูกชาย เพราะอเมริกายุคประธานาธิบดีคาร์เตอร์เห่อสิทธิมนุษยชนแอนตี้การยึดอำนาจ
กลางปี 2533 ผมกับคุณหมอประเวศไปขอร้องพลเอกสายหยุด ให้ช่วยห้ามกองทัพยึดอำนาจเพราะชาติจะเสียหาย คุณสายหยุดบอกว่าไม่มีทางหรอก ใครได้เป็น ผบ.ทบ.แล้วมันบ้าอำนาจทุกคน
ในจดหมายจากนายเข้ม อาจารย์ปลงอายุสังขารเร่งให้จอมพลถนอมสร้างประชาธิปไตย มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ที่ผมเห็นว่าสำคัญมาก คือพี่ทำนุก็หกสิบเศษ ผมก็ใกล้จะหกสิบเข้าไปทุกที ต่างก็จะลาโลกกันไปในไม่ช้า ผมก็มีความทะเยอทะยานเช่นเดียวกับพี่ทำนุ ที่จะทิ้งโลกและหมู่บ้านไทยเจริญไว้ให้ลูกหลาน เป็นโลกและหมู่บ้านที่น่าอยู่ มีความสงบสุขและเป็นไทยสมชื่อ”
คิดแล้วใจหายครับอาจารย์ 20 ปีที่อาจารย์เขียน ผมก็ใกล้จะหกสิบเข้าไปทุกที รุ่นที่ผมเป็นนักเรียนนอกและครูหนุ่มนั้น เป็นยุค Camelot ของประธานาธิบดีเคนเนดี้ พวกเราต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจอย่างแรง พวกเราต่างก็รอคอยและใฝ่ฝันเช่นเดียวกับหนุ่มสาวอเมริกัน ที่จะเห็น one brief shining moment หรือจุดอันมีประกายสุกใสแวบหนึ่งในชีวิตของพวกเรา ในการงานของพวกเรา และในบ้านเมืองของเรา
ผมมีความซาบซึ้งยิ่งนัก เมื่อ JFK กล่าวสุนทรพจน์อันชวนฝันกับหนุ่มสาวชาวอเมริกันว่า “บัดนี้ คบเพลิงกำลังจะถูกส่งต่อแล้ว จากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่ง จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง..และแล้ว โลกก็จะอยู่ในกำมือของเรา”
อาจารย์ครับ ผมอยากร้องไห้ ไหนล่ะ คบเพลิงประชาธิปไตยของชาติไทย
คณะรสช.อุปโลกน์พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผบ.ทส.เป็นหัวหน้า มีผบ.ทั้ง 3 เหล่าทัพเป็นรอง และพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี เป็นเลขาธิการ
เมื่อการยึดอำนาจพรั่งพร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งการทุกเหล่าทัพดังนี้ ทุกอย่างก็จบลงอย่างราบคาบราบรื่นสงบเรียบร้อยและรวดเร็ว ไม่เสียกระสุนแม้แต่นัดเดียว
นายกฯ ชาติชายและพลเอกอาทิตย์ถูกเชิญไปพัก ณ บ้านรับรองของกองทัพ หลังจากประกาศตั้ง ครม.ได้หนึ่งวันก็กลับบ้านได้ ไม่มีใครในรัฐบาลชาติชายที่สั่งการหรือคิดสู้ หรือแม้แต่จะคัดค้านฝ่ายยึดอำนาจ มีแต่ผมที่เขียนส่งไปหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครลงให้เลย ยกเว้นบางกอกโพสต์ฉบับเดียว
กรุงเทพฯ และประเทศไทยคืนเข้าสู่สภาพปกติ ปกติจริงๆ ทุกแห่งจนเหลือเชื่อตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทหารและรถถังหาไม่เจอเลย มีจลาจลคือจราจรเป็นปกติอยู่ทุกวัน รถติดเขม่าควันดำย่ำยีปอดคนไทยอยู่ตามปกติ โรงนวดม่านรูดและอโกโก้พัฒน์พงศ์ก็ปกติ บ่อนและสารพัดอบายมุขก็ปกติ ปฏิวัติกี่หนๆ ก็ปกติ กระแสสังคมและชีวิตของคนไทยยิ่งล่องลึกลงเรื่อยๆ ตามปกติ
