ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การแถลงยุบสภาทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์ได้ฉวยโอกาสดังกล่าวหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไม่เกรงกลัวต่อข้อครหาใดๆ
หลังจากที่นายอภิสิทธิ์แถลงให้ประชาชนทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกายุบสภา ซึ่งมีผลในวันที่ 10 พฤษภาคม และกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 แล้ว นายอภิสิทธิ์ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ของการแถลงผ่านโทรทัศน์ในการหว่านล้อมให้ประชาชนเลือกพรรครัฐบาลเดิมกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง
นายอภิสิทธิ์อ้างว่า การยุบสภาแม้เป็นการสิ้นสุดวาระของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาล แต่สำหรับตนเชื่อว่าการยุบสภาครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับประชาชน และเป็นการเริ่มต้นการเดินหน้าประเทศไทยที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ และอวดอ้างเอาผลงานว่า เป็นการประกาศยุบสภาด้วยความเต็มใจเพื่อให้ประชาชนได้ใช้โอกาสในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า และแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังคงค้างอยู่
นายอภิสิทธิ์ยังพูดในลักษณะหว่านล้อมให้ประชาชนเลือกพรรครัฐบาลเดิม ว่า การสิ้นสุดของสภา หรือวาระของรัฐบาลจากการยุบสภาฯ ในครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่างานของรัฐสภาหรืองานของรัฐบาลจะสิ้นสุดลง ตรงกันข้าม ตนตระหนักดีว่าในปัจจุบันนี้ยังคงมีปัญหามากมายที่พี่น้องและครอบครัวยังต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ประชาชนและครอบครัวจำนวนมากยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพ ข้าวของแพง มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย และรอคอยที่จะให้มีการเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ และยังคงมีปัญหาอื่นๆ ที่เป็นงานที่ยังต้องทำต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในบริเวณชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเหล่านี้เป็นโอกาสดีของพี่น้องประชาชนในการเลือกตั้งที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าเราจะเดินหน้าประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้อย่างไร
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังได้อ้างว่า แม้มีงานจำนวนมากที่จำเป็นจะต้องทำต่อไป แต่เราคงไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เพราะว่างานหลายอย่างได้มีการเริ่มต้นมาแล้ว ท่ามกลางภาวะความยากลำบากที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตซ้อนวิกฤตมาเป็นระยะเวลากว่า 5-6 ปี แต่ท่ามกลางภาวะความยากลำบากเหล่านี้ ปัญหาพื้นฐานของประชาชนได้มีการเดินหน้าในการแก้ไขให้มีการเริ่มต้นนโยบายหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะใช้เป็นประโยชน์ในการเดินหน้าทำงานต่อไป
หลังจากนั้น นายอภิสิทธิ์ก็ถือโอกาสร่ายยาวถึงผลงานของรัฐบาลในรอบ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ทั้งเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ที่อ้างว่ารัฐบาลสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจ แก้ปัญหาการว่างงาน เพิ่มการส่งออก การท่องเที่ยวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงสุดในรอบ 10 ปี การเริ่มต้นนโยบายเรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพถ้วนหน้า ประกันรายได้เกษตรกร ประกันภัยพืชผล
ทางด้านการเมืองก็อ้างว่า 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ยืนยันความเป็นนิติรัฐของประเทศ ให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นปกครองด้วยกฎหมาย และสามารถทำให้ภาวะต่างๆ กลับเข้ามาสู่ความเป็นปกติระดับหนึ่งที่จะคืนอำนาจให้แก่พี่น้องประชาชนได้ ดังนั้นงานที่จะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ก็ได้เริ่มต้นแล้วเช่นเดียวกัน