คราวนี้วี่แววของการยึดอำนาจเกือบจะมองไม่เห็น ไม่เป็นที่สยองขวัญหรือป่าเถื่อนอย่างที่ต่างประเทศเข้าใจ ที่ไม่ผิดปกติก็คือกระเช้าดอกไม้ขายดีกว่าปกติ ผู้คนทั้งนั้น ข้าราชการ ทหาร ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ สมาคมอาชีพ สหภาพแรงงาน สมาพันธ์ครู นักวิชาการ แม้แต่อดีต ส.ส.จำนวนไม่น้อยพากันหลั่งไหลเข้าสู่หอประชุมทัพบกเป็นสายๆ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและความพร้อมที่จะรับใช้รัฐบาลของ รสช.ในสภาหรือครม.ชุดต่อไป
ผมโทรศัพท์ไปต่อว่าคุณอานันท์ ท่านบอกว่าจะทะเลาะกันไปทำไม (เป็นภาษาอังกฤษ) ผมบอกว่าไม่ได้ทะเลาะหรอก แต่ผมจะไม่ขอพบหน้าคุณอานันท์เลยจนกว่าจะพ้นตำแหน่ง ยกเว้นเพียงครั้งเดียวที่ผมจะขอพบเพื่อการศึกษา เพราะผมกำลังห่วงว่าสถาบันราชภัฏจะกลายเป็นตัวถ่วงการเมืองและการศึกษาในอนาคต ผมเขียนบทความวิจารณ์คุณอานันท์เอาไปให้ท่านอ่านล่วงหน้าหนึ่งบท เอาไปลงเฉพาะใน Time Magazine เท่านั้น
นักศึกษารามฯ กลุ่มหนึ่งพากันคัดค้านและถูกจับกุมไปขัง 15 คน อาจารย์มหาวิทยาลัย 96 คนทำหนังสือเรียกร้องให้ รสช.แสดงความบริสุทธิ์ใจเรื่องสิทธิมนุษยชน และคืนอำนาจให้ประชาชนโดยไม่สืบทอดอำนาจของ รสช.ทั้งหมดนี้แทบจะไม่มีเสียงขานรับจากประชาชน หรือถ้ามี...ก็แผ่วเบาเสียจนไม่ได้ยิน
อาจารย์คงพอจะเข้าใจนะครับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร ผมก็จะเล่าเหตุผลที่ผมนึกได้มาให้อาจารย์ฟัง
ด้วยความเคารพและระลึกถึงยิ่ง
ปราโมทย์ นาครทรรพ
อาจารย์ ที่เคารพ
คนที่ยึดอำนาจ ก็สูตรเดิมอีกครับอาจารย์ คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน แต่ในความเป็นจริงคนอื่นๆ ก็เป็นแค่ “น้ำจิ้ม” เท่านั้นเอง สำคัญที่สุดก็กองทัพบกอย่างเดิม ยกเว้นคราวนี้ ทหารอากาศเป็นผู้ลงมือปฏิบัติการด้วยการจี้นายกฯ ชาติชายและพลเอกอาทิตย์บนเครื่องบิน
ผมเคยเตือนพลเอกอาทิตย์ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ว่าระวังอย่าขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับนายกรัฐมนตรีเดี๋ยวจะโดนจี้ แกกลับว่าผมมองโลกในแง่ร้าย ต่อไปนี้เมืองไทยจะไม่มีปฏิวัติรัฐประหารอีกแล้ว “อาจารย์ไม่รู้อะไร ไอ้เต้มันวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ผมกินตั้งแต่ยังนุ่งกางเกงขาสั้นอยู่สระบุรี”
“ไอ้เต้” ก็คือ พลอากาศเอกเกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ นักเรียน(เตรียมแพทย์) จุฬาฯ ก่อนผม 1 รุ่น มีความคุ้นเคยกันดี ถ้านักสืบราชการลับของรัฐบาลสนใจทำการบ้านอย่างผม ก็จะรู้ว่า พี่เต้ขึ้นเครื่องบินกองทัพไปเกาหลี แล้วแอบขึ้นสายการบินพาณิชย์กลับมาก่อนการยึดอำนาจ 2-3 วัน
หัวหน้านายทหารอากาศที่ลงมือจี้ก็คือ พล.อ.ต.วีรพงษ์ สิงหเสนี หรือ อ๊อด นตอ.รุ่น 1 รุ่นเดียวกับน้องชายผม แต่พระเอกวันนั้นเป็นผู้ช่วยของอ๊อด คือ ผู้การหิน หรือพล.อ.ต.อมฤต จารยะพันธุ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง ตำแหน่งที่พลอากาศเอกบุญชู จันทรุเบกษา เคยเป็นคนแรก หินเป็นหลังอ๊อดโดยมีผู้มาคั่น 1 คนปี 2533 ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในวันหยุด หินเคยพาทหารเอาต้นเข็มและไม้ประดับมาแต่งสวนที่บ้านให้ผม ความสวยงามและความดีของหินยังคงจารึกอยู่ในใจและในสวนของเราจนทุกวันนี้
การยึดอำนาจคราวนี้หาชื่อยาก เพราะรัฐประหารก็ใช้แล้ว ปฏิวัติก็ใช้แล้ว และปฏิรูปก็ใช้แล้ว เลยต้องยืมคำว่า “คณะผู้รักษาการความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ” ของเผด็จการพม่ามาใช้
ผู้ที่เป็น Three Musketeers หรือหัวหน้าตัวจริงก็คือ ผบ.ทบ. พลเอกสุจินดา คราประยูร ทูตทหารบกที่วอชิงตัน ของทูตอานันท์ ปันยารชุน รอง ผบ.ทบ.พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ทูตทหารบกสมัยอาจารย์อยู่ลอนดอนคราวก่อน ลูกชายของพลตำรวจโทฉัตร หนุนภักดี อดีตตำรวจติดตามท่านปรีดี นั่นเอง คนที่สามก็คือผู้บัญชาการทหารอากาศ นักเรียนนายเรืออากาศรุ่น 1 ทั้งสามโรงเรียนทหารรุ่นนี้ รหัสรุ่นเรียกว่า 0143 เท่ากับจปร. 5
ผมเรียกสุจินดาว่าพี่สุ เพราะเป็นนักเรียนเก่า “หนองคายวิทยาคาร” ก่อนผม 4-5 รุ่น แต่ผมมาไล่ทันเพราะแกข้ามฟากไปเรียนแพทย์แล้วกลับมาเริ่มต้นเรียนนายร้อยใหม่ ผมเตือนพี่สุว่าหากยึดอำนาจระวังอเมริกาจะถอนวีซ่าไม่ให้ไปฉลองปริญญาโทลูกชาย เพราะอเมริกายุคประธานาธิบดีคาร์เตอร์เห่อสิทธิมนุษยชนแอนตี้การยึดอำนาจ
กลางปี 2533 ผมกับคุณหมอประเวศไปขอร้องพลเอกสายหยุด ให้ช่วยห้ามกองทัพยึดอำนาจเพราะชาติจะเสียหาย คุณสายหยุดบอกว่าไม่มีทางหรอก ใครได้เป็น ผบ.ทบ.แล้วมันบ้าอำนาจทุกคน
ในจดหมายจากนายเข้ม อาจารย์ปลงอายุสังขารเร่งให้จอมพลถนอมสร้างประชาธิปไตย มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ที่ผมเห็นว่าสำคัญมาก คือพี่ทำนุก็หกสิบเศษ ผมก็ใกล้จะหกสิบเข้าไปทุกที ต่างก็จะลาโลกกันไปในไม่ช้า ผมก็มีความทะเยอทะยานเช่นเดียวกับพี่ทำนุ ที่จะทิ้งโลกและหมู่บ้านไทยเจริญไว้ให้ลูกหลาน เป็นโลกและหมู่บ้านที่น่าอยู่ มีความสงบสุขและเป็นไทยสมชื่อ”
คิดแล้วใจหายครับอาจารย์ 20 ปีที่อาจารย์เขียน ผมก็ใกล้จะหกสิบเข้าไปทุกที รุ่นที่ผมเป็นนักเรียนนอกและครูหนุ่มนั้น เป็นยุค Camelot ของประธานาธิบดีเคนเนดี้ พวกเราต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจอย่างแรง พวกเราต่างก็รอคอยและใฝ่ฝันเช่นเดียวกับหนุ่มสาวอเมริกัน ที่จะเห็น one brief shining moment หรือจุดอันมีประกายสุกใสแวบหนึ่งในชีวิตของพวกเรา ในการงานของพวกเรา และในบ้านเมืองของเรา
ผมมีความซาบซึ้งยิ่งนัก เมื่อ JFK กล่าวสุนทรพจน์อันชวนฝันกับหนุ่มสาวชาวอเมริกันว่า “บัดนี้ คบเพลิงกำลังจะถูกส่งต่อแล้ว จากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่ง จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง..และแล้ว โลกก็จะอยู่ในกำมือของเรา”