ระหว่างที่แถลงออกทีวี นายอภิสิทธิ์ได้ตอกย้ำอยู่ตลอดว่า มีงานที่ต้องทำอีกมากเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน แต่เราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ และอยากให้งานที่รัฐบาลเริ่มต้นไว้ได้รับการสานต่อ ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง และทางสังคม ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์พูดออกมาได้ตรงๆ ก็คงจะบอกว่า ขอให้เลือกพรรครัฐบาลเดิมเถอะ เพื่อให้งานต่างๆ ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
นายอภิสิทธิ์ยังพูดในเชิงข่มขู่ว่า จะให้ประเทศของเราเดินไปในทิศทางไหน เดินไปข้างหน้า ถอยหลัง หรือจะเดินวนจมปลักอยู่กับปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านๆ มา ซึ่งทำให้ปัญหาอีกหลายอย่างของพี่น้องประชาชนไม่ได้รับการแก้ไข
รวมทั้งอ้างว่า ทุกคนควรจะเห็นตรงกันว่าจากวันนี้ไป การเมืองการปกครองของไทยนั้นต้องยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่เดินออกนอกเส้นทาง ไม่เดินออกนอกรัฐธรรมนูญ ไม่เดินออกนอกกฎหมาย
นายอภิสิทธิ์อ้างว่า เราควรจะเห็นร่วมกันว่า การเมืองในวันนี้ต้องเป็นการแข่งขันในทางความคิด ทางนโยบาย อย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช่การยุยงให้เกิดความขัดแย้งด้วยการปลุกระดมจนนำไปสู่เรื่องของความรุนแรงและความสูญเสีย
ความหมายโดยนัยจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์ก็คือให้เลือกผู้สมัคร ส.ส.ที่มาจากพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนี้ดีกว่า เพราะถ้าเลือกพรรคฝ่ายค้าน คือพรรคเพื่อไทย ก็จะทำให้การเมืองของประเทศออกนอกเส้นทาง เพราะพรรคเพื่อไทยมีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงที่เคยใช้อาวุธต่อสู้กับรัฐบาลและเผาบ้านเผาเมืองมาแล้ว 2 ปีซ้อน
หรือ หากจะไปกาช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน หรือโหวตโน ตามการรณรงค์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็จะเข้าข่ายไม่เป็นประชาธิปไตยตามที่คนของรัฐบาลหลายๆ คนพยายามสร้างวาทกรรมเป็นมายาคติเอาไว้
นอกจากคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ที่ออกมาในเชิงออดอ้อนหว่านล้อมแกมข่มขู่ให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมแล้ว ยังมีคำขู่ออกมาจากปากของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมว่า ยังมีกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนไหวกันอยู่อย่างคึกคัก และยังฝึกอบรมอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเตรียมที่จะส่งเข้ามาได้ทุกเวลา บางส่วนส่งเข้ามาก็จับกุมได้แล้ว สำนวนก็อยู่ที่ตำรวจอยู่แล้ว
ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายนอกประเทศที่จะเข้ามาทำลายการเมืองในประเทศนั้น นายสุเทพกล่าวว่า จากข้อมูลข่าวสารที่ประมวลมาคนเหล่านี้มีการกระทำที่เชื่อมโยงกัน แบ่งหน้าที่กันทำ เป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งก็มีความพยายามสกัดตลอดเวลา แต่ถ้าเข้ามาก็จับกุม
คำให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพคือการเอาภาพของกองกำลังติดอาวุธซึ่งมีความเชื่อมโยงกับคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยมาข่มขู่ให้ประชาชนหวาดกลัว เพื่อที่จะให้เลือกพรรครัฐบาลเดิมเข้ามาจัดการ แต่นายสุเทพลืมไปว่า ในช่วงที่เขามีอำนาจในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เขาไม่ได้ดำเนินการกับกองกำลังชุดดำอันเป็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดงอย่างจริงจัง มิหนำซ้ำ รัฐบาลยังให้การช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ถูกจับกุมในข้อหาก่อการร้ายให้ได้รับการประกันตัว
ดังนั้น ทั้งการแถลงยุบสภาของนายอภิสิทธิ์และการให้สัมภาษณ์ของนายสุเทพจึงเป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมทางคำพูดที่จะชักจูงโน้มน้าวและข่มขู่ให้ประชาชนเลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลเดิมให้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกเท่านั้น