อาจารย์ครับ ผมอยากร้องไห้ ไหนล่ะ คบเพลิงประชาธิปไตยของชาติไทย
คณะรสช.อุปโลกน์พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผบ.ทส.เป็นหัวหน้า มีผบ.ทั้ง 3 เหล่าทัพเป็นรอง และพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี เป็นเลขาธิการ
เมื่อการยึดอำนาจพรั่งพร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งการทุกเหล่าทัพดังนี้ ทุกอย่างก็จบลงอย่างราบคาบราบรื่นสงบเรียบร้อยและรวดเร็ว ไม่เสียกระสุนแม้แต่นัดเดียว
นายกฯ ชาติชายและพลเอกอาทิตย์ถูกเชิญไปพัก ณ บ้านรับรองของกองทัพ หลังจากประกาศตั้ง ครม.ได้หนึ่งวันก็กลับบ้านได้ ไม่มีใครในรัฐบาลชาติชายที่สั่งการหรือคิดสู้ หรือแม้แต่จะคัดค้านฝ่ายยึดอำนาจ มีแต่ผมที่เขียนส่งไปหนังสือพิมพ์ในวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครลงให้เลย ยกเว้นบางกอกโพสต์ฉบับเดียว
กรุงเทพฯ และประเทศไทยคืนเข้าสู่สภาพปกติ ปกติจริงๆ ทุกแห่งจนเหลือเชื่อตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทหารและรถถังหาไม่เจอเลย มีจลาจลคือจราจรเป็นปกติอยู่ทุกวัน รถติดเขม่าควันดำย่ำยีปอดคนไทยอยู่ตามปกติ โรงนวดม่านรูดและอโกโก้พัฒน์พงศ์ก็ปกติ บ่อนและสารพัดอบายมุขก็ปกติ ปฏิวัติกี่หนๆ ก็ปกติ กระแสสังคมและชีวิตของคนไทยยิ่งล่องลึกลงเรื่อยๆ ตามปกติ
คราวนี้วี่แววของการยึดอำนาจเกือบจะมองไม่เห็น ไม่เป็นที่สยองขวัญหรือป่าเถื่อนอย่างที่ต่างประเทศเข้าใจ ที่ไม่ผิดปกติก็คือกระเช้าดอกไม้ขายดีกว่าปกติ ผู้คนทั้งนั้น ข้าราชการ ทหาร ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ สมาคมอาชีพ สหภาพแรงงาน สมาพันธ์ครู นักวิชาการ แม้แต่อดีต ส.ส.จำนวนไม่น้อยพากันหลั่งไหลเข้าสู่หอประชุมทัพบกเป็นสายๆ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและความพร้อมที่จะรับใช้รัฐบาลของ รสช.ในสภาหรือครม.ชุดต่อไป
ผมโทรศัพท์ไปต่อว่าคุณอานันท์ ท่านบอกว่าจะทะเลาะกันไปทำไม (เป็นภาษาอังกฤษ) ผมบอกว่าไม่ได้ทะเลาะหรอก แต่ผมจะไม่ขอพบหน้าคุณอานันท์เลยจนกว่าจะพ้นตำแหน่ง ยกเว้นเพียงครั้งเดียวที่ผมจะขอพบเพื่อการศึกษา เพราะผมกำลังห่วงว่าสถาบันราชภัฏจะกลายเป็นตัวถ่วงการเมืองและการศึกษาในอนาคต ผมเขียนบทความวิจารณ์คุณอานันท์เอาไปให้ท่านอ่านล่วงหน้าหนึ่งบท เอาไปลงเฉพาะใน Time Magazine เท่านั้น
นักศึกษารามฯ กลุ่มหนึ่งพากันคัดค้านและถูกจับกุมไปขัง 15 คน อาจารย์มหาวิทยาลัย 96 คนทำหนังสือเรียกร้องให้ รสช.แสดงความบริสุทธิ์ใจเรื่องสิทธิมนุษยชน และคืนอำนาจให้ประชาชนโดยไม่สืบทอดอำนาจของ รสช.ทั้งหมดนี้แทบจะไม่มีเสียงขานรับจากประชาชน หรือถ้ามี...ก็แผ่วเบาเสียจนไม่ได้ยิน
อาจารย์คงพอจะเข้าใจนะครับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร ผมก็จะเล่าเหตุผลที่ผมนึกได้มาให้อาจารย์ฟัง
ด้วยความเคารพและระลึกถึงยิ่ง
ปราโมทย์ นาครทรรพ